คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1. “ในหลวง-พระราชินี” ส่งพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยเหตุแผ่นดินไหวในชิลี!
ตามที่ได้เกิดแผ่นดินไหวที่ประเทศชิลีเมื่อวันที่ 27 ก.พ. โดยมีความรุนแรงถึง 8.8 ริกเตอร์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตนับพันคนและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว ได้เกิดสึมานิตามมา รวมทั้งเกิดอาฟเตอร์ช็อคไม่ต่ำกว่า 150 ครั้ง โดยครั้งที่รุนแรงที่สุดคือ เมื่อวันที่ 3 มี.ค. ซึ่งเกิดขึ้น 2 ครั้ง วัดแรงสะเทือนได้ 5.9 และ 6.0 ริกเตอร์นั้น
กองข่าวสำนักราชเลขาธิการ แจ้งเมื่อวันที่ 4 มี.ค.ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยไปยังประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐชิลีต่อกรณีเกิดเหตุแผ่นดินไหวดังกล่าว ความว่า “ข้าพเจ้าและพระราชินีรู้สึกเศร้าสลดใจยิ่งนักที่ทราบข่าวเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งยังก่อความเสียหายอย่างหนักในประเทศของท่าน ขอแสดงความเสียใจด้วยใจจริงมายังท่านและผู้ประสบความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งนี้”
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินออกจากโรงพยาบาลศิริราช เพื่อปฏิบัติพระราชกรณียกิจส่วนพระองค์ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เมื่อค่ำวันที่ 27 ก.พ.(เวลา 20.55น.) จากนั้นได้เสด็จฯ กลับมาประทับยังอาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราชอีกครั้งในคืนเดียวกัน(เวลา 01.30น.)
2. “เสื้อแดง” เตรียมขนรถหลายหมื่นคันบุกกรุงชุมนุมใหญ่ ด้าน รบ. ยังไม่ฟันธง จะประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงหรือไม่!
หลังแกนนำ นปช.ได้นัดรวมพลคนเสื้อแดงทั่วประเทศในวันที่ 12 มี.ค.ก่อนเคลื่อนเข้าสู่กรุงเทพฯ ในช่วงเช้าวันที่ 14 มี.ค. เพื่อล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์นั้น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. เผยแผนชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดงว่า จะเริ่มในเวลา 12.00น.วันที่ 12 มี.ค. โดยคนเสื้อแดงทั่วประเทศจะรวมตัวกันในแต่ละจังหวัด จากนั้นเคลื่อนขบวนมารวมตัวกันที่จังหวัดตัวแทนของแต่ละภาค เช่น ภาคเหนือที่ จ.นครสวรรค์ แล้วเคลื่อนเข้าสู่ กทม.ช่วงเช้าวันที่ 14 มี.ค. นายณัฐวุฒิ บอกด้วยว่า ก่อนถึงวันชุมนุมใหญ่ จะมีการปราศรัยในภูมิภาคต่างๆ เพื่อเชิญชวนคนเสื้อแดงเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตย จากนั้นแกนนำคนเสื้อแดงจะประจำการตามพื้นที่ต่างๆ เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ล้มรัฐบาลต่อไป นอกจากนี้ สถานีโทรทัศน์พีเพิ่ลชาแนลจะปรับโหมดเข้าสู่การพร้อมรบตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค.เป็นต้นไป โดยจะมีการเคลียร์ผังรายการทั้งหมด แล้วนำเสนอรายการเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งใหญ่ภายใต้ชื่อว่า “เคลื่อนพลทั้งแผ่นดิน โค่นรัฐบาลอำมาตย์ ยุบสภา”
นายณัฐวุฒิ ยังประกาศด้วยว่า “การต่อสู้ของคนเสื้อแดงวันนี้ เลยจากชะตากรรม พ.ต.ท.ทักษิณไปนานแล้ว แต่เป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้นคนที่ถูกกดขี่กับชนชั้นสูง ซึ่งหมายถึงกลุ่มอำมาตย์ จากการคุยโทรศัพท์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ท่านยังยืนยันจะร่วมขบวนการต่อสู้กับคนเสื้อแดงอย่างถึงที่สุด”
ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้ออกมาปลุกคนเสื้อแดงผ่านอินเตอร์เน็ตให้ช่วยกันเปลี่ยนประเทศไทย “พี่น้องที่จะมาร่วมประท้วงกันในวันที่ 14 มี.ค. เรามาทำความจริงให้โลกรู้ว่า พี่น้องประชาชนไทย 60 ล้านคน ไม่เอากับระบบนี้แล้ว ทำไมไม่ให้ประชาชนเขาตัดสินใจเองตามระบอบประชาธิปไตย บ้านเมืองนี้เป็นของคน 60 ล้านคน ไม่ใช่ของคนเพียงไม่กี่คน หรือเป็นของประชาชนคนสี่เสาฯ เท่านั้น ต้องให้ประชาชนตัดสิน”
ขณะที่ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำคนเสื้อแดง พูดถึงการเคลื่อนพลของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 14 มี.ค.ว่า คนเสื้อแดงจะรวมตัวกันในพื้นที่สำคัญประมาณ 10 จุด คือ บริเวณอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช(วงเวียนใหญ่) ,สี่แยกหลักสี่ ,ลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 สวนลุมพินี ,สน.ทุ่งสองห้อง ,สี่แยกบางนา ,สนามไทยญี่ปุ่นดินแดง เป็นต้น ส่วนในเขตปริมณฑล จะมีการรวมตัวกันบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ,บริเวณคลอง 4 จ.ปทุมธานี และหน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ จากนั้นจะเคลื่อนพลมายังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยจากพรรคภูมิใจไทย ได้ออกมาแฉว่า คนเสื้อแดงกำลังเตรียมขนคนเข้า กทม.ด้วยรถกระบะ โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน โดย ส.ส.1 คน รับผิดชอบรถกระบะ 100 คัน ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ไม่พอใจคำพูดของนายบุญจง โดยชี้ว่า นายบุญจงใส่ร้ายป้ายสี ดิสเครดิตพรรคเพื่อไทย ดังนั้นพรรคอาจจะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพื่อให้มีการยุบพรรคภูมิใจไทย
ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เตือนคนที่จะมาชุมนุม ไม่ควรนำรถมาจอดเกะกะในที่ห้ามจอดจนกรุงเทพฯ เป็นอัมพาต หาไม่แล้วคงต้องใช้รถลากไปเก็บไว้ที่อื่น ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ได้ออกมาสวนกลับนายสุเทพด้วยการประกาศว่า คนเสื้อแดงจะนำรถอีแต๋นเข้ามาเคลื่อนไหวใน กทม.แน่นอน และว่า หากมีการนำรถมาลากรถยนต์ของคนเสื้อแดง ผู้ชุมนุมก็จะยึดรถลากเหล่านั้นไว้ โดยจะคืนรถให้ทางราชการเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม นายณัฐวุฒิยังคุยโวด้วยว่า ขณะนี้มีรถยนต์มาลงทะเบียนเคลื่อนไหวกับคนเสื้อแดงทะลุ 35,000 คันแล้ว โดยไม่มีเรื่อง ส.ส.1 คนต่อรถ 100 คันแต่อย่างใด
