xs
xsm
sm
md
lg

เด้งรับฟันแพ่ง-อาญาถึงคิวเชือด “ซีทีเอ๊กซ์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน : เผยมติยึดทรัพย์ "แม้ว" 7 ต่อ 2 ส่วน 2 เสียงข้างน้อยคือ "ไพโรจน์ วายุภาพ-กำพล ภู่สุดแสวง " ให้ยึดหมด ด้าน"มาร์ค-องค์กรอิสระ” รับลูกเตรียมขยายผลคดีอาญา-แพ่ง ถึงคิวเชือดต่อ "ซีทีเอ็กซ์" ปปช.ถกข้อมูลใหม่ ถือหุ้น1,419 ล้านหุ้น


วานนี้ (28 ก.พ.) แหล่งข่าวผู้พิพากษา กล่าวถึงมติองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่มีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สิน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ หรือ ณ ป้อมเพ็ชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ นายพานทองแท้ น.ส.พินทองทา บุตรชาย และบุตรสาว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ รวม 46,373,687,454.70 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน

เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ โดยให้ครอบครัวถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด ( มหาชน) แทน โดยขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่ ออกนโยบาย 5 มาตรการเอื้อประโยชน์ธุรกิจครอบครัวว่า ก่อนหน้านี้ที่มีการระบุว่า องค์คณะผู้พิพากษาลงมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 เสียง ให้ทรัพย์สินของพ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว ตกเป็นของแผ่นดินนั้น เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะมติ 8 ต่อ 1 ดังกล่าว เป็นการวินิจฉัยประเด็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีความผิดในการใช้อำนาจ ออกนโยบาย 5 มาตรการหรือไม่

ส่วนการลงมติวินิจฉัยให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว จำนวน 46,000 ล้านบาทเศษนั้น องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากด้วยลงมติด้วยเสียง 7 ต่อ 2 อย่างไรก็ดีสำหรับคำวินิจฉัยส่วนตัวของผู้พิพากษาองค์คณะแต่ละคน และคำพิพากษากลาง ที่ลงมติให้ยึดทรัพย์นั้นจะนำไปติดเผยแพร่ที่ศาลฎีกาได้ภายในสัปดาห์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับมติองค์คณะ 8 ต่อ 1 เสียงที่วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจขณะดำรงตำแหน่งนายกฯ ออกนโยบาย 5 มาตรการเอื้อประโยชน์ทำให้รัฐเสียหาย จากกรณีแปลงค่าสัมปทานเป็นค่าภาษีสรรพสามิต การแก้ไขสัญญาอัตราจัดเก็บภาษีมือถือระบบเติมเงิน หรือพรีเพด ให้กับบริษัท AIS การแก้ไขสัญญาเชื่อมต่อสัญญาณ หรือโรมมิ่ง ให้กับบริษัท AIS การยิงดาวเทียมไอพีสตาร์ขึ้นไปเป็นดาวเทียมสำรองให้กับดาวเทียมไทยคม 3 และการปล่อยกู้รัฐบาลพม่าจำนวน 4 ,000 ล้านบาท ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า หรือเอ็กซิมแบงก์นั้น พบว่า เสียงผู้พิพากษา 8 คน เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำผิดทั้ง 5 มาตรการ ส่วน 1 เสียงนั้นคือ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกา เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา

**เผย 2 เสียงข้างน้อยให้ยึดหมด

ส่วนประเด็นที่วินิจฉัยเกี่ยวกับการยึดทรัพย์นั้น ปรากฏว่า ผู้พิพากษาองค์คณะทั้ง 9 คน มีมติเอกฉันท์ว่า ต้องให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน โดยประเด็นที่ต้องวินิจนฉัยว่า ให้ทรัพย์สินตกเป็นของจำนวนเท่าใดนั้น ผู้พิพากษาองค์คณะมีมติเสียงมาก 7 ต่อ 2 ว่าให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน จำนวนกว่า 46,000 ล้านบาท โดยการวินิจฉัยดังกล่าว ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย 2 เสียงคือ นายไพโรจน์ วายุภาพ รองประธานศาลฎีกา และนายกำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา เห็นว่าควรให้ทรัพย์สินตามคำร้อง จำนวน 7.6 หมื่นล้านบาท เศษ ตกเป็นของแผ่นดิน
 
