อีกเพียง 3 วันเท่านั้น “วันพิพากษา (Judgement Day)” ที่เราทุกคนต่างลุ้นระทึกกันตัวโก่ง ว่า “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” จะวินิจฉัยพิพากษาคดีประวัติศาสตร์ “76,000 ล้านบาท” ของอดีตนายกรัฐมนตรี “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ว่าจะถูก “ยึดหมด” หรือ “ยึดบางส่วน” จากข้อกล่าวหาว่า “ร่ำรวยผิดปกติ!”
จากเพียงคดีนี้คดีเดียว ที่ใช้ระยะเวลาในการสืบสวนสอบสวนเก็บข้อมูลผ่านกระบวนการขั้นตอนของกระทรวงยุติธรรมจาก “คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)” จนส่งต่อไปยังอัยการสูงสุด และอยู่ระหว่างขั้นตอนการวินิจฉัยของศาลฎีกาฯ ที่จะต้องอ่านคำพิพากษาจาก “องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา 9 ท่าน” ในวันศุกร์ที่ 26 ก.พ. 2553 นี้ ด้วยระยะเวลาประมาณ 3 ปีกว่า ที่เปี่ยมล้นเต็มไปด้วย “ความวุ่นวาย” ที่สร้างความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองจน “บอบช้ำ!”
คนไทยตลอดจนระยะเวลา 3 ปีกว่าที่ผ่านมา ต่างเกิด “ความแตกแยก” ที่มีแต่ “แยกขั้ว-แยกเขี้ยว” เข้าหากัน เนื่องด้วย “แฟนคลับทักษิณ” แท้ ก็น่าจะมีจำนวนมากเพียงพออยู่บ้าง แต่คงมิใช่เป็นจำนวนหลักล้านคน จริงๆ แล้วคงจะไม่เกินแสนกว่าคน นอกนั้น ขอฟันธงเลยว่า “จัดจ้าง-จัดตั้ง” เกือบทั้งสิ้น โดยแน่นอน คุณทักษิณและคณะเป็น “ผู้อยู่เบื้องหลัง!”
เหตุผลสำคัญที่ทำให้สังคมไทยแตกแยกมากมายเพียงนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย จนถ้าแบ่งเป็นเพียง “กีฬาสี : เหลือง-แดง” เท่านั้น ที่แตกต่างทางความคิด และการแสดงออกแต่เพียงเท่านั้น ก็เป็น “สิทธิ-เสรีภาพ” ที่พึงกระทำได้ภายใต้รัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตย
แต่ความจริงที่เกิดขึ้นนั้น มิใช่แตกต่างทางความคิดและการแสดงออกเท่านั้น ในทางกลับกัน กลับ “เคลื่อนไหว” ด้วยการเริ่มต้นจากการประท้วง และเลยเถิดไปจนถึงการทำร้ายกันเองของคนไทย พูดง่ายๆ ก็คือ “คนไทยฆ่ากันเอง!” จนปัจจุบันมีการลอบวางระเบิด ยิงจรวด จองล้างจองผลาญ มุ่งทำร้ายผู้นำประเทศ ผู้บริหารประเทศไม่สามารถปฏิบัติงานบางพื้นที่ของประเทศชาติได้ จนเลยเถิดก้าวล่วงไปจนถึงสถาบันสำคัญๆ ของชาติ!
เท่านั้นยังไม่พอ บางครอบครัวไม่สามารถสนทนาพูดคุยกันได้ เนื่องด้วยพ่อเป็นอีกกลุ่มสี และลูกสาวเป็นสมาชิกอีกสี หรือแม้กระทั่ง เพื่อนฝูงกัน หรือบางคนทำงานในสถานที่เดียวกัน แต่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จนทะเลาะโกรธเคืองไม่พูดจากันไป
ปรากฏการณ์ของกลุ่มบุคคลที่เกิดขึ้นตลอด 3 ปีกว่านั้น สามารถแยกได้ออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ กล่าวคือ กลุ่มบุคคลแรก ที่ยึดมั่นเชื่อมั่นในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนหลงใหลคลั่งไคล้ และมองว่าเป็น “เทพเจ้า” ซึ่งน่าจะมีจำนวนไม่มากมายนัก กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มที่สูญเสียประโยชน์จาก “การหลุดวงโคจรอำนาจ” ของคุณทักษิณ จนต้องเข้าร่วมขบวนการต่อต้านทุกภาคส่วนที่อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายตนเอง
แต่กลุ่มที่สามนี้ เป็นกลุ่มที่มีเจตนารมณ์ชัดเจนว่า “การเมือง” ที่สัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นกับ “ผลประโยชน์-เงิน” ที่จัดเป็นขบวนการในการแสดงจุดยืนและกำหนดเป้าหมายชัดเจนว่า “โค่นล้ม!” ทั้งต่อ “อำนาจเก่า-อำนาจอำมาตย์” และ “รัฐบาลประชาธิปัตย์” ด้วยสารพัด “วิธีการ” โดยไม่คำนึงถึง “ความเสียหาย” ต่อชาติบ้านเมือง ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญ
ทั้งหลายทั้งปวงเกิดจาก “ความเคียดแค้น” ที่มุ่งจ้องทำลายใครอะไรก็ตามที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามตนเองและคณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ขัดผลประโยชน์-ขัดอำนาจ” ที่สูญเสียไป โดยไม่คำนึงถึงว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร “บริสุทธิ์หรือไม่!” หรือว่า “ประพฤติมิชอบ-เบียดเบียน-ละเมิดกฎหมาย-ลุแก่อำนาจ” ด้วยการใช้ตำแหน่งหน้าที่เสาะแสวงหาผลประโยชน์จนร่ำรวยมหาศาล จนเมื่อถูก “ยึดอำนาจ” จึงเพียรพยายามกระทำทุกอย่างเพื่อ “ล้างแค้น-เอาคืน” จนอาจจะเลยเถิดถึง “การโค่นอำนาจสถาบัน” ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ “การขัดแข้งขัดขา” ผลประโยชน์ตนเองและคณะ
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า “เป้าหมาย” คือ “ทำลายล้าง-โค่นล้ม” เพียงเพื่อให้ตนเองและคณะกลับเข้าสู่วงจรอำนาจอีกครั้งหนึ่ง “วิธีการ” จะดำเนินการเช่นไร ส่งผลกระทบอย่างไรต่อสังคมและชาติบ้านเมือง “ไม่สนทั้งนั้น!”