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เชื่อว่า ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ไม่คิดทำสิ่งผิดกฎหมาย ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าตกเป็นเหยื่อของคนที่ต้องการทำผิดกฎหมาย และว่า ขณะนี้ รัฐบาลยังไม่มีความคิดที่จะประกาศให้วันชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดง 12-14 มี.ค.เป็นวันหยุดราชการแต่อย่างใด ทั้งนี้ ระหว่างการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง นายอภิสิทธิ์จะไม่อยู่ประเทศไทย เนื่องจากต้องเดินทางเยือนประเทศออสเตรเลียระหว่างวันที่ 13-17 มี.ค. ซึ่งเป็นกำหนดการที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว พร้อมมอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง รักษาการแทน ด้านนายสุเทพ ได้ออกมาขอโทษประชาชนที่อาจเกิดความไม่สะดวกในช่วงนี้ เพราะจะมีการตรวจค้นรถที่สัญจรไปมา เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำอาวุธเข้ามาในการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง รวมทั้งจะมีการตรวจบัตรประชาชน เพราะไม่ต้องการให้คนต่างด้าวเข้ามาร่วมชุมนุม เนื่องจากหากพูดกันไม่รู้เรื่อง จะเกิดปัญหาเยอะ
ด้าน พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสนาธิการทหารบก และเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.) เผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ความมั่นคง(คตม.) เป็นห่วงว่าอาจมีการก่อวินาศกรรมระหว่างการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง “คตม.เป็นห่วงเรื่องการก่อวินาศกรรมของกลุ่มที่พยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดความปั่นป่วนในบ้านเมือง จึงสั่งการให้หน่วยต่างๆ เตรียมกำลังให้พร้อมในที่ตั้ง เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากตำรวจไม่เพียงพอ” ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พูดถึงแนวโน้มการประกาศ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ ระหว่างการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงว่า ผู้ที่จะตัดสินใจว่าจะประกาศหรือไม่ คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง โดยนายสุเทพ มีกำหนดประชุมร่วมกับ คตม.เพื่อประเมินสถานการณ์ในวันที่ 8 มี.ค.นี้
ส่วนความคืบหน้ากรณีคนร้ายปาระเบิดใส่ธนาคารกรุงเทพ 4 สาขาเมื่อคืนวันที่ 27 ก.พ.นั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 1 มี.ค. พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา ได้ขอศาลออกหมายจับบุคคลตามภาพสเก๊ตช์ที่พยานระบุว่าเป็นคนปาระเบิดหน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาสีลม ซึ่งศาลอาญากรุงเทพใต้อนุมัติหมายจับ
ทั้งนี้ นอกจากตำรวจจะขอศาลออกหมายจับคนร้ายปาระเบิดธนาคารกรุงเทพแล้ว ทางด้านตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ก็ได้ขอศาลออกหมายจับนายพรวัฒน์ ทองสมบูรณ์ หรือ เคทอง คนสนิท พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เมื่อวันที่ 5 มี.ค. หลังเคทองพูดออกอากาศทางอินเตอร์เน็ตผ่านโปรแกรมแคมฟร็อกเมื่อคืนวันที่ 26 ก.พ.หลังรู้ผลคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยพูดทำนองว่าจะเกิดเหตุการณ์วางระเบิดและเกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ.เป็นต้นไป ซึ่งก็ได้เกิดระเบิดขึ้นจริงบริเวณธนาคารกรุงเทพ 4 สาขา โดยเคทอง บอกว่า “อย่างที่ผมบอก สัญญาณของระเบิดจะดังขึ้น และไม่ต้องห่วงนะครับ ไม่ต้องถามเลยนะครับว่าใครทำ เพราะมึงไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้เลยว่าใครทำ เอาเป็นว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เราจะได้ยินเสียงระเบิดดังถึงประตูบ้านท่าน ดังเข้ามาในหน้าต่างบ้านท่าน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ...ประกาศสงครามกลางเมืองนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป สงครามกลางเมืองเกิดแล้วครับ ...สัญลักษณ์ของอำมาตย์จะถูกทำลายนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป และไม่มีสิทธิ์ป้องกันด้วย ก็รอฟังสัญญาณ พรุ่งนี้ก็คงมีข่าวแล้วล่ะ ตามหน้าสื่อ ... ทีวี พรุ่งนี้ตื่นมาก็คงจะได้ฟังกันนะครับ ...”
หลังตำรวจขอศาลออกหมายจับ ปรากฏว่า เสธ.แดงได้เดินทางมายังกองปราบฯ ในวันนี้(6 มี.ค.) โดยทำทีสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า ถ้าเคทองเข้ามอบตัวจะต้องทำอย่างไร หลังจากนั้นระหว่างที่ เสธ.แดงจะขึ้นรถตู้ส่วนตัวเพื่อเดินทางต่อไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจค้นรถตู้คันดังกล่าว พบว่าเคทองซ่อนตัวอยู่ภายในรถ เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับ คือ กระทำการให้ปรากฏต่อประชาชนด้วยวิธีอื่นใดที่ไม่ใช่เป็นการกระทำตามความมุ่งหมายแห่ง รธน. ....เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนในหมู่ประชาชน และขู่เข็นให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจ ด้านเคทองปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยอ้างว่า ตนเป็นแค่คนจัดรายการโหราศาสตร์คู่การเมืองผ่านทางแคมฟร็อก พร้อมอ้างว่า มีคนตัดต่อคำพูดของตน
3. “ทักษิณ” ลั่น สู้คดียึดทรัพย์ถึงเวทีโลก ขณะที่ “เสื้อแดง”เล็งยื่นถอดถอนผู้พิพากษา ด้าน “ศาล”เตือน ระวังถูกฟ้องกลับ!
