ASTVผู้จัดการรายวัน – กองทัพมดพิซซ่ารุกตอดแชร์เชนใหญ่ เดอะพิซซ่ายันไม่กลัวเพราะตลาดยังเปิดกว้าง อีก 30 จังหวัดยังบอดอยู่ ปีนี้ทุ่ม 900 ล้านบาทลุย เปิดช่องทางเว็บไซต์สั่งสินค้า พร้อมขยายต่างประเทศอีก 3 ประเทศใหม่ หวังปีนี้โต12%
นายแอนดี้ โฮลแมน ผู้จัดการทั่วไป เดอะพิซซ่าคอมปะนี บริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดพิซซ่าโดยรวมปีนี้จะมีการแข่งขันที่สูงขึ้นโดยเฉพาะจากผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่ได้เป็นเชน มีการเกิดขึ้นค่อนข้างมาก ซึ่งอาจะกระทบกับพิซซ่าที่เป็นเชนบ้างในระดับหนึ่ง เพราะทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากยิ่งขึ้น แต่ก็ทำให้ตลาดรวมพิซซ่าเติบโตขึ้น 10% หรือมีมูลค่าถึง 7,000 ล้านบาท แต่หากมองเฉพาะพิซซ่าที่เป็นเชนรายใหญ่นั้นจะมีมูลค่าตลาดรวม 5,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เดอะพิซซ่า ยังมั่นใจว่าตลาดรวมยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เพราะยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ยังเข้าไปไม่ถึง รวมกับการบริโภคพิซซ่าของคนไทยยังน้อยมากเมื่อเทียบต่อคนต่อปี อีกทั้งจากการสำรวจพบว่า ประชากรไทยมีความสามารถสั่งพิซซ่าทานได้ถึง 70% แต่ที่ทานจริงๆมีเพียงแค่ 12% เท่านั้น
แผนธุรกิจในไทยปีนี้ของเดอะพิซซ่าคอมปะนีตั้งงบลงทุนไว้ที่ 900 ล้านบาท แบ่งเป็น 400 ล้านบาทใช้ขยายไม่ต่ำกว่า 4 แห่ง ใกล้เคียงปีที่แล้ว ขณะที่ปีก่อนหน้าเปิดมากถึง 28 สาขา ซึ่งมีอีกกว่า 30 จังหวัดที่เดอะพิซซ่ายังไม่มีสาขาบริการ และอาจจะมีเปิดแบบสแตนด์อโลนถ้าจำเป็น รวมทั่วไทยมี 203 สาขา (บริษัท 154 สาขา ส่วนแฟรนไชส์ 50 สาขา) ส่วนต่างประเทศจะขยายอีกรวม 14 สาขา ปัจจุบันมี 10 ประเทศแล้ว รวม 37 สาขา อยู่ที่จีน 21 สาขา เป็นของบริษัท 18% นอกนั้นเป็นแฟรนไชส์หมดทุกประเทศคือ เขมร เวียดนาม ลาว บาห์เรน จอร์แดน ซาอุดิอาระเบีย ยุเออี เป็นต้น ล่าสุดที่อินเดียเซ็นสัญญาแล้วเตรียมเปิดบริการ และจะเพิ่มอีก 3 ประเทศคือ ซีเรีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย
สำหรับแผนตลาดในไทยปีนี้ จะใช้งบรวม 500 ล้านบาท มากกว่าปีที่แล้ว 2 เท่า ทั้งการจัดโปรโมชั่น ล่าสุดคือ แคมเปญ ซื้อ 1 ถาด แถม 1 ถาดฟรี ถึงสิ้นเดือนมีนาคมนี้ คาดว่าจะมียอดการสั่งมากกว่า 2.5 ล้านถาด และสามารถขยายฐานลูกค้าได้ 20% โดยใช้งบตลาดแคมเปญนี้ 150 ล้านบาท หรือการออกเมนูใหม่ทั้งปี ซึ่งอนาคตอาจจะมีเมนูสเต็คก็ได้แล้วแต่โอกาส
