วานนี้(3 มี.ค.)ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยถึงผลการตรวจสอบข้อกฎหมายเอาผิดต่อนายพรวัฒน์ ทองสมบูรณ์ ฉายาเคทอง ลูกน้องคนสนิท พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ปล่อยข่าวผ่านวิดีโอคลิปวันที่ 26 ก.พ.เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ว่าได้ประชุมร่วมกับคณะทำงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาลและเจ้าหน้าที่ฝ่าย สืบสวนนครบาล 3 ในข้อกฎหมายว่าจะเอาผิดกับนายพรวัฒน์ ได้หรือไม่อย่างไร เพราะขณะนี้เขาอยู่ในช่วงประกันตัวคดีที่ถูกจับกุมอาวุธสงครามและเครื่องกระสุนจำนวนมากในบ้านพัก เสธ.แดง ซึ่งในเรื่องที่นายพรวัฒน์ ใช้ถ้อยคำรุนแรงพูดผ่านคลิปวิดีโอในยูทิวบ์วันที่ 26 ก.พ.ว่าจะมีเหตุระเบิดเกิดขึ้นต่อเนื่อง กระทั่งวันที่ 27 ก.พ.ได้มีเหตุเกิดขึ้นจริงในหลายจุด
โดยการพูดลักษณะนี้ทำให้สังคมเกิดความสับสน สร้างความปั่นป่วนหวาดระแวงในสังคมทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว โดยตนเองได้รับมอบหมายจาก พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.ให้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับนายพรวัฒน์ จากการหารือข้อกฎหมายและสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจนครบาล ลงความเห็นขอศาลอนุมัติหมายจับนายพรวัฒน์ 2 ข้อหา
ภายหลังพบว่า คำพูดที่นายพรวัฒน์ พูดนั้นถือมีความผิดเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต (1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย (2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ (3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และข้อหา ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสียหาย หรือชื่อเสียงของผู้ถูกขืนใจนั้นจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยได้กระทำไปเพื่อให้ผู้ถูกข่มขืนใจ ทำ ถอน ทำให้เสียหาย หรือทำลายเอกสารสิทธิอย่างใดและยักยอก ความผิดลหุโทษจำคุก 3 เดือน
ส่วนกรณีที่มีการส่งคลิปวิดีโอไปโพสต์เผยแพร่ในเว็บไซต์ต่างๆ นั้น พล.ต.ต.อำนวย กล่าวว่า กำลังประสานกับสันติบาลว่าจะสามารถดำเนินคดีได้หรือไม่อย่างไร
**แก๊งชั่วจ้องบึ้มเอเอสทีวี/ผู้จัดการ**
วันเดียวกันแหล่งข่าวด้านความมั่นคงเปิดเผยว่า ภายหลังคนร้ายลอบวางระเบิดธนาคารกรุงเทพหลายสาขา ทั้งใน กทม.และปริมณฑล ซึ่งการก่อเหตุดังกล่าวไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด เนื่องจากเคยมีการแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก่อนเกิดเหตุแล้ว
ขณะเดียวกัน หน่วยข่าวกรอง ยังได้รับรายงานว่า กลุ่มดังกล่าวมีการหมายหัวสื่อมวลชนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับกลุ่มอำนาจเก่าทั้งสื่อในเครือเนชั่น นสพ.แนวหน้า และเอเอสทีวีผู้จัดการ ซึ่งล่าสุดมีโทรศัพท์ลึกลับเข้าไปยังโอเปอเรเตอร์ของหนังสือพิมพ์แนวหน้า ตั้งอยู่เลขที่ 96 หมู่ 3 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม.ก่อนขู่วางเพลิง ต่อมาทางหนังสือพิมพ์แนวหน้าได้ประสานมายังกองปราบปราม ซึ่งทาง พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รักษาการ ผบก.ป.ได้ส่งกำลังเจ้าหน้าที่คอมมานโดเข้าไปดูแลความปลอดภัยแล้ว
"ทางกลุ่มผู้ไม่หวังดีเตรียมก่อเหตุร้าย ที่บ้านเจ้าพระยา ซึ่งเป็นที่ตั้งของ สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี และบ้านพระอาทิตย์ ที่ตั้งบริษัทเอเอสทีวี ผู้จัดการ จำกัด ถนนพระอาทิตย์ โดยอาจมีการวางระเบิดหรือซุ่มยิงด้วยเครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 แต่ทั้งนี้ทางกลุ่มดังกล่าวยังไม่สบโอกาสเพราะทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและทางบริษัท เอเอสทีวี ได้จัดกำลังดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เคยมีคนร้ายลอบวางระเบิดและยิงเอ็ม 79 ใส่ เอเอสทีวีผู้จัดการมาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ทางฝ่ายความมั่นคงคาดว่ากลุ่มดังกล่าวจะมีการก่อเหตุรุนแรงกว่าที่ผ่านมา "
ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ที่ปรึกษากองทัพบก เข้าให้ปากคำในคดีร่วมกันมีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกให้ได้ต่อพนักงานสอบสวน กองปราบปราม ก่อนให้สัมภาษณ์ด่าสื่อทั้งสามฉบับอย่างหยาบคาย
ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก บช.น. กล่าวว่า เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้รับรายงานถึงเรื่องดังกล่าว แต่ฝ่ายสืบสวนก็ยังคงออกหาข่าวและติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่ก่อความวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยก่อนหน้านี้ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.ก็ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1.และ พ.ต.อ.ขิง แขวงวิเศษชัยชาญ ผกก.สน.ชนะสงคราม ส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนและสายตรวจคอยดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว
*** เสธ.แดงหางจุกตูดเบี้ยวนัดให้ปากคำกองปราบ
ขณะที่กองปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.อ.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต รองผบก.ป. กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนดำเนินคดีกับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ในข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดโดยผิดกฎหมาย และมีซึ่งยุทธภัณฑ์โดยไม่ได้รับอนุญาต ว่า ทางพนักงานสอบสวน บก.ป.ได้มีหนังสือถึง พล.ต.ขัตติยะ ภายหลัง พล.ต.ขัตติยะ เข้ามอบตัวและให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยจะขอยื่นคำให้การเป็นเอกสารในภายหลัง ซึ่งในส่วนของคดีทางพนักงานสอบสวน บก.ป. จะเดินหน้าดำเนินการในส่วนอื่น ๆ ต่อไป โดยแม้จะมีการยื่นเอกสารคำให้การเพิ่มเติมหรือไม่ก็ตาม ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้พิจารณาแจ้งข้อหาเพิ่มเติมใด ๆ กับ พล.ต.ขัตติยะ
ทั้งนี้ทางพนักงานสอบสวน บก.ป.ได้มีหนังสือถึง พล.ต.ขัตติยะ เพื่อเข้าให้ปากคำเพิ่มเติมในวันเดียวกันนี้ แต่ไม่ได้รับการติดต่อจาก พล.ต.ขัตติยะ และไม่มีการเข้าพบพนักงานสอบสวนตามนัดหมาย ซึ่งทางพนักงานสอบสวนจะประสานนัดหมายกับ พล.ต.ขัตติยะ อีกครั้ง
**"อดุลย์"ถกรับมือม็อบแดง**
เวลา 14.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ปรึกษา(สบ 10) ฝ่ายความมั่นคงและกิจการพิเศษ ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) เรียกประชุมวางมาตรการรับมือการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ประกาศจะเคลื่อนไหวชุมนุมใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. นี้ โดยได้มีการเรียกผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการควบคุมกลุ่มผู้ชุมนุมต่าง ๆ ทั้งในพื้นที่นครบาล ภูธร ตลอดจน ฝ่ายจราจร และกฎหมาย เข้าร่วมประชุมด้วย
พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการตรวจสอบความพร้อมของแต่ละหน่วยทุกวัน เพื่อที่จะเตรียมรับสถานการณ์ โดยได้มีการเรียกประชุมผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการควบคุมกลุ่มผู้ชุมนุมต่างๆ ทั้งในพื้นที่นครบาล ภูธร ตลอดจน ฝ่ายจราจร และกฎหมาย เพื่อกำหนดมาตรการในการรับมือกลุ่มคนเสื้อแดงให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยจะพยายามไม่ให้การชุมนุมไปกระทบการจราจรของคนส่วนใหญ่ ซึ่งมีการเตรียมทางเบี่ยงรองรับ
ส่วนมาตรการตั้งด่านของตำรวจยังคงมีการดำเนินการอยู่ แต่มีการสับเปลี่ยนกำลังตามความเหมาะสม เพื่อให้กำลังไม่อ่อนล้า ซึ่งตำรวจจะพยายามอย่างเต็มที่ในการดูแลสถานการณ์การชุมนุมไม่ให้เกิดความรุนแรงซ้ำรอยเดือน เม.ย. 2552