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงมีความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย รวมทั้งกลุ่มเสื้อแดง ต่อกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยหลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมากล่าวหาว่า ศาลถูกใช้เป็นเครื่องมือจัดการทางการเมืองตนเหมือนเมื่อครั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย ปรากฏว่า นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาปกป้องศาลด้วยการตั้งข้อสังเกตว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้รักประชาชนจริง เพราะถูกศาลพิพากษายึดทรัพย์ แทนที่จะขอโทษประชาชน กลับขอโทษครอบครัวตัวเอง “พ.ต.ท.ทักษิณควรจะขอบคุณศาล เพราะมีรายละเอียดแยกแยะความผิดชอบชั่วดีชัดเจน ทำให้ประชาชนบางกลุ่มหูตาสว่างมากขึ้น และเห็นว่าผลประโยชน์ทับซ้อนเชิงทุจริตเป็นอย่างไร อยากเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณเลิกต่อต้านและยอมรับคำตัดสินของศาล ความยุติธรรมที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดอยู่ตลอดเวลา คือคดีที่ตัวเองชนะก็คือความยุติธรรม ส่วนคดีที่ตัวเองแพ้คือความไม่ยุติธรรม การที่เอาเงิน 2 ล้านบาทไปซื้อตุลาการเป็นความยุติธรรมหรือไม่”
ด้านทีมทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณเตรียมหาช่องอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ตามที่รัฐธรรมนูญ 2550 เปิดช่องให้อุทธรณ์ได้ภายใน 30 วันหากมีหลักฐานใหม่ โดยนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า ทีมทนายอยู่ระหว่างศึกษาข้อมูล 2 ประเด็น คือ 1.ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค.) ที่ตั้ง คตส.มาตรวจสอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือว่าเป็นประกาศที่ไม่ชอบธรรม ขัดกับหลักนิติธรรมและประชาธิปไตย 2.การออกนโยบาย 5 มาตรการของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยแล้วว่า พ.ร.ก.แปลงภาษีสรรพสามิต ชอบด้วย รธน.แล้ว
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการด้านกฎหมายหลายคนได้ออกมาแย้งว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะอุทธรณ์คดียึดทรัพย์นั้น ต้องมีพยานหลักฐานใหม่จึงจะขออุทธรณ์ได้ ไม่ใช่นำข้อกฎหมายหรือตัวบทกฎหมายมาอุทธรณ์ โดยนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า ประกาศของ คปค.ที่ตั้ง คตส.ขึ้นมานั้น ให้ คตส.ใช้อำนาจตามปกติ คือตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) พ.ศ.2542 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ป.ป.ง.) และว่า พ.ต.ท.ทักษิณโดนลงโทษตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. ฐานร่ำรวยผิดปกติ ดังนั้นจึงไม่ใช่เอากฎหมายที่คณะรัฐประหารทำ มาลงโทษ แต่เป็นกฎหมายที่มีมาแต่เดิม ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยว่า พ.ร.ก.แปลงภาษีสรรพสามิตชอบด้วย รธน.แล้วนั้น นักวิชาการด้านกฎหมาย ชี้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแค่ว่า พ.ร.ก.นั้นชอบด้วย รธน.หรือไม่ ไม่ได้วินิจฉัยว่า การออก พ.ร.ก.นั้นเอื้อประโยชน์ต่อผู้ออก พ.ร.ก.หรือ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ ซึ่งเป็นคนละประเด็นกัน
ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงโจมตีศาลฎีกาฯ ผ่านทีวีของคนเสื้อแดง(1 มี.ค.) โดยบอกว่า “...สิ่งที่ผมทุเรศที่สุดคือ ปล้นเงินผมไปแล้วมากล่าวหาว่าผมชั่ว วันนี้ไม่มีหลักการอะไรเลย แต่กูจะเอา วันนี้ไม่อยู่ในเวทีประเทศไทยแน่นอน ผมไม่ผิดผมจะสู้แน่นอน สู้ในเวทีโลกแน่นอน ผมจะเอาวิธีการทำงานของศาลไปให้โลกได้รู้ เพราะทำกับผมมาเยอะแล้ว ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำกับผมมันหยามผมมากไปแล้ว อย่างนี้เรียกว่าปิดประตูตีแมว แต่แมวไม่อยู่ในประเทศ เรื่องนี้ไปสู่สากลแน่นอน และเมื่อขึ้นเวทีสากล ผมจะขอพม่ามาเป็นพยานเรื่องปล่อยเงินกู้ว่าผมไม่ได้สั่งให้เขามาซื้อของชินฯ หากรู้ก็ไม่ให้กู้”
ทั้งนี้ ไม่เพียง พ.ต.ท.ทักษิณจะโจมตีและดิสเครดิตศาลฎีกาฯ แต่กลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณยังได้ออกมาเคลื่อนไหวด้วยการยื่นถอดถอนองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย โดยนายพิชา วิจิตรศิลป์ ประธานชมรมกฎหมายภิวัฒน์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นอดีตทีมทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เพื่อแสดงตนขอเป็นผู้ริเริ่มเข้าชื่อประชาชน 2 หมื่นชื่อเพื่อถอดถอนผู้พิพากษา 2 คนที่ลงมติว่า ควรยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทั้งหมด 7.6 หมื่นล้านบาท คือ นายกำพล ภู่แสวง และนายพงษ์เทพ ศิริพงศ์กานนท์ โดยอ้างว่า 2 ผู้พิพากษาดังกล่าวมีพฤติการณ์ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ส่อว่าใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อ รธน. ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ขณะที่แกนนำคนเสื้อแดงก็เตรียมยื่นถอดถอนผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณเช่นกัน โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.และ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย บอกว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะยื่นถอดถอนผู้พิพากษากี่คน “เมื่อพิจารณาคำวินิจฉัยทั้งหมดและสรุปได้ว่าจะยื่นถอดถอนผู้พิพากษากี่คนแล้วจะระดมรายชื่อประชาชนทันที ผ่านกลไกของคนเสื้อแดงที่มีอยู่ทั่วประเทศ ไม่น่าจะใช้เวลามาก โดยประชาชนทั่วไปสามารถร่วมลงชื่อได้ทั้งหมด และคาดว่าภายในสัปดาห์หน้าเราจะยื่นถอดถอนได้อย่างแน่นอน”