สำหรับปีที่แล้ว เดอะพิซซ่ามียอดขายรวม 4,300 ล้านบาท เติบโต 10% และมีส่วนแบ่งตลาดเป็นผู้นำมากกว่า 80% โดยปีนี้คาดหวังว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ 10-12% หรือมีรายได้ประมาณ 4,700 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนยอดขายมาจาก นั่งทานในร้าน 40% ดีลิเวอรี่ 40% และเทคโฮม 20% โดยบริการดีลิเวอรี่มีการเติบโตมากที่สุด 6%
อย่างไรก็ตามคาดว่าภายใน 2-3 ปีจากนี้ ดีลิเวอรี่จะมีการเติบโตมากขึ้นกว่า 15% และจะทำให้สัดส่วนยอดขายเพิ่มเป็น 50% ได้ ซึ่งปัจจุบันมีสาขาที่เป็นจุดบริการดีลิเวอรี่มากกว่า 178 จุด ส่วนร้านนั่งทานมีประมาณ 24 สาขา ล่าสุดบริษัทฯได้เปิดตัวช่องทางจำหน่ายใหม่คือ เว็บไซต์ www.11112.com ที่สามารถสั่งซื้อได้
ส่วนช่วงฟุตบอลโลกกลางปีนี้ นายแอนดี้ กล่าวให้ความเห็นว่า คาดว่าตลาดดีลิเวอรี่จะเติบโตอีกไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งเดอะพิซซ่าเองก็เตรีรยมแผนตลาดรองรับเช่นกัน ทั้งดีลิเวอรี่ถึงเที่ยงคืน หรือการทำโปรโมชั่น
ส่วนประเด็นอาฟตาที่มีผลตั้งแต่ต้นปีนี้นั้น นายแอนดี้กล่าวว่า จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการอาหารของไทยมากขึ้น เนื่องจากว่า จะมีตลาดส่งออกเพิ่มมากขึ้น และจะมีช่องทางการนำวัตถุดิบจากต่างประเทศเข้ามาในราคาที่ต่ำลงได้ แตจ่ขณะเดียวกันผู้ประกอบการทุกรายก็ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันด้วยเช่นกัน
นายแอนดี้ โฮลแมน ผู้จัดการทั่วไป เดอะพิซซ่าคอมปะนี บริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดพิซซ่าโดยรวมปีนี้จะมีการแข่งขันที่สูงขึ้นโดยเฉพาะจากผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่ได้เป็นเชน มีการเกิดขึ้นค่อนข้างมาก ซึ่งอาจะกระทบกับพิซซ่าที่เป็นเชนบ้างในระดับหนึ่ง เพราะทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากยิ่งขึ้น แต่ก็ทำให้ตลาดรวมพิซซ่าเติบโตขึ้น 10% หรือมีมูลค่าถึง 7,000 ล้านบาท แต่หากมองเฉพาะพิซซ่าที่เป็นเชนรายใหญ่นั้นจะมีมูลค่าตลาดรวม 5,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เดอะพิซซ่า ยังมั่นใจว่าตลาดรวมยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เพราะยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ยังเข้าไปไม่ถึง รวมกับการบริโภคพิซซ่าของคนไทยยังน้อยมากเมื่อเทียบต่อคนต่อปี อีกทั้งจากการสำรวจพบว่า ประชากรไทยมีความสามารถสั่งพิซซ่าทานได้ถึง 70% แต่ที่ทานจริงๆมีเพียงแค่ 12% เท่านั้น