อย่างไรก็ดีแม้ว่า ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล จะลงมติว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา แต่สุดท้ายองค์คณะกลับลงมติครบทั้ง 9 เสียง ในประเด็นการยึดทรัพย์ โดยปรากฏว่าม.ล.ฤทธิเทพ ได้มีมติให้ยึดทรัพย์ด้วยนั้น เนื่องจากตามกฎหมายการลงมติของผู้พิพากษา องค์คณะต้องออกเสียงตัดสินทุกประเด็น ไม่สามารถงดออกเสียงประเด็นใดประเด็นหนึ่งได้ จึงปรากฏว่าม.ล.ฤทธิเทพ ได้ลงมติเป็น 1 ใน 7 เสียงข้างมาก ให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวจำนวน 46,000 ล้านบาทเศษดังกล่าว

**มาร์คยันรัฐบาลไม่ใช่คู่กรณีแม้ว

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงท่าทีของพ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งพรรคเพื่อไทย ที่ไม่ยอมรับผลการตัดสินคดียึดทรัพย์ของกระบวนการตุลาการ ว่า เป็นเรื่องยากที่จะให้คนพอใจคำตัดสิน คำพิพากษา ซึ่งตนอยากจะบอกว่า ทุกคนต้องตั้งสติ ถ้าเราไม่เชื่อกระบวนการยุติธรรม เราจะไม่มีจุดจบ และกระบวนการยุติธรรม ตนคิดว่าถ้ามีปัญหาจริง เช่น ไปพบว่าผู้พิพากษาหรือใครที่มีส่วนได้เสีย ก็มีกระบวนการที่ดำเนินการได้อยู่แล้ว

"ผมยังมองไม่เห็นว่า มีอะไรบ่งบอกถึงการใช้อำนาจของตุลาการในครั้งนี้มีความผิดปกติ การแจกแจงเหตุผลต่างๆ ก็ละเอียด การตัดสินก็ไม่ได้สุดโต่งไม่ทางหนึ่งทางใด ฉะนั้นผมยังมองไม่เห็นตรงนี้ ถ้าเราไม่ยอมรับก็จะไม่มีจุดที่จะยอมรับ ขนาดบอกไปนรก สวรรค์ ความจริงถ้าไปนรก หรือสวรรค์แล้ว ถือว่าตัดสินสุดท้ายก็ไม่รู้จะอุทธรณ์อะไรอีก" นายอภิสิทธิ์ กล่าว และเชื่อว่าในที่สุดแล้วถ้าคนไทยส่วนใหญ่ต้องการที่จะรักษาระบบ และเคารพกติกาต่างๆ และมีความหนักแน่น สุดท้ายตนคิดว่าทุกคนก็จะยอมรับ และคนไม่ยอมรับ จะมีปัญหากับตัวเองมากขึ้น

นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่า การที่ให้อัยการเข้าไปดูแลคดีที่ต่อเนื่องจากคำพิพากษา ไม่ใช่เป็นการไล่ล่า เพราะรัฐบาลไม่ใช่คู่กรณีกับพ.ต.ท.ทักษิณ แต่คนที่เป็นคู่กรณีกับพ.ต.ท.ทักษิณคือ แผ่นดิน รัฐบาลมีหน้าที่รักษาประโยชน์ของแผ่นดินเท่านั้นเอง

**อัด"จิ๋ว"ใส่ร้ายศาลทำให้สับสน

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงกรณี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ออกมาระบุว่า มีคนชักใยอยู่เบื้องหลังคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าน่าเสียดายที่ พล.อ.ชวลิตเคยเป็นถึงอดีตนายกฯ เป็นผู้หลัก ผู้ใหญ่ แต่คำพูดของท่านมันทำให้คนเอาไปคิดได้ถึงความไม่เป็นกลางของศาล ตนคิดว่าท่านไม่ควรจะพูดเช่นนั้น