ด้านนายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ได้ออกมาเตือนผู้ที่จะเข้าชื่อเพื่อยื่นถอดถอนผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ว่า อาจถูกฟ้องกลับได้ “ผู้พิพากษาไม่ได้หวั่นไหวว่า จะมีการยื่นถอดถอน ไม่ว่าจะมีสองหมื่นหรือล้านชื่อ แต่ถ้าลงชื่อแล้วไม่มีการกล่าวหาถึงพฤติการณ์ที่ชัดเจนที่จะยื่นถอดถอน หรือตรวจสอบแล้วไม่พบการกระทำตามข้อกล่าวหา อาจถูกฟ้องดำเนินคดีได้ โดยคนที่จะลงชื่อจะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้”
ส่วนความคืบหน้าการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ 4.6 หมื่นล้านให้ตกเป็นของแผ่นดินนั้น นายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย ซึ่งเป็นคณะทำงานอัยการคดียึดทรัพย์ บอกว่า จากการประชุมคณะทำงานอัยการเห็นว่า ควรจะยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับทรัพย์ เพื่อนำไปแจ้งธนาคารผู้ครอบครองเงินฝากตามบัญชีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ยกเป็นของแผ่นดิน เพื่อส่งมอบให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ นอกจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเตรียมขยายผลคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณด้วยการฟ้องดำเนินคดีแพ่งและอาญา ฐานทำความเสียหายให้แก่รัฐแล้ว ทางด้านคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ก็เตรียมสรุปผลคดี พ.ต.ท.ทักษิณแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จในเร็วๆ นี้ด้วย โดยนายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช.ซึ่งเป็นประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณี พ.ต.ท.ทักษิณแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ บอกว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรอคำพิพากษาศาลฎีกาฯ อย่างเป็นทางการ แล้วจึงจะมาพิจารณาว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีพฤติการณ์แจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือไม่ ก่อนส่งให้ ป.ป.ช.ชุดใหญ่พิจารณาชี้มูลความผิด คาดว่าจะดำเนินการได้ในเดือน เม.ย. ทั้งนี้ เบื้องต้นมีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีพฤติการณ์แจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จรวม 9 ครั้ง ระหว่างปี 2544-2549
4. “เขมร” ซ้อมยิงจรวดล็อตใหญ่ อ้าง แค่เสริมทัพ-ไม่ได้อวดศักดา “ไทย”!
ขณะที่ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาบริเวณชายแดนยังไม่คลี่คลายจากกรณีสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ปราศรัยกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทยเมื่อเร็วๆ นี้ ว่าเป็นนายกฯ ที่ชั่วช้าที่สุด พร้อมอ้างว่า ไทยรุกรานพื้นที่ของกัมพูชาบริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ใกล้ปราสาทพระวิหาร ทั้งที่บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่พิพาทที่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างอ้างสิทธินั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 4 มี.ค. กองทัพกัมพูชาได้จัดการซ้อมรบ โดยซ้อมยิงจรวดจากฐานเคลื่อนที่บริเวณสนามบินแห่งหนึ่งในเมืองกัมปงชนัง ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 180 กม. โดยจรวดที่ใช้ยิงในครั้งนี้มีมากถึง 200 นัด
ทั้งนี้ นายชุม โสเชียต โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา ยืนยันว่า การซ้อมยิงจรวดครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการอวดศักดาหรือวางกล้ามกับประเทศไทย และไม่ได้เป็นการคุกคามประเทศเพื่อนบ้านหรือต่างชาติ แต่เป็นแค่การเสริมสร้างสมรรถนะของกองทัพกัมพูชาในการป้องกันประเทศตนเองเท่านั้น
ด้านสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกฯ กัมพูชา พูดถึงเหตุที่ต้องซ้อมยิงจรวดครั้งนี้ว่า ต้องการดูว่าจรวดเหล่านี้ยังใช้การได้หรือไม่ เพราะเป็นจรวดที่จีนและโซเวียตผลิตตั้งแต่ยุคสงครามเย็น และค้างอยู่ในคลังแสงของกัมพูชาจำนวนมาก
ขณะที่ท่าทีของฝ่ายไทยต่างไม่เห็นว่าการซ้อมยิงจรวดของกัมพูชาเป็นเรื่องผิดปกติ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บอกว่า เป็นเรื่องภายในของประเทศกัมพูชา ไม่ได้มีปัญหาอะไร ผู้สื่อข่าวถามว่า การซ้อมยิงจรวดของกัมพูชาเป็นการข่มขวัญกองทัพไทยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ บอกว่า ไม่มี และว่า เข้าใจว่าฝ่ายเราก็ไปทดสอบและซ้อมเมื่อไม่นานมานี้เหมือนกัน ถือเป็นเรื่องปกติ
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง มองการซ้อมรบของฝ่ายกัมพูชาว่า กัมพูชาคงไม่คิดจะมาข่มขู่เรา เพราะได้ส่งสัญญาณตลอดเวลาว่าไม่ต้องการให้ปัญหาความขัดแย้งบานปลายออกไป ต่างฝ่ายต่างต้องระมัดระวัง และไม่ทำอะไรที่กระทบกระเทือนชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนบริเวณชายแดน เมื่อถามว่า เกรงว่าทางกัมพูชาจะใช้จังหวะที่ไทยมีความวุ่นวายภายในเพื่อสร้างปัญหาหรือไม่ นายสุเทพ บอกว่า “เขาไม่น่าจะทำอย่างนั้น”
1. “ในหลวง-พระราชินี” ส่งพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยเหตุแผ่นดินไหวในชิลี!
