ASTVผู้จัดการรายวัน – ตลาดหลักทรัพย์ฯ มั่นใจดูแลระบบซื้อขายหลักทรัพย์และระบบงานสำคัญ ในช่วงเสื้อแดงชุนนุมใหญ่ได้แน่ ยืนยันมีแผนรองรับพร้อมเปิดการซื้อขายในวันจันทร์15มี.ค.ได้ทันที ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ระบุภาพรวมนักลงทุนไม่กังวลมากนัก ดัชนียังปรับเพิ่ม ไม่พบแรงเทขายหุ้นหนัก มีเพียงวอลุ่มเบาบาง แต่แนะนำผู้ลงทุนติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด ชี้ปี53 ตลาดหุ้นผันผวน เพราะการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทั่วโลก
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่าตลท.ได้จัดมีแผนการรองรับกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในช่วง 12-15 มี.ค.นี้ โดยมีคณะทำงานติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งให้ความสำคัญกับระบบซื้อขายหลักทรัพย์ และระบบงานที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อให้การซื้อขายหลักทรัพย์ สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมรองรับการซื้อขายของผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยได้ประสานไปยังบริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆแล้ว ขอให้ผู้ลงทุนมั่นใจ
นายวิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการ สายงานพัฒนาและวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลท.กล่าวว่า ในเรื่องนี้นักลงทุนในตลาดหุ้นมีความกังวลบ้างซึ่งเห็นจากมูลค่าการซื้อขายที่มีการปรับตัวลดลง แต่ยังไม่ถึงขั้นที่มีความกังวลมากนัก จนมีแรงขายหุ้นไทยออกมาอย่างรุนแรง เพื่อต้องการถือเงินสดไว้มากๆ แต่ต้องการติดตามสถานการณ์ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะไม่สามารถที่จะคาดการณ์ได้ว่าจะออกมาอย่างไร ทั้งนี้ ตลท.มีอาคารสำรองรองรับหากไม่สามารถที่จะให้พนักงานเข้ามาทำงานที่นี่ได้ และก็มีระบบงานต่างๆรองรับไว้แล้วเช่นกัน
นอกจากนี้ ตลท.ได้การสรุปภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ประจำเดือนก.พ. 2553 ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นไทยและดัชนีตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชียปรับสูงขึ้นจากปัจจัยบวกด้านเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจในกรีซ แต่นักลงทุนต่างประเทศยังคงมีการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่มากขึ้น ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ส่วนหนึ่งเกิดจากปัจจัยบวกในประเทศหนุน เช่น การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจมีการเติบโต และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีการเติบโตที่ดี และมีการจ่ายเงินปันผลที่สูงสุดอันดับ2 มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผล 3.42% รองจากฟิลิปปินส์ ที่มี 3.56%
ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.56% มาปิดอยู่ที่ 721.37 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนม.ค. ที่ปิดอยู่ที่ 696.6 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตรมราคาตลาด (มาร์เกตแคป)รวมอยู่ที่ 5.54 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.14% จากเดือนมกราคม แต่ในเดือนกุมภาพันธ์จะมีวันหยุดทำการหลายวัน และนักลงทุนชะลอการซื้อขายเพื่อรอความชัดเจนของการตัดสินคดียึดทรัพย์นั้น ทำให้มูลค่าการซื้อขายหุ้นในเดือนนี้ปรับตัวลดลงเหลือเฉลี่ยต่อวันที่ 14,245.31 ล้านบาทลดลง จากเดือนมกราคมอยู่ที่ 19,026.91 ล้านบาท