ส่วนที่ยังมีนักวิชาการบางคน ออกมาพูดสอดคล้องกับนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ระบุว่าการตัดสินคดีเช่นนี้ เท่ากับศาลไปรับรองการปฏิวัติรัฐประหารนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ตนคิดว่าศาลได้ปฏิบัติตามกฎหมายชัดเจน คนที่วิพากษ์วิจารณ์ศาล ก็ขอให้พี่น้องประชาชนได้ไตร่ตรองก็แล้วกัน ส่วนจะเข้าข่ายเป็นการละเมิดหรือหมิ่นศาลหรือไม่ ตนคงไปพูดไม่ได้ ต้องให้ศาลว่าของท่านเอง

**กมธ.วุฒิฯขยายผลฟันอาญาแม้ว

นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า คำตัดสินของศาลมีความเป็นธรรม เชื่อว่าทุกฝ่ายน่าจะยอมรับฟังคำตัดสินครั้งนี้ได้ ซึ่งจะทำให้กลุ่มเสื้อแดงใช้เป็นเงื่อนไข ก็ลดลง นอกจากพ.ต.ท.ทักษิณจะไม่ยอมรับ และปลุกกระแสให้ประชาชนมาชุมนุมในวันที่ 14 มี.ค.อีกครั้ง หากเป็นเช่นนั้นการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จะมีการเดินเกมทั้งในสภา และนอกสภา เพื่อบีบให้นายกฯ ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ เปิดโอกาสให้พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมามีอำนาจอีกครั้ง จากนั้นก็แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนิรโทษกรรมให้ตัวเองพ้นผิด
 
นายประสาร กล่าวด้วยว่า หลังจากที่ศาลตัดสินคดีแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของป.ป.ช.จะดำเนินคดี ทางแพ่ง และคดีอาญาต่อไป ซึ่ง กรรมมาธิการศึกษาตรวจสอบการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา จะนำเนื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม สัปดาห์หน้า เพื่อขยายผลในคดีอาญา และจะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงกับ กรรมมาธิการต่อไป

**เผย"ซีทีเอ็กซ์"ต่อคิวขึ้นศาล

นายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า คณะอนุกรรมการ ป.ป.ช. จะนัดประชุมวันที่ 4 มีนาคม เพื่อเตรียมขอคำพิพากษาที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริงจำนวน 1,419 ล้านหุ้น แต่อยู่ในชื่อของบุคคลอื่นมาขยายผลประกอบการพิจารณาคดีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินเท็จฯในช่วงที่เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเป็นข้อมูลใหม่ที่ ป.ป.ช.ยังไม่เคยมีมาก่อน ถือเป็นข้อมูลสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีมาก คาดว่าคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.คงใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน จะส่งเรื่องให้ที่ประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่ลงมติชี้มูลความผิดได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ผลของคำพิพากษาที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีการซุกหุ้น โดยให้คนในครอบครัวถือหุ้นแทน จะถือเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาของ ป.ป.ช.ด้วยหรือไม่ นายภักดีตอบว่า คงต้องขึ้นอยู่กับที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ แต่เชื่อว่าทุกคนคงคาดเดาได้

นายใจเด็ด พรไชยา กรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะประธานคณะทำงานร่วม ป.ป.ช.และอัยการคดีทุจริตโครงการปรับปรุงระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าและเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด ซีทีเอ็กซ์ 9000 เปิดเผยว่า ต้นมีนาคมนี้จะมีการนัดประชุมคณะทำงานร่วมเพื่อสรุปสำนวนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนดำเนินการส่งฟ้องร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป เบื้องต้นยังไม่ได้กำหนดวันว่าจะส่งฟ้องเมื่อใด ต้องรอหารือในที่ประชุมคณะทำงานร่วมวันดังกล่าวก่อน

สำหรับสำนวนคดีที่ คตส.ส่งฟ้องให้กับอัยการ มีผู้ถูกฟ้อง 3 กลุ่ม ประกอบด้วยกลุ่มนักการเมือง อาทิ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กลุ่มพนักงานบริษัท การท่าอากาศยานแห่งใหม่ (บทม.) กับคณะกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) และกลุ่มนิติบุคคลรวมถึงบุคคลธรรมดา รวม 25 คน