ตามที่ได้เกิดแผ่นดินไหวที่ประเทศชิลีเมื่อวันที่ 27 ก.พ. โดยมีความรุนแรงถึง 8.8 ริกเตอร์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตนับพันคนและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว ได้เกิดสึมานิตามมา รวมทั้งเกิดอาฟเตอร์ช็อคไม่ต่ำกว่า 150 ครั้ง โดยครั้งที่รุนแรงที่สุดคือ เมื่อวันที่ 3 มี.ค. ซึ่งเกิดขึ้น 2 ครั้ง วัดแรงสะเทือนได้ 5.9 และ 6.0 ริกเตอร์นั้น
กองข่าวสำนักราชเลขาธิการ แจ้งเมื่อวันที่ 4 มี.ค.ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยไปยังประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐชิลีต่อกรณีเกิดเหตุแผ่นดินไหวดังกล่าว ความว่า “ข้าพเจ้าและพระราชินีรู้สึกเศร้าสลดใจยิ่งนักที่ทราบข่าวเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งยังก่อความเสียหายอย่างหนักในประเทศของท่าน ขอแสดงความเสียใจด้วยใจจริงมายังท่านและผู้ประสบความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งนี้”
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินออกจากโรงพยาบาลศิริราช เพื่อปฏิบัติพระราชกรณียกิจส่วนพระองค์ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เมื่อค่ำวันที่ 27 ก.พ.(เวลา 20.55น.) จากนั้นได้เสด็จฯ กลับมาประทับยังอาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราชอีกครั้งในคืนเดียวกัน(เวลา 01.30น.)
2. “เสื้อแดง” เตรียมขนรถหลายหมื่นคันบุกกรุงชุมนุมใหญ่ ด้าน รบ. ยังไม่ฟันธง จะประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงหรือไม่!
หลังแกนนำ นปช.ได้นัดรวมพลคนเสื้อแดงทั่วประเทศในวันที่ 12 มี.ค.ก่อนเคลื่อนเข้าสู่กรุงเทพฯ ในช่วงเช้าวันที่ 14 มี.ค. เพื่อล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์นั้น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. เผยแผนชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดงว่า จะเริ่มในเวลา 12.00น.วันที่ 12 มี.ค. โดยคนเสื้อแดงทั่วประเทศจะรวมตัวกันในแต่ละจังหวัด จากนั้นเคลื่อนขบวนมารวมตัวกันที่จังหวัดตัวแทนของแต่ละภาค เช่น ภาคเหนือที่ จ.นครสวรรค์ แล้วเคลื่อนเข้าสู่ กทม.ช่วงเช้าวันที่ 14 มี.ค. นายณัฐวุฒิ บอกด้วยว่า ก่อนถึงวันชุมนุมใหญ่ จะมีการปราศรัยในภูมิภาคต่างๆ เพื่อเชิญชวนคนเสื้อแดงเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตย จากนั้นแกนนำคนเสื้อแดงจะประจำการตามพื้นที่ต่างๆ เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ล้มรัฐบาลต่อไป นอกจากนี้ สถานีโทรทัศน์พีเพิ่ลชาแนลจะปรับโหมดเข้าสู่การพร้อมรบตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค.เป็นต้นไป โดยจะมีการเคลียร์ผังรายการทั้งหมด แล้วนำเสนอรายการเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งใหญ่ภายใต้ชื่อว่า “เคลื่อนพลทั้งแผ่นดิน โค่นรัฐบาลอำมาตย์ ยุบสภา”
นายณัฐวุฒิ ยังประกาศด้วยว่า “การต่อสู้ของคนเสื้อแดงวันนี้ เลยจากชะตากรรม พ.ต.ท.ทักษิณไปนานแล้ว แต่เป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้นคนที่ถูกกดขี่กับชนชั้นสูง ซึ่งหมายถึงกลุ่มอำมาตย์ จากการคุยโทรศัพท์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ท่านยังยืนยันจะร่วมขบวนการต่อสู้กับคนเสื้อแดงอย่างถึงที่สุด”
ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้ออกมาปลุกคนเสื้อแดงผ่านอินเตอร์เน็ตให้ช่วยกันเปลี่ยนประเทศไทย “พี่น้องที่จะมาร่วมประท้วงกันในวันที่ 14 มี.ค. เรามาทำความจริงให้โลกรู้ว่า พี่น้องประชาชนไทย 60 ล้านคน ไม่เอากับระบบนี้แล้ว ทำไมไม่ให้ประชาชนเขาตัดสินใจเองตามระบอบประชาธิปไตย บ้านเมืองนี้เป็นของคน 60 ล้านคน ไม่ใช่ของคนเพียงไม่กี่คน หรือเป็นของประชาชนคนสี่เสาฯ เท่านั้น ต้องให้ประชาชนตัดสิน”
ขณะที่ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำคนเสื้อแดง พูดถึงการเคลื่อนพลของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 14 มี.ค.ว่า คนเสื้อแดงจะรวมตัวกันในพื้นที่สำคัญประมาณ 10 จุด คือ บริเวณอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช(วงเวียนใหญ่) ,สี่แยกหลักสี่ ,ลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 สวนลุมพินี ,สน.ทุ่งสองห้อง ,สี่แยกบางนา ,สนามไทยญี่ปุ่นดินแดง เป็นต้น ส่วนในเขตปริมณฑล จะมีการรวมตัวกันบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ,บริเวณคลอง 4 จ.ปทุมธานี และหน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ จากนั้นจะเคลื่อนพลมายังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยจากพรรคภูมิใจไทย ได้ออกมาแฉว่า คนเสื้อแดงกำลังเตรียมขนคนเข้า กทม.ด้วยรถกระบะ โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน โดย ส.ส.1 คน รับผิดชอบรถกระบะ 100 คัน ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ไม่พอใจคำพูดของนายบุญจง โดยชี้ว่า นายบุญจงใส่ร้ายป้ายสี ดิสเครดิตพรรคเพื่อไทย ดังนั้นพรรคอาจจะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพื่อให้มีการยุบพรรคภูมิใจไทย
ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เตือนคนที่จะมาชุมนุม ไม่ควรนำรถมาจอดเกะกะในที่ห้ามจอดจนกรุงเทพฯ เป็นอัมพาต หาไม่แล้วคงต้องใช้รถลากไปเก็บไว้ที่อื่น ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ได้ออกมาสวนกลับนายสุเทพด้วยการประกาศว่า คนเสื้อแดงจะนำรถอีแต๋นเข้ามาเคลื่อนไหวใน กทม.แน่นอน และว่า หากมีการนำรถมาลากรถยนต์ของคนเสื้อแดง ผู้ชุมนุมก็จะยึดรถลากเหล่านั้นไว้ โดยจะคืนรถให้ทางราชการเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม นายณัฐวุฒิยังคุยโวด้วยว่า ขณะนี้มีรถยนต์มาลงทะเบียนเคลื่อนไหวกับคนเสื้อแดงทะลุ 35,000 คันแล้ว โดยไม่มีเรื่อง ส.ส.1 คนต่อรถ 100 คันแต่อย่างใด