ขณะที่การซื้อขายรายกลุ่มของนักลงทุนนั้น พบว่า ในเดือนก.พ. 2553 นักลงทุนต่างชาติมีบทบาทในการซื้อขายมากขึ้น โดยสัดส่วนของมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้น 21.95% ในเดือนม.ค.2553 เป็น 23.62% และเปลี่ยนสถานะจากขายสุทธิต่อเนื่อง 3 เดือน เป็นซื้อสุทธิอยู่ที่ 5,410.87 ล้านบาท ส่วนรายย่อยขายสุทธิ 10,858.87 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตาจากนี้ถึงสิ้นปี2553 ซึ่งจะกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้น คือ การถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทั่วโลก เพราะอาจจะมีผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนทำให้กระทบต่อการเคลื่อนไหวเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่าตลท.ได้จัดมีแผนการรองรับกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในช่วง 12-15 มี.ค.นี้ โดยมีคณะทำงานติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งให้ความสำคัญกับระบบซื้อขายหลักทรัพย์ และระบบงานที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อให้การซื้อขายหลักทรัพย์ สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมรองรับการซื้อขายของผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยได้ประสานไปยังบริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆแล้ว ขอให้ผู้ลงทุนมั่นใจ
นายวิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการ สายงานพัฒนาและวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลท.กล่าวว่า ในเรื่องนี้นักลงทุนในตลาดหุ้นมีความกังวลบ้างซึ่งเห็นจากมูลค่าการซื้อขายที่มีการปรับตัวลดลง แต่ยังไม่ถึงขั้นที่มีความกังวลมากนัก จนมีแรงขายหุ้นไทยออกมาอย่างรุนแรง เพื่อต้องการถือเงินสดไว้มากๆ แต่ต้องการติดตามสถานการณ์ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะไม่สามารถที่จะคาดการณ์ได้ว่าจะออกมาอย่างไร ทั้งนี้ ตลท.มีอาคารสำรองรองรับหากไม่สามารถที่จะให้พนักงานเข้ามาทำงานที่นี่ได้ และก็มีระบบงานต่างๆรองรับไว้แล้วเช่นกัน
นอกจากนี้ ตลท.ได้การสรุปภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ประจำเดือนก.พ. 2553 ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นไทยและดัชนีตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชียปรับสูงขึ้นจากปัจจัยบวกด้านเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจในกรีซ แต่นักลงทุนต่างประเทศยังคงมีการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่มากขึ้น ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ส่วนหนึ่งเกิดจากปัจจัยบวกในประเทศหนุน เช่น การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจมีการเติบโต และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีการเติบโตที่ดี และมีการจ่ายเงินปันผลที่สูงสุดอันดับ2 มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผล 3.42% รองจากฟิลิปปินส์ ที่มี 3.56%
ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.56% มาปิดอยู่ที่ 721.37 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนม.ค. ที่ปิดอยู่ที่ 696.6 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตรมราคาตลาด (มาร์เกตแคป)รวมอยู่ที่ 5.54 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.14% จากเดือนมกราคม แต่ในเดือนกุมภาพันธ์จะมีวันหยุดทำการหลายวัน และนักลงทุนชะลอการซื้อขายเพื่อรอความชัดเจนของการตัดสินคดียึดทรัพย์นั้น ทำให้มูลค่าการซื้อขายหุ้นในเดือนนี้ปรับตัวลดลงเหลือเฉลี่ยต่อวันที่ 14,245.31 ล้านบาทลดลง จากเดือนมกราคมอยู่ที่ 19,026.91 ล้านบาท
ขณะที่การซื้อขายรายกลุ่มของนักลงทุนนั้น พบว่า ในเดือนก.พ. 2553 นักลงทุนต่างชาติมีบทบาทในการซื้อขายมากขึ้น โดยสัดส่วนของมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้น 21.95% ในเดือนม.ค.2553 เป็น 23.62% และเปลี่ยนสถานะจากขายสุทธิต่อเนื่อง 3 เดือน เป็นซื้อสุทธิอยู่ที่ 5,410.87 ล้านบาท ส่วนรายย่อยขายสุทธิ 10,858.87 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตาจากนี้ถึงสิ้นปี2553 ซึ่งจะกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้น คือ การถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทั่วโลก เพราะอาจจะมีผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนทำให้กระทบต่อการเคลื่อนไหวเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