สงครามจะแบ่งออกเป็นสมรภูมิย่อย โดยตัววัตถุประสงค์หรือธงของบำเหน็จสงคราม คือชัยชนะเบ็ดเสร็จ ที่ผู้ชนะได้อำนาจรัฐและผู้แพ้สูญเสียอำนาจการรบทุกมิติ เสียอำนาจรัฐ หมดอำนาจสั่งการทหาร หมดเงิน และจะต้องกระทำตามที่ผู้ชนะปรารถนา ดังวลีอมตะว่าด้วยการสงครามของ นายพล เคลาส์วิทซ์ (Clausewitz) “สงครามคือปรากฏการณ์ที่ใช้ความรุนแรง เพื่อให้ศัตรูทำตามที่เราปรารถนา” ซึ่งหมายถึงการใช้ความรุนแรงสูงสุด เพื่อที่จะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามให้ได้ หรือทำให้ข้าศึกหมดทางสู้ และสงครามเป็นปรากฏการณ์ที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนสุดพรรณนา แต่ที่สำคัญตามนัยสงครามในทางทฤษฎีของเคลาส์วิทซ์ คือ สงคราม คือ ความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายทางการเมืองอีกรูปแบบหนึ่ง
สงครามครั้งสุดท้ายของทักษิณกำลังเริ่มต้น เพราะผลการตัดสินขององค์ผู้พิพากษา 9 ท่าน ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่มีมติเสียงข้างมาก 8 : 1 ที่ระบุว่าทักษิณใช้อำนาจรัฐกระทำการเอาเปรียบรัฐ เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น แม้ว่าศาลฎีกาฯ นี้แถลงไว้ชัดเจนว่า คดียึดทรัพย์ทักษิณเป็นคดีแพ่ง ไม่ได้พิจารณาความผิดทางอาญากับทักษิณ แต่ผลพวงของข้อพิจารณาของศาลฎีกาฯ นี้ เป็นประโยชน์ต่อการฟ้องร้องคดีอาญาทักษิณ ที่ใช้อำนาจรัฐทำความเสียหายให้กับชาติบ้านเมือง
ความละเอียดในเนื้อหาคำพิพากษานั้นมีความชัดเจนเกินพอที่จะทำให้เห็นเล่ห์กล วิธีการคดโกงด้วยการใช้อำนาจรัฐ การใช้โอกาส และช่องทางในการเอาเปรียบรัฐและประชาชนคนไทย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทที่ตนมีอิทธิพล ด้วยความปรารถนาที่จะให้ผลกำไรของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น สร้างมูลค่าหุ้น ทำให้เขาและครอบครัวได้กำไรจากการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น หลายพันเท่า
ผลของคดียึดทรัพย์ทำให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สามารถขยายผลได้ โดยที่ นายอภินันทน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา เลขาธิการ ป.ป.ช. แถลงว่า ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้รับทราบตามที่ นายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. รายงานต่อที่ประชุมว่า ตามที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งพิพากษาในคดียึดทรัพย์ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. รวม 4 เรื่อง คือ กรณีนายวีระ สมความคิด กล่าวหาว่าทักษิณ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ โดยมีการตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริง ของทรัพย์สินและหนี้สินของทักษิณแล้ว
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการต่ออีก 3 เรื่อง คือ เรื่องกล่าวหาคณะกรรมการบริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) คณะกรรมการบริหารงาน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการเพื่อให้มีการพิจารณาลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการบัตรเติมเงินมือถือแบบจ่ายเงินล่วงหน้าโดยมิชอบ
เรื่องกล่าวหาคณะกรรมการบริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และผู้บริหาร บมจ.ทศท คอร์ปอเรชั่น และผู้บริหาร บมจ.กสท.โทรคมนาคม แก้ไขสัญญาอนุญาตให้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ดำเนินการกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม ระหว่างผู้ให้บริการรายอื่น และอนุญาตให้หักค่าใช้จ่ายจากการใช้เคลื่อข่ายร่วม ก่อนนำมาคำนวณส่วนแบ่งรายได้ให้กับ บมจ.ทีโอที และปรับลดอัตราค่าใช้จ่ายเครือข่ายร่วมระหว่าง บมจ.กสท.โทรคมนาคม กับบริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด