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เชื่อว่า ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ไม่คิดทำสิ่งผิดกฎหมาย ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าตกเป็นเหยื่อของคนที่ต้องการทำผิดกฎหมาย และว่า ขณะนี้ รัฐบาลยังไม่มีความคิดที่จะประกาศให้วันชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดง 12-14 มี.ค.เป็นวันหยุดราชการแต่อย่างใด ทั้งนี้ ระหว่างการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง นายอภิสิทธิ์จะไม่อยู่ประเทศไทย เนื่องจากต้องเดินทางเยือนประเทศออสเตรเลียระหว่างวันที่ 13-17 มี.ค. ซึ่งเป็นกำหนดการที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว พร้อมมอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง รักษาการแทน ด้านนายสุเทพ ได้ออกมาขอโทษประชาชนที่อาจเกิดความไม่สะดวกในช่วงนี้ เพราะจะมีการตรวจค้นรถที่สัญจรไปมา เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำอาวุธเข้ามาในการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง รวมทั้งจะมีการตรวจบัตรประชาชน เพราะไม่ต้องการให้คนต่างด้าวเข้ามาร่วมชุมนุม เนื่องจากหากพูดกันไม่รู้เรื่อง จะเกิดปัญหาเยอะ
ด้าน พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสนาธิการทหารบก และเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.) เผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ความมั่นคง(คตม.) เป็นห่วงว่าอาจมีการก่อวินาศกรรมระหว่างการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง “คตม.เป็นห่วงเรื่องการก่อวินาศกรรมของกลุ่มที่พยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดความปั่นป่วนในบ้านเมือง จึงสั่งการให้หน่วยต่างๆ เตรียมกำลังให้พร้อมในที่ตั้ง เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากตำรวจไม่เพียงพอ” ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พูดถึงแนวโน้มการประกาศ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ ระหว่างการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงว่า ผู้ที่จะตัดสินใจว่าจะประกาศหรือไม่ คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง โดยนายสุเทพ มีกำหนดประชุมร่วมกับ คตม.เพื่อประเมินสถานการณ์ในวันที่ 8 มี.ค.นี้
ส่วนความคืบหน้ากรณีคนร้ายปาระเบิดใส่ธนาคารกรุงเทพ 4 สาขาเมื่อคืนวันที่ 27 ก.พ.นั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 1 มี.ค. พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา ได้ขอศาลออกหมายจับบุคคลตามภาพสเก๊ตช์ที่พยานระบุว่าเป็นคนปาระเบิดหน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาสีลม ซึ่งศาลอาญากรุงเทพใต้อนุมัติหมายจับ
ทั้งนี้ นอกจากตำรวจจะขอศาลออกหมายจับคนร้ายปาระเบิดธนาคารกรุงเทพแล้ว ทางด้านตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ก็ได้ขอศาลออกหมายจับนายพรวัฒน์ ทองสมบูรณ์ หรือ เคทอง คนสนิท พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เมื่อวันที่ 5 มี.ค. หลังเคทองพูดออกอากาศทางอินเตอร์เน็ตผ่านโปรแกรมแคมฟร็อกเมื่อคืนวันที่ 26 ก.พ.หลังรู้ผลคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยพูดทำนองว่าจะเกิดเหตุการณ์วางระเบิดและเกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ.เป็นต้นไป ซึ่งก็ได้เกิดระเบิดขึ้นจริงบริเวณธนาคารกรุงเทพ 4 สาขา โดยเคทอง บอกว่า “อย่างที่ผมบอก สัญญาณของระเบิดจะดังขึ้น และไม่ต้องห่วงนะครับ ไม่ต้องถามเลยนะครับว่าใครทำ เพราะมึงไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้เลยว่าใครทำ เอาเป็นว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เราจะได้ยินเสียงระเบิดดังถึงประตูบ้านท่าน ดังเข้ามาในหน้าต่างบ้านท่าน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ...ประกาศสงครามกลางเมืองนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป สงครามกลางเมืองเกิดแล้วครับ ...สัญลักษณ์ของอำมาตย์จะถูกทำลายนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป และไม่มีสิทธิ์ป้องกันด้วย ก็รอฟังสัญญาณ พรุ่งนี้ก็คงมีข่าวแล้วล่ะ ตามหน้าสื่อ ... ทีวี พรุ่งนี้ตื่นมาก็คงจะได้ฟังกันนะครับ ...”
หลังตำรวจขอศาลออกหมายจับ ปรากฏว่า เสธ.แดงได้เดินทางมายังกองปราบฯ ในวันนี้(6 มี.ค.) โดยทำทีสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า ถ้าเคทองเข้ามอบตัวจะต้องทำอย่างไร หลังจากนั้นระหว่างที่ เสธ.แดงจะขึ้นรถตู้ส่วนตัวเพื่อเดินทางต่อไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจค้นรถตู้คันดังกล่าว พบว่าเคทองซ่อนตัวอยู่ภายในรถ เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับ คือ กระทำการให้ปรากฏต่อประชาชนด้วยวิธีอื่นใดที่ไม่ใช่เป็นการกระทำตามความมุ่งหมายแห่ง รธน. ....เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนในหมู่ประชาชน และขู่เข็นให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจ ด้านเคทองปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยอ้างว่า ตนเป็นแค่คนจัดรายการโหราศาสตร์คู่การเมืองผ่านทางแคมฟร็อก พร้อมอ้างว่า มีคนตัดต่อคำพูดของตน
3. “ทักษิณ” ลั่น สู้คดียึดทรัพย์ถึงเวทีโลก ขณะที่ “เสื้อแดง”เล็งยื่นถอดถอนผู้พิพากษา ด้าน “ศาล”เตือน ระวังถูกฟ้องกลับ!