**อัยการสูงสุดรับลูกมาร์ค

นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการคดีพิเศษ และโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้อัยการ เตรียมดำเนินคดีทั้งทางแพ่ง - อาญา ว่า สำนักงานอัยการสูงสุด มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และกฎหมายพิเศษที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหากมีการสอบสวนดำเนินคดีอัยการสามารถทำหน้าที่ยื่นฟ้องให้ได้ แต่ตามกฎหมายและหลักการดำเนินคดีอาญา ต้องให้หน่วยงานที่รับผิดชอบซึ่งมีหน้าที่สืบสวนสอบสวนดำเนินคดี เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ ( ดีเอสไอ) หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและสรุปสำนวนเสียก่อน แล้วจึงส่งความเห็นให้อัยการพิจารณาสั่งคดีว่าพยานหลักฐานเพียงพอที่จะสั่งฟ้องหรือไม่
 
ส่วนคดีแพ่งที่เป็นการฟ้องเรียกทรัพย์สิน หรือภาษีอากร นั้นต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมบัญชีกลาง หรือกรมสรรพากร ดำเนินการตรวจสอบก่อนว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างไร จำนวนเท่าใด เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานแล้วส่งให้อัยการพิจารณาเพื่อสั่งคดี และยื่นฟ้องต่อศาลให้หน่วยราชการที่เสียหายต่อไป
โฆษกอัยการสูงสุด กล่าวอีกว่า แม้นายกรัฐมนตรีจะให้ความสำคัญแก่อัยการที่ให้ดำเนินการเรื่องนี้ แต่กฎหมายยังไม่ได้เปิดช่องให้อัยการเข้าเป็นพนักงานสอบสวโดยตรง ยกเว้นคดีพิเศษที่ร่วมสอบสวนกับดีเอสไอ หรือการไต่สวนของ ป.ป.ช.

"เข้าใจว่านายกรัฐมนตรี เห็นว่าการดำเนินคดีเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ แต่อัยการต้องปฎิบัติตามขั้นตอน และยืนยันว่าเมื่อคดีมาถึงอัยการแล้วจะเร่งดำเนินคดีอย่างเต็มที่ ด้วยความรอบครอบ คดีที่มีหลักฐานพอฟ้องก็จะฟ้อง ถ้ามีข้อไม่สมบูรณ์จะส่งไปสอบเพิ่ม ส่วนคดีแพ่งหากมี อัยการจะตรวจสอบดูแลอย่างเต็มที่เพื่อเรียกค่าเสียหายสูงสุดคืนแก่แผ่นดิน"โฆษกอัยการสูงสุดกล่าว

**แฉเป้าหมายแม้วยึดอำนาจทั้งระบบ

นายตระกูล มีชัย อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ผลที่ออกมาไม่ว่าจะยึดครึ่งเดียวหรือยึดหมด พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ได้รับอยู่แล้ว และกรณียึดทรัพย์ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของเขา เพราะเป้าหมายหลักคือ การหลุดพ้นจากพันธะต่างๆ เพื่อจะได้กลับมามีอำนาจทั้งหมด แต่ไม่ใช่อำนาจจากการเป็นรัฐบาล เขาจะเปลี่ยนแปลง และยึดอำนาจรัฐทั้งระบบ ซึ่งได้มีการวางเป้าหมายเป็นเป็นขั้นตอนไว้เรียบร้อยแล้ว ยิ่งสอดคล้องกับที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานภาคใต้ พรรคเพื่อไทย ออกมาแถลงว่า จะปรับกลยุทธ์ แต่เป้าหมายยังเหมือนเดิม ซึ่งฝ่ายความมั่งคงของรัฐจะต้องสร้างความสมดุลในการป้องปรามการชุมนุมที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 14 มี.ค.นี้ โดยรัฐไม่ใช้ความรุนแรง และไม่ให้บ้านเมืองเสียหาย

"การตัดสินคดียึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้นักการเมืองกลัวผลจากการทุจริตได้ เพราะสังคมไทยเรายากที่จะจัดการกับนักการเมืองพวกนี้ อย่าว่าแต่พ.ต.ท.ทักษิณเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจของตัวเองเลย นักการเมืองรัฐบาลปัจจุบัน ก็ยังคงมีการทุจริตแบบโบราณ โดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาลที่คอร์รัปชั่นในการซื้อขายตำแหน่งข้าราชการมหาดไทย และกรณีเรื่องของ 3 จี รัฐบาลไม่ต้องหาใบเสร็จหรอก มันมีแบบนี้จริงๆ ต่อให้เหลือง-แดง มารักกัน เป็นไปไม่ได้ ความขัดแย้งทางความคิดของคนไทยจะมีขึ้นเรื่อยๆ เพราะตราบใดที่มีผลประโยชน์ของรัฐยังไม่หมด ซึ่งจะต้องสร้างมาตรฐานถ่วงดุลทางการเมือง เพราะนักการเมืองไม่กลัวอะไรเท่ากับการตรวจสอบ ผมเห็นด้วยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบโครงการไทยเข้มแข็งบางโครงการ เป็นการหาข้อมูลการทุจริตให้ประชาชนรับทราบ ถือว่าไม่ปิดบัง เปิดให้ประชาชนเข้ามาตรวจสอบ และน่าจะเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย นายกฯ จะได้เสียงเพิ่มอีก ไม่เหมือนรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ปกปิดข้อมูลการทุจริต ไม่ให้ประชาชนรับทราบ" นายตระกูลกล่าว

นายตระกูล กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้ไปฝ่ายพ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินเกมทั้งในและนอกสภา เชื่อว่าเมื่อถึงวันนั้นสถานการณ์มีโอกาสเกิดความรุนแรงเหมือนเดือนเมษายนปีที่ผ่านมา เพราะกลัวว่า รัฐบาลจะอ่อนล้าในการเตรียมตัวรับมือกลับกลุ่มผู้ชุมนุม จนอาจเกิดช่องว่างได้ เพราะอย่าลืมว่า คนที่คอยระวังตัว กับคนที่คอยจะจ้องทำลายนั้น คนคอยระวังตัวจะเสียเปรียบ ซึ่งไม่อยากให้ทุกฝ่ายมองว่าแกนนำเสื้อแดงแตกคอกัน เขาแตกคอกันไม่ได้หรอก เพราะเป้าหมาย และทุนของเขาอยู่ที่คนๆ เดียวกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.ชวลิต ได้ให้สัมภาษณ์ว่า การพิจารณาคดีครั้งนี้ของผู้พิพากษา มีอะไรอยู่เบื้องหลัง นายตระกูล กล่าวว่า แน่นอนพล.อ.ชวลิต ไม่ได้หมายถึงคนนั้นคนเดียวหรอก แต่หมายถึงอีกคนด้วย การที่เขาพยายามหมายถึงคนที่อยู่เบื้องหลังการพิจารณาครั้งนี้ เพื่อปลุกกระแสให้ประชาชนลุกขึ้นมาอีกครั้ง เพราะจากฟังคำพิพากษารู้สึกว่า กระแสจะลดลง ส่วนที่มีข่าวว่าแกนนำเสื้อแดงบางคนบอกว่า จะมีการขนปิ๊กอัพ 1 แสนคัน เข้ามาชุมนุมในวันที่ 14 มี.ค.นั้น จะเอาเงินมาจากไหน

**"แม้ว"เผยธาตุแท้ขายชาติ

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลนั้น ถือเป็นเรื่องธรรมดาของอาชญากรที่ไม่ยอมรับอาชญากรรมที่ตัวเองก่อขึ้น ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ รู้ดีว่าพฤติกรรมของอาชญากรเป็นอย่างไร เพราะได้ศึกษาระะดับปริญาโท และปริญญาเอกด้านอาชญวิทยา สิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงออกมาทำให้เผยธาตุแท้ที่เห็นแก่ตัว รักตัวเองมากกว่าประชาชน รักครอบ ครัวมากกว่าประเทศชาติ เพราะหลังจากคำพิพากษาออกมา พ.ต.ท.ทักษิณ กลับไม่ขอโทษประชาชน แต่ขอโทษครอบครัว ซึ่งไม่ทราบว่าพ.ต.ท.ทักษิณ รักชาติ รักประชาชน อย่างที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่