และเรื่องกล่าวหาการอนุมัติโครงการดาวเทียม ไอพี สตาร์ โดยมิชอบ ด้วยสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) และเรื่องการอนุมัติให้ใช้เงินสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ อันเป็นการขัดต่อสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด และเรื่องกล่าวหาการอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2547 เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น ที่ต้องถือในบริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จากไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
นายอภิวันท์ กล่าวว่าเรื่องที่ คตส.ส่งมาให้ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อนี้ ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงไปก่อนหน้านี้แล้ว และคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะได้ขอคำพิพากษาฉบับสมบูรณ์จากศาลฎีกาฯ สำหรับนำมาพิจารณาประกอบในการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของทักษิณ และการไต่สวนข้อเท็จจริงเรื่องกล่าวหาอื่นๆ ตามขั้นตอนต่อไป
มีข้อสังเกตที่กลุ่มเสื้อแดงไม่ได้สร้างความวุ่นวายรุนแรงในห้วงก่อนและในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ก็เพราะรู้ดีว่ารัฐมีแผนตอบโต้ที่รัดกุมกว่าในห้วงสงกรานต์ที่ผ่านมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนทั่วไปต่อต้านความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อห้วงสงกรานต์ 2552 แต่ที่สำคัญก็คือว่า หากทรัพย์สิน 76,000 ล้านบาท ถูกยึดทั้งหมด หรือบางส่วนถูกยึด แล้วทักษิณยังจะดำรงเงื่อนไขการจ่ายรางวัลเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะงบประมาณการก่อสงครามการเมืองบางส่วนอาจได้จ่ายตรงให้กับกลุ่มพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี และพลตรีขัตติยะ สวัสดิผล ไปแล้ว ซึ่งมีความน่าจะเป็นไปได้ เพราะพลตรีขัตติยะ เดินทางไปดูไบบ่อยกว่าแกนนำคนอื่นๆ จนเกิดความบาดหมางกันระหว่างกลุ่มพลเอกพัลลภ กับกลุ่มนายจตุพร พรหมพันธุ์ เพราะมีการแย่งชิงความเป็นผู้นำในการเผด็จศึกครั้งสุดท้ายในการยึดอำนาจรัฐให้ได้ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) มีการสบประมาท พลตรีขัตติยะ หรือ เสธ.แดง ว่า
“บางคนแต่งชุดนักรบ ก็ไม่ได้หมายความเป็นนักรบ บางคนดูเหมือนของจริง แต่เป็นของปลอมก็เยอะ อย่างพวกเราไม่ใช่นักรบ แต่โดนมา 30 คดี ไม่เคยหนี แต่บางคนใส่ชุดทหารบอกว่าตัวเองเป็นนักรบ แต่จะโดนออกหมายจับก็หนีไปเคดะห์ ประเทศมาเลเซีย อย่างนี้หรือนักรบ แล้วจะให้เราไปเชื่ออะไรได้” นาย จตุพร กล่าวหมิ่นอย่างแรง
หลังจากวันพิพากษาเกิดมีมือระเบิดป่วนเมือง โดยมุ่งที่จะก่อความวุ่นวายทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐ ด้วยการปาระเบิดใส่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 4 แห่ง เหตุร้ายแรงเกิดหลังคำกล่าวข่มขู่รัฐของ นายพรวัฒน์ ทองสมบูรณ์ ฉายาเคทอง ซึ่งประกาศว่าเป็นนักรบพระเจ้าตาก ได้ออกประกาศผ่านคลิปวิดีโอ ยูทูป ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ว่าจะมีระเบิดขึ้นต่อเนื่อง และก็เกิดขึ้นจริง พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้ขอหมายจับ นายพรวัฒน์ ผู้อยู่ในช่วงประกันตัวคดีที่ถูกจับกุมข้อหาครอบครองอาวุธสงคราม และเครื่องกระสุนจำนวนมากในบ้านพักของ เสธ.แดง