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงมีความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย รวมทั้งกลุ่มเสื้อแดง ต่อกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยหลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมากล่าวหาว่า ศาลถูกใช้เป็นเครื่องมือจัดการทางการเมืองตนเหมือนเมื่อครั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย ปรากฏว่า นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาปกป้องศาลด้วยการตั้งข้อสังเกตว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้รักประชาชนจริง เพราะถูกศาลพิพากษายึดทรัพย์ แทนที่จะขอโทษประชาชน กลับขอโทษครอบครัวตัวเอง “พ.ต.ท.ทักษิณควรจะขอบคุณศาล เพราะมีรายละเอียดแยกแยะความผิดชอบชั่วดีชัดเจน ทำให้ประชาชนบางกลุ่มหูตาสว่างมากขึ้น และเห็นว่าผลประโยชน์ทับซ้อนเชิงทุจริตเป็นอย่างไร อยากเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณเลิกต่อต้านและยอมรับคำตัดสินของศาล ความยุติธรรมที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดอยู่ตลอดเวลา คือคดีที่ตัวเองชนะก็คือความยุติธรรม ส่วนคดีที่ตัวเองแพ้คือความไม่ยุติธรรม การที่เอาเงิน 2 ล้านบาทไปซื้อตุลาการเป็นความยุติธรรมหรือไม่”
ด้านทีมทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณเตรียมหาช่องอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ตามที่รัฐธรรมนูญ 2550 เปิดช่องให้อุทธรณ์ได้ภายใน 30 วันหากมีหลักฐานใหม่ โดยนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า ทีมทนายอยู่ระหว่างศึกษาข้อมูล 2 ประเด็น คือ 1.ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค.) ที่ตั้ง คตส.มาตรวจสอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือว่าเป็นประกาศที่ไม่ชอบธรรม ขัดกับหลักนิติธรรมและประชาธิปไตย 2.การออกนโยบาย 5 มาตรการของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยแล้วว่า พ.ร.ก.แปลงภาษีสรรพสามิต ชอบด้วย รธน.แล้ว
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการด้านกฎหมายหลายคนได้ออกมาแย้งว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะอุทธรณ์คดียึดทรัพย์นั้น ต้องมีพยานหลักฐานใหม่จึงจะขออุทธรณ์ได้ ไม่ใช่นำข้อกฎหมายหรือตัวบทกฎหมายมาอุทธรณ์ โดยนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า ประกาศของ คปค.ที่ตั้ง คตส.ขึ้นมานั้น ให้ คตส.ใช้อำนาจตามปกติ คือตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) พ.ศ.2542 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ป.ป.ง.) และว่า พ.ต.ท.ทักษิณโดนลงโทษตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. ฐานร่ำรวยผิดปกติ ดังนั้นจึงไม่ใช่เอากฎหมายที่คณะรัฐประหารทำ มาลงโทษ แต่เป็นกฎหมายที่มีมาแต่เดิม ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยว่า พ.ร.ก.แปลงภาษีสรรพสามิตชอบด้วย รธน.แล้วนั้น นักวิชาการด้านกฎหมาย ชี้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแค่ว่า พ.ร.ก.นั้นชอบด้วย รธน.หรือไม่ ไม่ได้วินิจฉัยว่า การออก พ.ร.ก.นั้นเอื้อประโยชน์ต่อผู้ออก พ.ร.ก.หรือ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ ซึ่งเป็นคนละประเด็นกัน
ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงโจมตีศาลฎีกาฯ ผ่านทีวีของคนเสื้อแดง(1 มี.ค.) โดยบอกว่า “...สิ่งที่ผมทุเรศที่สุดคือ ปล้นเงินผมไปแล้วมากล่าวหาว่าผมชั่ว วันนี้ไม่มีหลักการอะไรเลย แต่กูจะเอา วันนี้ไม่อยู่ในเวทีประเทศไทยแน่นอน ผมไม่ผิดผมจะสู้แน่นอน สู้ในเวทีโลกแน่นอน ผมจะเอาวิธีการทำงานของศาลไปให้โลกได้รู้ เพราะทำกับผมมาเยอะแล้ว ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำกับผมมันหยามผมมากไปแล้ว อย่างนี้เรียกว่าปิดประตูตีแมว แต่แมวไม่อยู่ในประเทศ เรื่องนี้ไปสู่สากลแน่นอน และเมื่อขึ้นเวทีสากล ผมจะขอพม่ามาเป็นพยานเรื่องปล่อยเงินกู้ว่าผมไม่ได้สั่งให้เขามาซื้อของชินฯ หากรู้ก็ไม่ให้กู้”
ทั้งนี้ ไม่เพียง พ.ต.ท.ทักษิณจะโจมตีและดิสเครดิตศาลฎีกาฯ แต่กลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณยังได้ออกมาเคลื่อนไหวด้วยการยื่นถอดถอนองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย โดยนายพิชา วิจิตรศิลป์ ประธานชมรมกฎหมายภิวัฒน์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นอดีตทีมทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เพื่อแสดงตนขอเป็นผู้ริเริ่มเข้าชื่อประชาชน 2 หมื่นชื่อเพื่อถอดถอนผู้พิพากษา 2 คนที่ลงมติว่า ควรยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทั้งหมด 7.6 หมื่นล้านบาท คือ นายกำพล ภู่แสวง และนายพงษ์เทพ ศิริพงศ์กานนท์ โดยอ้างว่า 2 ผู้พิพากษาดังกล่าวมีพฤติการณ์ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ส่อว่าใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อ รธน. ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ขณะที่แกนนำคนเสื้อแดงก็เตรียมยื่นถอดถอนผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณเช่นกัน โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.และ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย บอกว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะยื่นถอดถอนผู้พิพากษากี่คน “เมื่อพิจารณาคำวินิจฉัยทั้งหมดและสรุปได้ว่าจะยื่นถอดถอนผู้พิพากษากี่คนแล้วจะระดมรายชื่อประชาชนทันที ผ่านกลไกของคนเสื้อแดงที่มีอยู่ทั่วประเทศ ไม่น่าจะใช้เวลามาก โดยประชาชนทั่วไปสามารถร่วมลงชื่อได้ทั้งหมด และคาดว่าภายในสัปดาห์หน้าเราจะยื่นถอดถอนได้อย่างแน่นอน”