นายเทพไท กล่าวว่า ตนคิดว่าหลังจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ควรจะขอบคุณศาล เพราะมีรายละเอียดที่แยกแยะความผิดชอบ ชั่วดี อย่างชัดเจน ทำให้ประชาชนบางกลุ่มตาหูสว่างมากขึ้น และเห็นว่าผลประโยชน์ทับซ้อนเชิงทุจริตเป็นอย่างไร และจะได้รู้ตัวการที่ทำผิดร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เชื่อว่ากระบวนการกฎหมายจะเอาบุคคลเหล่านั้นมาลงโทษได้เช่นกัน ขอให้พ.ต.ท.ทักษิณ เลิกต่อต้านกระบวนการยุติธรรม และยอมรับคำตัดสินของศาล เพราะต่อไปจะถือว่าเป็นบรรทัดฐานให้คนไทยทั้ง 63 ล้านคน ปฏิบัติโดยถ้วนหน้ากัน

**ชี้พูดหมิ่นเหม่ละเมิดศาล

นายเทพไท กล่าวว่า สิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณพูดเป็นการหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดอำนาจศาล โดยเฉพาะการพูดว่า "มันตั้งคน 9 คน ด่าๆ ไปมั่วๆไป แล้วสั่งยึดไปดูมันง่ายจริง" ตนคิดว่า เป็นการหมายถึงตุลาการทั้ง 9 คน และส่วนที่ระบุว่า ศาลใช้เสียงข้างมากโดยไม่ระบุว่า ใช้มติเท่าใดเหมือนคดีอื่นๆ ตนไม่อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ด่วนสรุป หรือใจร้อน ควรรอให้ลิ่วล้อ หรือที่ปรึกษากฎหมายส่งคำพิพากษาฉบับเต็มไปให้ดู จะเห็นได้ชัดว่า มีการระบุชัดเจนว่า มีการลงมติกันอย่างไร และมีใครบ้าง ซึ่งเป็นการพูดที่พยายามบิดเบือน รวมไปถึงการที่จะให้ทนายอุทธรณ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยพูดถึงศาลว่าไม่ยุติธรรม เพราะมีศาลเดียว แต่วันนี้พ.ต.ท.ทักษิณ กลับจะให้ทนายอุทธรณ์ จึงเห็นว่าอะไรที่ตัวเองได้ประโยชน์ ก็จะใช้ช่องทางนั้น

"อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ดูกระแสสังคม ล่าสุดเอแบคโพล สำรวจพบว่าประชาชนอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับในคำพิพากษาของศาล 56.7 เปอร์เซ็นต์ และยังมีความเห็น 32.6 เปอร์เซ็นต์ หากไม่เห็นด้วยให้ไปอุทธรณ์ ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่เรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เคารพในคำตัดสินครั้งนี้" นายเทพไท กล่าว

นายเทพไท ยังกล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ระบุว่า มีบางคนอยู่เบื้องหลังคอยชักใยทำให้บ้านเมืองเลวร้ายทุกวันนี้นั้น ตนไม่ทราบว่าคนที่พล.อ.ชวลิตพูดถึง หมายถึงใคร ทำไม พล.อ.ชวลิต ซึ่งเป็นชายชาติทหารไม่กล้าพูดความจริงและบอกให้สังคมรู้ เพราะหากมีจริงควรที่จะเปิดเผย จะได้เรียกร้องให้สังคมได้ตรวจสอบ
การใส่ร้ายที่บอกว่าสังคมไทยมีแต่ความไม่ยุติธรรมถึง 78 ปี คนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังความไม่ยุติธรรมตลอดเวลาใช่หรือไม่ และในช่วงเวลาดังกล่าวมีนายกฯ ชื่อ พล.อ.ชวลิต พ.ต.ท.ทักษิณ และนายกฯนอมินี ซึ่งพวกคุณเคยคิดที่จะทำให้บ้านเมืองมีความยุติธรรมตามที่ใฝ่ฝัน หรือไม่ เพียงเพราะถูกศาลตัดสิน จึงหยิบยกเรื่องความไม่ยุติธรรมขึ้นมา และโยงใยถึงอดีตให้กระบวนการยุติธรรมเสียหาย
ส่วนกรณีที่ พล.อ.ชวลิต จะทำทุกวิถีทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศนั้น ตนเชื่อว่าเป็นความปรารถนาของทุกคน ที่อยากเห็นพ.ต.ท.ทักษิณ กลับมา แต่พ.ต.ท.ทักษิณ ต่างหากที่ไม่กล้ากลับ และตนไม่เชื่อว่าไม่มีใครไปนำมา ซึ่งรัฐบาลและทุกคนพร้อมต้อนรับ แต่เมื่อเข้ามาต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ส่วนคำถามที่นักข่าวถาม พล.อ.ชวลิตว่า หลังจากนี้จะเกิดเหตุนองเลือดหรือไม่นั้น พล.อ.ชวลิต กลับบอกว่า เป็นความลับ เป็นคำตอบที่แคลงใจให้กับสังคม เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น เมื่อคืนวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา เกี่ยวข้องกับความลับของพล.อ.ชวลิต หรือไม่ และที่น่ากลัวในอดีต เช่น เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ มีกระบวนการมอเตอร์ไซต์ ไปตีสัญญาณจราจร และไปตีป้อมตำรวจ ซึ่งเป็นปริศนาทุกวันนี้ว่า เกี่ยวข้องกับ พล.อ.ชวลิตหรือไม่ ดังนั้นอยากเรียกร้องให้ พล.อ.ชวลิต ออกมาให้ความกระจ่างกับสังคม