นายพรวัฒน์ จะถูกจับตามความผิดแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ผู้ใดกระทำการให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต หรือหวังเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐ หรือก่อให้เกิดความปั่นป่วนในบ้านเมือง หรือให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี
จากการนี้ เสธ.แดง ออกประกาศว่าใครจับนายพรวัฒน์ จะต้องเป็นศัตรูกับตน ซึ่งกองทัพบกจะต้องกระทำการใดการหนึ่ง เพื่อเป็นการยุติบทบาท เสธ.แดง ในคราบของทหาร เพราะเป็นการแสดงออกถึงความเป็นศัตรูต่อชาติและทำลายความผาสุกของประชาชนชาวไทยทั้งมวล
การที่ทักษิณออกมาตอบโต้เรื่องคำพิพากษา และได้ประณามการตัดสินขององค์ผู้พิพากษานั้น แต่หากประชาคมโลกได้อ่านรายละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงทั้งสมาชิกอาเซียน เช่น พม่า ลาว และเขมร ว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน โดยประเทศไทยจะช่วยพม่าด้วยเงินกู้ในขั้นต้น 3,000 ล้านบาท แต่ต่อมาทักษิณสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพิ่มเงินกู้ให้พม่าเป็นเงิน 4,000 ล้านบาท โดยไม่สนใจต่อคำทักท้วงของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญ ซึ่งข้อเท็จจริงเขาให้เงินกู้กับพม่าก็เพื่อที่ให้พม่ามาซื้อสินค้าจากบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นของเขาเอง
ที่เป็นเช่นนี้ได้ง่ายดายนัก ก็เพราะว่าพม่าปกครองแบบเผด็จการทหาร การตัดสินใจอยู่ที่คน 2 คนเท่านั้นเอง ตามนัยนี้แล้วทักษิณจึงเป็นผู้หนึ่งที่ให้การสนับสนุนเผด็จการ สวนกระแสของชาติประชาธิปไตยทั้งหลาย ซึ่งต่อต้านพม่า การช่วยเหลือพม่าควรที่จะช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมจึงจะถูกต้องชอบธรรม แต่กรณีนี้ทักษิณเอาเงินรัฐไปให้ชาติเผด็จการกู้ เพื่อนำเงินกู้มาซื้อสินค้าของบริษัทตนเอง ประชาคมโลกคงจะเห็นว่าเรื่องนี้พม่าเองก็ถูกหลอก หรือทักษิณติดสินบนผู้นำทหารพม่าเพื่อประโยชน์ของตัวเอง มากกว่าที่จะเป็นการช่วยเหลือเพื่อประชาชนพม่า สังคมโลกคงจะสังเวชใจในการโกงของทักษิณ มากกว่ามารับรู้ว่าขบวนการศาลไทยมุ่งร้ายทักษิณ หรือมีอคติต่อทักษิณ
ดังนั้น ทักษิณจำต้องระดมพลใหญ่ด้วยความหวังสุดท้าย และกลุ่มคนเสื้อแดงจะเริ่มรวมตัวกันในวันที่ 12 มีนาคมนี้ และจะชุมนุมใหญ่ที่ท้องสนามหลวงในวันที่ 14 มีนาคม โดย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษก นปช.ประกาศว่าจะมีคนมาชุมนุมประมาณ 1 ล้านคน การนี้มีผู้สันทัดกรณีกล่าวว่าจะมีเงินสะพัดประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท เป็นอย่างน้อย
แต่หากจะต้องใช้กำลังพลเข้าประจัญบาน และสร้างความรุนแรงกว่าห้วงสงกรานต์ที่ผ่านมา คาดว่าจะต้องมีเงินทำศึกถึง 10,000 ล้านบาท และด้วยเงินทำศึกจำนวนนี้เองจึงมีผู้ต้องการบริหาร
ศึกครั้งนี้อาจจะมีการใช้ยุทธศาสตร์เยี่ยงกรณีวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 คือ การป่วนเมืองทุกด้าน ทั้งวงในและวงนอก จนรัฐบาลไม่สามารถที่จะควบคุมได้ อาจเป็นเพราะขาดกำลังพลที่มีความพร้อม ขาดภาวะผู้นำ ขาดการประสาน ขาดความอดทนและความตั้งใจที่จะเอาชนะอธรรม