แผนธุรกิจในไทยปีนี้ของเดอะพิซซ่าคอมปะนีตั้งงบลงทุนไว้ที่ 900 ล้านบาท แบ่งเป็น 400 ล้านบาทใช้ขยายไม่ต่ำกว่า 4 แห่ง ใกล้เคียงปีที่แล้ว ขณะที่ปีก่อนหน้าเปิดมากถึง 28 สาขา ซึ่งมีอีกกว่า 30 จังหวัดที่เดอะพิซซ่ายังไม่มีสาขาบริการ และอาจจะมีเปิดแบบสแตนด์อโลนถ้าจำเป็น รวมทั่วไทยมี 203 สาขา (บริษัท 154 สาขา ส่วนแฟรนไชส์ 50 สาขา) ส่วนต่างประเทศจะขยายอีกรวม 14 สาขา ปัจจุบันมี 10 ประเทศแล้ว รวม 37 สาขา อยู่ที่จีน 21 สาขา เป็นของบริษัท 18% นอกนั้นเป็นแฟรนไชส์หมดทุกประเทศคือ เขมร เวียดนาม ลาว บาห์เรน จอร์แดน ซาอุดิอาระเบีย ยุเออี เป็นต้น ล่าสุดที่อินเดียเซ็นสัญญาแล้วเตรียมเปิดบริการ และจะเพิ่มอีก 3 ประเทศคือ ซีเรีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย
สำหรับแผนตลาดในไทยปีนี้ จะใช้งบรวม 500 ล้านบาท มากกว่าปีที่แล้ว 2 เท่า ทั้งการจัดโปรโมชั่น ล่าสุดคือ แคมเปญ ซื้อ 1 ถาด แถม 1 ถาดฟรี ถึงสิ้นเดือนมีนาคมนี้ คาดว่าจะมียอดการสั่งมากกว่า 2.5 ล้านถาด และสามารถขยายฐานลูกค้าได้ 20% โดยใช้งบตลาดแคมเปญนี้ 150 ล้านบาท หรือการออกเมนูใหม่ทั้งปี ซึ่งอนาคตอาจจะมีเมนูสเต็คก็ได้แล้วแต่โอกาส
สำหรับปีที่แล้ว เดอะพิซซ่ามียอดขายรวม 4,300 ล้านบาท เติบโต 10% และมีส่วนแบ่งตลาดเป็นผู้นำมากกว่า 80% โดยปีนี้คาดหวังว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ 10-12% หรือมีรายได้ประมาณ 4,700 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนยอดขายมาจาก นั่งทานในร้าน 40% ดีลิเวอรี่ 40% และเทคโฮม 20% โดยบริการดีลิเวอรี่มีการเติบโตมากที่สุด 6%
อย่างไรก็ตามคาดว่าภายใน 2-3 ปีจากนี้ ดีลิเวอรี่จะมีการเติบโตมากขึ้นกว่า 15% และจะทำให้สัดส่วนยอดขายเพิ่มเป็น 50% ได้ ซึ่งปัจจุบันมีสาขาที่เป็นจุดบริการดีลิเวอรี่มากกว่า 178 จุด ส่วนร้านนั่งทานมีประมาณ 24 สาขา ล่าสุดบริษัทฯได้เปิดตัวช่องทางจำหน่ายใหม่คือ เว็บไซต์ www.11112.com ที่สามารถสั่งซื้อได้
ส่วนช่วงฟุตบอลโลกกลางปีนี้ นายแอนดี้ กล่าวให้ความเห็นว่า คาดว่าตลาดดีลิเวอรี่จะเติบโตอีกไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งเดอะพิซซ่าเองก็เตรีรยมแผนตลาดรองรับเช่นกัน ทั้งดีลิเวอรี่ถึงเที่ยงคืน หรือการทำโปรโมชั่น
ส่วนประเด็นอาฟตาที่มีผลตั้งแต่ต้นปีนี้นั้น นายแอนดี้กล่าวว่า จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการอาหารของไทยมากขึ้น เนื่องจากว่า จะมีตลาดส่งออกเพิ่มมากขึ้น และจะมีช่องทางการนำวัตถุดิบจากต่างประเทศเข้ามาในราคาที่ต่ำลงได้ แตจ่ขณะเดียวกันผู้ประกอบการทุกรายก็ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันด้วยเช่นกัน