**สื่อนอกเชื่อแม้วรอเวลามีอำนาจ

ทางด้านสำนักข่าวเอเอฟพี รายงานความเห็นของพวกนักวิเคราะห์ชาวตะวันตกและนิยมประชาธิปไตยแผนตะวันตก โดยระบุว่า คำตัดสินของคณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งให้ยึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นบางส่วน นับเป็นการประนีประนอมที่น่าจะผ่อนเบาความตึงเครียดได้บ้าง แต่จะไม่สามารถเยียวยาความแตกร้าวอันลึกล้ำในสังคมไทยได้

“มันช่วยเพิ่มพื้นที่หายใจให้แก่สถานการณ์ที่อาจปะทุดั่งภูเขาไฟระเบิดได้” เป็นความเห็นของ พอล แชมเบอร์ส นักวิเคราะห์อาวุโสด้านการเมืองไทย ณ มหาวิทยาลัยไฮเดลแบร์ก ในเยอรมนี โดยนายแชมเบอร์ส ชี้ด้วยว่าคำตัดสินดังกล่าวอาจถือเป็นชัยชนะในระดับหนึ่งของทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ ต่างฝ่ายต่างไม่อาจถูกปะป้ายว่าแพ้ยับเยินในการต่อสู้ครั้งนี้ ซึ่งก็เท่ากับว่าเกมการต่อสู้ยังต้องดำเนินกันต่อ

ในการนี้ สำนักข่าวเอเอฟพีให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ฝ่ายสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเรียกกันว่าฝ่ายเสื้อแดง พากันเชื่อมากขึ้นว่ามันเป็นการสมคบคิดกันระหว่างพวกผู้นำฝ่ายทหาร ฝ่ายข้าราชการ และฝ่ายพระราชวัง ทั้งนี้ เอเอฟพีนำเสนอความเห็นของอาร์โนด เลอโว ผู้เชี่ยวชาญเมืองไทยประจำสถาบันวิจัยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร่วมสมัย หรือ Research Institute on Contemporary Southeast Asia ซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ในกรุงเทพฯ ที่กล่าวว่า คำตัดสินอาจไปเร่งกำลังของฝ่ายเสื้อแดง
สำนักข่าวเอเอฟพีลงท้ายด้วยความเห็นของนายแชมเบอร์สว่า การตัดสินคดีครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเป็นฝ่ายปราชัย ทว่าเขาจะต้องรอคอยเวลา

“เมื่อมีทั้งผู้คนจำนวนมากมายคอยเดินตาม, มีกองทุนที่เพียงพอใช้สอย, ไม่มีคู่แข่งทางการเมืองที่สามารถเทียบเคียงบารมีของทักษิณได้ และโดยที่ฝ่ายยึดกุมอำนาจขณะนี้ ค่อยๆ อ่อนกำลังลง ทักษิณจะยังคงอยู่ในตำแหน่งแห่งที่ที่สมบูรณ์ยิ่งที่จะต่อสู้เพื่ออำนาจ แต่เขาต้องรอคอยเวลา” นายพอล์ แชมเบอร์ส กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น