**เตือนลูกเมีย ครม.ระวังตัวมากขึ้น**
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวว่า ในการประชุมครม.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นายกฯให้ตนรายงานถึงสถานการณ์ภายหลังศาลตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งตนได้รายงานให้ ครม.รับทราบข้อเท็จจริงทุกแง่มุม เรื่องที่เกิดขึ้นเราได้คาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว และสั่งการให้ระมัดระวังอยู่แล้ว เพียงแต่พื้นที่กว้างขวาง ผู้ก่อการสามารถหาช่องโหว่กระทำการในสาขาธนาคารที่อยู่นอก กทม. และ จ.สมุทรปราการ และในกทม. เป็นสาขาเล็กๆ 2 แห่ง อีกทั้งเจ้าหน้าที่ไม่มีกำลังเพียงพอในการดูแล แต่หลังเกิดเหตุได้เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ และเพิ่มมาตรการในการดูแลตลอดจนลาดตระเวน และตั้งด่านตรวจ
ส่วนที่มีข่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไปติดตามแกนนำในบัญชีดำ 200 กว่าคน ตามที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย หรือนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ออกมาพูดนั้นไม่เป็นความจริง ซึ่งได้แจ้งให้ ครม.ทราบว่า ความจริงคือ มีคนบางคนที่เราเคยไปตรวจค้นอาวุธ หรืออาจจะเป็นกลุ่มคนที่มาทำร้ายบ้านเมืองได้ อย่างนี้ก็ต้องติดตาม คอยสอดส่องพฤติกรรมเอาไว้ ทั้งนี้เพื่อปกป้องบ้านเมือง
"เราไม่ประมาทในทุกข่าว และเมื่อมากรองดูแล้ว หากมีแนวโน้มเกิดขึ้นได้ก็ระมัดระวังทุกอย่างขอให้ ครม.ระมัดระวังในสถานที่ทำงานทุกหน่วย กระทรวง ทบวง กรมทั้งหลายต้องเพิ่มขีดความสามารถให้มากขึ้น จะได้ช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกทางหนึ่ง ส่วนครอบครัวและลูกเมียเวลาไปไหนต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น ถ้ารู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ก็ให้บอกมาจะดูแลให้เป็นพิเศษ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปตื่นตระหนกอะไรมากมาย"
เมื่อถามว่า มีการวิเคราะห์ว่าจะมีการทำร้ายลูกเมียรัฐมนตรี นายสุเทพ กล่าวว่า มีกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวที่พูดจาปลุกระดมประชาชนในที่ต่างๆ แล้วฝ่ายข่าวบันทึกเทปมาดู มีการพูดจาระบุเรื่องการจับลูกเมียของ ครม. หรือผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็นตัวประกัน มันมีพฤติกรรมอยู่ ตนต้องเตือนให้ระมัดระวังเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าต้องเป็นเหตุอย่างที่พูด เอาเป็นว่า เราทำทุกอย่าง เพื่อความไม่ประมาท
**อย่าหลงเชื่อคำยุยงกลุ่มเสื้อแดง**
เมื่อถามว่าการชุมนุมวันที่ 14 มี.ค.นี้ กลุ่มเสื้อแดงประกาศจะมาชุมนุมนับล้านคนเตรียมรับมืออย่างไร นายสุเทพ กล่าวว่าเป็นเรื่องที่คาดไว้อยู่แล้ว เพราะเขาพูดมานานแล้ว สื่อมวลชนก็ได้ยิน ว่าต้องมาให้เป็นล้านคน ทำทีเดียว ม้วนเดียวจบ เอารถปิ๊กอัพมาเป็นแสนคัน ปิดล้อม กทม.ให้เป็นอัมพาต ก็เป็นสิ่งที่เขาพูดมาเยอะแล้ว
"โดยความเชื่อของผมเอง เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศไม่ต้องการให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายใดๆ คนไทยส่วนใหญ่ต้องการเห็นบ้านเมืองสงบ ผมไม่เชื่อว่าจะมีคนมาเป็นล้านคนไม่เชื่อแน่นอน"
เมื่อถามว่า ส.ส.เพื่อไทย ให้การสนับลสนุนกลุ่มเสื้อแดง จะเกณฑ์คนขนใส่รถปิ๊กอัพเข้า กทม. จะสำเร็จหรือไม่นายสุเทพ กล่าวว่า ส.ส.หลายท่านเป็นนักการเมืองอาชีพ บางท่านก็ไม่อยากทำ ก็มาเล่าให้ฟัง เมื่อถามว่าการใช้กฎหมายพิเศษจำเป็นต้องใช้หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ ถ้าจำเป็นจะแจ้งให้ประชาชนทราบ และประชาชนจะเข้าใจว่า มีความจำเป็นอย่างไร