เพื่อมิให้ความตั้งใจของทักษิณสัมฤทธิผล ประชาชนจะต้องอดทนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เป็นหูเป็นตาให้กันและกัน และรวมตัวกันปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของตัวเองและของรัฐ ภาคเอกชนจะต้องระดมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเต็มอัตราศึก ในการป้องกันอาคารสถานที่ของตัวเองด้วยความเฉียบขาด ตามสิทธิที่มีกฎหมายคุ้มครอง เช่น การป้องกันตัวเอง ป้องกันมิให้มีการบุกรุก ประชาชนจะต้องเฝ้าฟังเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความตระหนัก เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงจุดเสี่ยงต่างๆ
nidd.riddhagni@gmail.com
สงครามครั้งสุดท้ายของทักษิณกำลังเริ่มต้น เพราะผลการตัดสินขององค์ผู้พิพากษา 9 ท่าน ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่มีมติเสียงข้างมาก 8 : 1 ที่ระบุว่าทักษิณใช้อำนาจรัฐกระทำการเอาเปรียบรัฐ เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น แม้ว่าศาลฎีกาฯ นี้แถลงไว้ชัดเจนว่า คดียึดทรัพย์ทักษิณเป็นคดีแพ่ง ไม่ได้พิจารณาความผิดทางอาญากับทักษิณ แต่ผลพวงของข้อพิจารณาของศาลฎีกาฯ นี้ เป็นประโยชน์ต่อการฟ้องร้องคดีอาญาทักษิณ ที่ใช้อำนาจรัฐทำความเสียหายให้กับชาติบ้านเมือง
ความละเอียดในเนื้อหาคำพิพากษานั้นมีความชัดเจนเกินพอที่จะทำให้เห็นเล่ห์กล วิธีการคดโกงด้วยการใช้อำนาจรัฐ การใช้โอกาส และช่องทางในการเอาเปรียบรัฐและประชาชนคนไทย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทที่ตนมีอิทธิพล ด้วยความปรารถนาที่จะให้ผลกำไรของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น สร้างมูลค่าหุ้น ทำให้เขาและครอบครัวได้กำไรจากการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น หลายพันเท่า
ผลของคดียึดทรัพย์ทำให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สามารถขยายผลได้ โดยที่ นายอภินันทน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา เลขาธิการ ป.ป.ช. แถลงว่า ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้รับทราบตามที่ นายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. รายงานต่อที่ประชุมว่า ตามที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งพิพากษาในคดียึดทรัพย์ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. รวม 4 เรื่อง คือ กรณีนายวีระ สมความคิด กล่าวหาว่าทักษิณ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ โดยมีการตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริง ของทรัพย์สินและหนี้สินของทักษิณแล้ว
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการต่ออีก 3 เรื่อง คือ เรื่องกล่าวหาคณะกรรมการบริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) คณะกรรมการบริหารงาน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการเพื่อให้มีการพิจารณาลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการบัตรเติมเงินมือถือแบบจ่ายเงินล่วงหน้าโดยมิชอบ
เรื่องกล่าวหาคณะกรรมการบริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และผู้บริหาร บมจ.ทศท คอร์ปอเรชั่น และผู้บริหาร บมจ.กสท.โทรคมนาคม แก้ไขสัญญาอนุญาตให้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ดำเนินการกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม ระหว่างผู้ให้บริการรายอื่น และอนุญาตให้หักค่าใช้จ่ายจากการใช้เคลื่อข่ายร่วม ก่อนนำมาคำนวณส่วนแบ่งรายได้ให้กับ บมจ.ทีโอที และปรับลดอัตราค่าใช้จ่ายเครือข่ายร่วมระหว่าง บมจ.กสท.โทรคมนาคม กับบริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด
และเรื่องกล่าวหาการอนุมัติโครงการดาวเทียม ไอพี สตาร์ โดยมิชอบ ด้วยสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) และเรื่องการอนุมัติให้ใช้เงินสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ อันเป็นการขัดต่อสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด และเรื่องกล่าวหาการอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2547 เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น ที่ต้องถือในบริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จากไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
นายอภิวันท์ กล่าวว่าเรื่องที่ คตส.ส่งมาให้ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อนี้ ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงไปก่อนหน้านี้แล้ว และคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะได้ขอคำพิพากษาฉบับสมบูรณ์จากศาลฎีกาฯ สำหรับนำมาพิจารณาประกอบในการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของทักษิณ และการไต่สวนข้อเท็จจริงเรื่องกล่าวหาอื่นๆ ตามขั้นตอนต่อไป
มีข้อสังเกตที่กลุ่มเสื้อแดงไม่ได้สร้างความวุ่นวายรุนแรงในห้วงก่อนและในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ก็เพราะรู้ดีว่ารัฐมีแผนตอบโต้ที่รัดกุมกว่าในห้วงสงกรานต์ที่ผ่านมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนทั่วไปต่อต้านความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อห้วงสงกรานต์ 2552 แต่ที่สำคัญก็คือว่า หากทรัพย์สิน 76,000 ล้านบาท ถูกยึดทั้งหมด หรือบางส่วนถูกยึด แล้วทักษิณยังจะดำรงเงื่อนไขการจ่ายรางวัลเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะงบประมาณการก่อสงครามการเมืองบางส่วนอาจได้จ่ายตรงให้กับกลุ่มพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี และพลตรีขัตติยะ สวัสดิผล ไปแล้ว ซึ่งมีความน่าจะเป็นไปได้ เพราะพลตรีขัตติยะ เดินทางไปดูไบบ่อยกว่าแกนนำคนอื่นๆ จนเกิดความบาดหมางกันระหว่างกลุ่มพลเอกพัลลภ กับกลุ่มนายจตุพร พรหมพันธุ์ เพราะมีการแย่งชิงความเป็นผู้นำในการเผด็จศึกครั้งสุดท้ายในการยึดอำนาจรัฐให้ได้ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) มีการสบประมาท พลตรีขัตติยะ หรือ เสธ.แดง ว่า
“บางคนแต่งชุดนักรบ ก็ไม่ได้หมายความเป็นนักรบ บางคนดูเหมือนของจริง แต่เป็นของปลอมก็เยอะ อย่างพวกเราไม่ใช่นักรบ แต่โดนมา 30 คดี ไม่เคยหนี แต่บางคนใส่ชุดทหารบอกว่าตัวเองเป็นนักรบ แต่จะโดนออกหมายจับก็หนีไปเคดะห์ ประเทศมาเลเซีย อย่างนี้หรือนักรบ แล้วจะให้เราไปเชื่ออะไรได้” นาย จตุพร กล่าวหมิ่นอย่างแรง
หลังจากวันพิพากษาเกิดมีมือระเบิดป่วนเมือง โดยมุ่งที่จะก่อความวุ่นวายทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐ ด้วยการปาระเบิดใส่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 4 แห่ง เหตุร้ายแรงเกิดหลังคำกล่าวข่มขู่รัฐของ นายพรวัฒน์ ทองสมบูรณ์ ฉายาเคทอง ซึ่งประกาศว่าเป็นนักรบพระเจ้าตาก ได้ออกประกาศผ่านคลิปวิดีโอ ยูทูป ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ว่าจะมีระเบิดขึ้นต่อเนื่อง และก็เกิดขึ้นจริง พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้ขอหมายจับ นายพรวัฒน์ ผู้อยู่ในช่วงประกันตัวคดีที่ถูกจับกุมข้อหาครอบครองอาวุธสงคราม และเครื่องกระสุนจำนวนมากในบ้านพักของ เสธ.แดง
นายพรวัฒน์ จะถูกจับตามความผิดแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ผู้ใดกระทำการให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต หรือหวังเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐ หรือก่อให้เกิดความปั่นป่วนในบ้านเมือง หรือให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี
จากการนี้ เสธ.แดง ออกประกาศว่าใครจับนายพรวัฒน์ จะต้องเป็นศัตรูกับตน ซึ่งกองทัพบกจะต้องกระทำการใดการหนึ่ง เพื่อเป็นการยุติบทบาท เสธ.แดง ในคราบของทหาร เพราะเป็นการแสดงออกถึงความเป็นศัตรูต่อชาติและทำลายความผาสุกของประชาชนชาวไทยทั้งมวล
การที่ทักษิณออกมาตอบโต้เรื่องคำพิพากษา และได้ประณามการตัดสินขององค์ผู้พิพากษานั้น แต่หากประชาคมโลกได้อ่านรายละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงทั้งสมาชิกอาเซียน เช่น พม่า ลาว และเขมร ว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน โดยประเทศไทยจะช่วยพม่าด้วยเงินกู้ในขั้นต้น 3,000 ล้านบาท แต่ต่อมาทักษิณสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพิ่มเงินกู้ให้พม่าเป็นเงิน 4,000 ล้านบาท โดยไม่สนใจต่อคำทักท้วงของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญ ซึ่งข้อเท็จจริงเขาให้เงินกู้กับพม่าก็เพื่อที่ให้พม่ามาซื้อสินค้าจากบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นของเขาเอง
ที่เป็นเช่นนี้ได้ง่ายดายนัก ก็เพราะว่าพม่าปกครองแบบเผด็จการทหาร การตัดสินใจอยู่ที่คน 2 คนเท่านั้นเอง ตามนัยนี้แล้วทักษิณจึงเป็นผู้หนึ่งที่ให้การสนับสนุนเผด็จการ สวนกระแสของชาติประชาธิปไตยทั้งหลาย ซึ่งต่อต้านพม่า การช่วยเหลือพม่าควรที่จะช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมจึงจะถูกต้องชอบธรรม แต่กรณีนี้ทักษิณเอาเงินรัฐไปให้ชาติเผด็จการกู้ เพื่อนำเงินกู้มาซื้อสินค้าของบริษัทตนเอง ประชาคมโลกคงจะเห็นว่าเรื่องนี้พม่าเองก็ถูกหลอก หรือทักษิณติดสินบนผู้นำทหารพม่าเพื่อประโยชน์ของตัวเอง มากกว่าที่จะเป็นการช่วยเหลือเพื่อประชาชนพม่า สังคมโลกคงจะสังเวชใจในการโกงของทักษิณ มากกว่ามารับรู้ว่าขบวนการศาลไทยมุ่งร้ายทักษิณ หรือมีอคติต่อทักษิณ
ดังนั้น ทักษิณจำต้องระดมพลใหญ่ด้วยความหวังสุดท้าย และกลุ่มคนเสื้อแดงจะเริ่มรวมตัวกันในวันที่ 12 มีนาคมนี้ และจะชุมนุมใหญ่ที่ท้องสนามหลวงในวันที่ 14 มีนาคม โดย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษก นปช.ประกาศว่าจะมีคนมาชุมนุมประมาณ 1 ล้านคน การนี้มีผู้สันทัดกรณีกล่าวว่าจะมีเงินสะพัดประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท เป็นอย่างน้อย
แต่หากจะต้องใช้กำลังพลเข้าประจัญบาน และสร้างความรุนแรงกว่าห้วงสงกรานต์ที่ผ่านมา คาดว่าจะต้องมีเงินทำศึกถึง 10,000 ล้านบาท และด้วยเงินทำศึกจำนวนนี้เองจึงมีผู้ต้องการบริหาร
ศึกครั้งนี้อาจจะมีการใช้ยุทธศาสตร์เยี่ยงกรณีวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 คือ การป่วนเมืองทุกด้าน ทั้งวงในและวงนอก จนรัฐบาลไม่สามารถที่จะควบคุมได้ อาจเป็นเพราะขาดกำลังพลที่มีความพร้อม ขาดภาวะผู้นำ ขาดการประสาน ขาดความอดทนและความตั้งใจที่จะเอาชนะอธรรม
เพื่อมิให้ความตั้งใจของทักษิณสัมฤทธิผล ประชาชนจะต้องอดทนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เป็นหูเป็นตาให้กันและกัน และรวมตัวกันปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของตัวเองและของรัฐ ภาคเอกชนจะต้องระดมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเต็มอัตราศึก ในการป้องกันอาคารสถานที่ของตัวเองด้วยความเฉียบขาด ตามสิทธิที่มีกฎหมายคุ้มครอง เช่น การป้องกันตัวเอง ป้องกันมิให้มีการบุกรุก ประชาชนจะต้องเฝ้าฟังเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความตระหนัก เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงจุดเสี่ยงต่างๆ
nidd.riddhagni@gmail.com