ด้านนายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ได้ออกมาเตือนผู้ที่จะเข้าชื่อเพื่อยื่นถอดถอนผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ว่า อาจถูกฟ้องกลับได้ “ผู้พิพากษาไม่ได้หวั่นไหวว่า จะมีการยื่นถอดถอน ไม่ว่าจะมีสองหมื่นหรือล้านชื่อ แต่ถ้าลงชื่อแล้วไม่มีการกล่าวหาถึงพฤติการณ์ที่ชัดเจนที่จะยื่นถอดถอน หรือตรวจสอบแล้วไม่พบการกระทำตามข้อกล่าวหา อาจถูกฟ้องดำเนินคดีได้ โดยคนที่จะลงชื่อจะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้”
ส่วนความคืบหน้าการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ 4.6 หมื่นล้านให้ตกเป็นของแผ่นดินนั้น นายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย ซึ่งเป็นคณะทำงานอัยการคดียึดทรัพย์ บอกว่า จากการประชุมคณะทำงานอัยการเห็นว่า ควรจะยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับทรัพย์ เพื่อนำไปแจ้งธนาคารผู้ครอบครองเงินฝากตามบัญชีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ยกเป็นของแผ่นดิน เพื่อส่งมอบให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ นอกจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเตรียมขยายผลคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณด้วยการฟ้องดำเนินคดีแพ่งและอาญา ฐานทำความเสียหายให้แก่รัฐแล้ว ทางด้านคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ก็เตรียมสรุปผลคดี พ.ต.ท.ทักษิณแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จในเร็วๆ นี้ด้วย โดยนายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช.ซึ่งเป็นประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณี พ.ต.ท.ทักษิณแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ บอกว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรอคำพิพากษาศาลฎีกาฯ อย่างเป็นทางการ แล้วจึงจะมาพิจารณาว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีพฤติการณ์แจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือไม่ ก่อนส่งให้ ป.ป.ช.ชุดใหญ่พิจารณาชี้มูลความผิด คาดว่าจะดำเนินการได้ในเดือน เม.ย. ทั้งนี้ เบื้องต้นมีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีพฤติการณ์แจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จรวม 9 ครั้ง ระหว่างปี 2544-2549
4. “เขมร” ซ้อมยิงจรวดล็อตใหญ่ อ้าง แค่เสริมทัพ-ไม่ได้อวดศักดา “ไทย”!
ขณะที่ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาบริเวณชายแดนยังไม่คลี่คลายจากกรณีสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ปราศรัยกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทยเมื่อเร็วๆ นี้ ว่าเป็นนายกฯ ที่ชั่วช้าที่สุด พร้อมอ้างว่า ไทยรุกรานพื้นที่ของกัมพูชาบริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ใกล้ปราสาทพระวิหาร ทั้งที่บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่พิพาทที่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างอ้างสิทธินั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 4 มี.ค. กองทัพกัมพูชาได้จัดการซ้อมรบ โดยซ้อมยิงจรวดจากฐานเคลื่อนที่บริเวณสนามบินแห่งหนึ่งในเมืองกัมปงชนัง ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 180 กม. โดยจรวดที่ใช้ยิงในครั้งนี้มีมากถึง 200 นัด
ทั้งนี้ นายชุม โสเชียต โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา ยืนยันว่า การซ้อมยิงจรวดครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการอวดศักดาหรือวางกล้ามกับประเทศไทย และไม่ได้เป็นการคุกคามประเทศเพื่อนบ้านหรือต่างชาติ แต่เป็นแค่การเสริมสร้างสมรรถนะของกองทัพกัมพูชาในการป้องกันประเทศตนเองเท่านั้น
ด้านสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกฯ กัมพูชา พูดถึงเหตุที่ต้องซ้อมยิงจรวดครั้งนี้ว่า ต้องการดูว่าจรวดเหล่านี้ยังใช้การได้หรือไม่ เพราะเป็นจรวดที่จีนและโซเวียตผลิตตั้งแต่ยุคสงครามเย็น และค้างอยู่ในคลังแสงของกัมพูชาจำนวนมาก
ขณะที่ท่าทีของฝ่ายไทยต่างไม่เห็นว่าการซ้อมยิงจรวดของกัมพูชาเป็นเรื่องผิดปกติ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บอกว่า เป็นเรื่องภายในของประเทศกัมพูชา ไม่ได้มีปัญหาอะไร ผู้สื่อข่าวถามว่า การซ้อมยิงจรวดของกัมพูชาเป็นการข่มขวัญกองทัพไทยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ บอกว่า ไม่มี และว่า เข้าใจว่าฝ่ายเราก็ไปทดสอบและซ้อมเมื่อไม่นานมานี้เหมือนกัน ถือเป็นเรื่องปกติ
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง มองการซ้อมรบของฝ่ายกัมพูชาว่า กัมพูชาคงไม่คิดจะมาข่มขู่เรา เพราะได้ส่งสัญญาณตลอดเวลาว่าไม่ต้องการให้ปัญหาความขัดแย้งบานปลายออกไป ต่างฝ่ายต่างต้องระมัดระวัง และไม่ทำอะไรที่กระทบกระเทือนชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนบริเวณชายแดน เมื่อถามว่า เกรงว่าทางกัมพูชาจะใช้จังหวะที่ไทยมีความวุ่นวายภายในเพื่อสร้างปัญหาหรือไม่ นายสุเทพ บอกว่า “เขาไม่น่าจะทำอย่างนั้น”