**มาร์คไม่หวั่นไหวข่าวถูกปองร้าย**
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายสุเทพ ระบุในที่ประชุม ครม.เตือนรัฐมนตรีให้ระวังลูกเมีย เพราะอาจจะตกอยู่ในอันตรายว่า ทุกคนมีความกังวล ไม่เฉพาะ ครม.ทุกคนควรจะรักครอบครัว เพราะมีข่าวแบบนี้มีมาระยะหนึ่งแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมี ตนคิดว่า จริงๆ ก็เป็นเรื่องแปลก เพราะคิดว่าสังคมไทยไม่น่าจะมีแนวคิดในลักษณะของการทำร้ายกันเช่นนี้ แต่ขอยืนยันว่า ตนก็คงไม่สามารถตอบแทนทุกท่านได้ แต่ครอบครัวตนไม่มีความหวั่นไหว เพราะเขาทราบตั้งแต่ต้นว่าเมื่อเข้ามาทำงานนี้ในสถานการณ์อย่างนี้ เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่า เป็นสิ่งที่ต้องเผชิญ ไม่มีความหวั่นไหว แต่ก็อยากตั้งคำถามว่า คนที่มีความคิดในเรื่องแบบนี้ ไปเอาความคิดนี้มาจากไหน มันไม่น่าจะมีอยู่ในสังคมไทย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ตนได้ย้ำ และเป็นห่วงมาตลอดคือ ปัญหาเรื่องของความรุนแรง ความคิดที่ไม่คำนึงถึงวิธีการในการบรรลุเป้าหมายของตัวเองที่เป็นจุดอ่อนที่เห็นมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการอยากรวย อยากมีสตางค์ โดยไม่สนใจว่าด้วยวิธีใด อยากเอาชนะโดยไม่สนใจว่าด้วยวิธีใด ตรงนี้คือต้นตอของปัญหา และทำให้ต้องช่วยกันทำความเข้าใจว่า หัวใจอย่างหนึ่งของประชาธิปไตย คือ เรื่องของกระบวนการ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของการเลือกตั้ง แต่กระบวนการที่ต้องเคารพสิทธิของคนอื่น กระบวนการที่รู้ว่าในระบอบประชาธิปไตยหัวใจที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ขอบเขต การใช้อำนาจ การใช้สิทธิ หรือการเคลื่อนไหว ก็ต้องมีขอบเขต และถ้าช่วยกันทำความเข้าใจว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริง หัวใจอยู่ที่การมีขอบเขตที่เหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับพื้นฐานของประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิมีความเสมอภาคเท่าเทียมกันในการกำหนดอนาคตของประเทศ
"ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่ที่จะมาชุมนุม หรือที่เคยมาชุมนุม ไม่ได้นิยมความรุนแรง แต่อยากบอกคนเหล่านั้นว่า รัฐบาลก็ไม่นิยมความรุนแรง ท่านจะทำอะไร รัฐบาลจะทำอะไร ต้องไม่ตกเป็นเหยื่อของคนที่อยากจะใช้ความรุนแรงมาเป็นเงื่อนไขในการที่จะได้เป้าหมายของตัวเอง ถ้าอยากได้ประชาธิปไตย ต้องปฏิเสธความรุนแรง"
**ลั่นไม่ให้ความรุนแรงชนะความถูกต้อง**
อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์เชื่อว่า จะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ เราไม่สามารถห้ามคนบางกลุ่มที่จะพยายามใช้ความรุนแรงได้ทุกคน และความรุนแรงอาจเกิดขึ้น เช่นที่ผ่านมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ตนยืนยันได้คือ
"เราจะไม่ให้ความรุนแรงชนะในสังคมนี้ สังคมนี้จะต้องชนะความรุนแรงด้วยการไม่ใช่ความรุนแรง ส่วนจะเป็นปัจจัยทำให้สังคมชนะได้หรือไม่นั้น ผมคิดว่าความเข้าใจของคนในสังคม จึงได้ขอความร่วมมือจากสื่อในการเผยแพร่ ข้อมูลและค่านิยมที่ถูกต้อง อยากจะขอความร่วมมือว่า ก็ไปห้ามคนให้ข่าวไม่ได้ แต่ว่าอะไรก็ตามที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่จะเป็นระหว่างรัฐบาลกับผู้ชุมนุม หรือรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ฝ่ายนั้นกับฝ่ายนี้ และสื่อมีหน้าที่เสนอความเป็นจริง แต่วิธีการนำเสนอ มันก็ช่วยลดหรือเพิ่มความรุนแรงได้ ก็ฝากสื่อด้วย"
**ชี้ "แม้ว"ป่วนหนักหวังเจรจา
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามเคลื่อนไหวสร้างกระแสใส่ร้ายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า นายกฯและรัฐบาลได้จัดตั้งองค์กรไล่ล่าดำเนินคดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ตนคิดว่าเป็นการใส่ร้าย และพยายามที่จะสร้างคะแนนสงสารให้ตัวเองมากกว่า และอยากชี้แจงว่านายกฯ ได้ยืนยันตลอดเวลาว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย และนายกฯ ก็ได้แยกแยะ ความผิดความถูกของคำพิพากษา ที่จะต้องปฏิบัติอย่างชัดเจน
การที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้สัมภาษณ์ผ่าน วอยซ์ทีวีนั้น ตนคิดว่าพ.ต.ท.ทักษิณ พยายามที่จะแสดงท่าที ที่ต้องการให้มีการเจรจาเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเป้าหมายของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่พยายามดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ให้ได้