“ความวุ่นวาย” ที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 3 ปี ต้องยอมรับว่า ส่งผลกระทบทั้งด้านจิตวิทยาแก่คนไทยและชาวต่างชาติ และด้านกายภาพที่เป็นผลเชิงรูปธรรมต่อสังคม การเมือง เศรษฐกิจ จนทำให้ความ “เชื่อมั่นการลงทุน” ลดน้อยถอยลง “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” มีจำนวนนักท่องเที่ยวหดตัวลง แต่คงไม่สำคัญเท่ากับ “การหวาดผวา” และ “ความเบื่อเอือมระอา” ของประชาชนส่วนใหญ่ ที่พยายามอยู่และอยากอยู่ในสังคมที่สงบสันติสุข
เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา ได้สบโอกาสสนทนาพูดคุยกับเจ้าของสายการบิน “โลว์คอสต์ (Low Cost)” ท่านหนึ่ง ซึ่งบ่นว่า จำนวนตัวเลขของนักท่องเที่ยวช่วงตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว หดหายลงไปร้อยละ 30-40 เลยทีเดียว เนื่องด้วยมีการเตือนบรรดานักท่องเที่ยวจากรัฐบาลออสเตรเลีย และประเทศจีน ให้นักท่องเที่ยวของเขาระมัดระวัง และจะให้ดีที่สุด คือ ไม่ต้องมาเที่ยวเมืองไทยในช่วง 2-3 สัปดาห์นี้
ช่วงปลาย แนวโน้มที่รัฐบาลอังกฤษ จีน และสหรัฐอเมริกา จะยึดถือปฏิบัติเช่นเดียวกันในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น “ผลกระทบ” ต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้เกิดขึ้นแล้วไม่มากก็น้อย ด้วยการยกเลิกเที่ยวบิน หรือเบนสู่ประเทศอื่นแทน โดยน่าจะมีมูลค่าสูงถึงหลักหลายแสนล้านบาท
ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ ตลอดจนซักถามว่า “คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท” นี้ จะเกิดความรุนแรงมากน้อยขนาดไหน และยั่วยุยาวเป็น “อาฟเตอร์ช็อก” ต่อจากนี้อีกนานหรือไม่ หนึ่งคำถามล่ะ สอง “เงินก้อนโต” จะถูกยึดหมดหรือบางส่วน แล้ว “ผลลัพธ์” จะเป็นเช่นไร หลังจากนี้ และสาม “เมื่อไหร่จะจบ?”
คำถาม และคำวิจารณ์ต่างๆ เหล่านั้น เป็น “ความวิตกกังวล” จนเลยเถิดไปจนถึง “ความกลัว” ก็เป็นได้ ในหมู่คนไทย แต่จริงๆ แล้ว มีคนกลุ่มหนึ่ง แน่นอนที่ไม่ได้ใส่ใจกลัวหรือวิตกกังวลเลย เพราะได้รับทั้ง “ใบสั่ง” และก็ “เงิน” เป็น “ท่อน้ำเลี้ยง” จนเป็น “กองทุน” สามารถ “เลี้ยงดูตนเอง-ครอบครัว” ได้ตลอดชีวิตเลยทีเดียว!
กลุ่มบุคคลกลุ่มนี้ อาจจะมี “อุดมการณ์-หลักการ” ด้านระบอบการเมืองการปกครองของไทยบ้าง แต่น่าเชื่อว่า คงไม่เกินร้อยละ 50 หรือน้อยกว่านั้น โดย “เป้าหมาย-วาระจริง” น่าจะเป็น “ผลประโยชน์ก้อนโต” ในการ “รับจ็อบ” ที่ยึดเป็น “สรณะ” มากกว่า
จริงๆ แล้ว องคาพยพของกลุ่มบุคคลที่ได้ประโยชน์มีแกนนำคงจะประมาณไม่เกิน 10-15 คน ส่วน “ลูกกระจ๊อก!” ขยายวงออกไปเป็นวงๆ วงละ 30-50 คน ที่มีลักษณะคล้าย “ยี่ปั๊ว-ซาปั๊ว” จำนวนตัวเลขของกลุ่มเสื้อแดงที่คอยกระจายออกไปจึงออกมาเพียงหลักหลายพันสูงสุดหลักหมื่น แต่เมื่อประกาศชักธงเมื่อใด หลักแสนอาจเกิดขึ้นได้เป็นครั้งคราว
ผลการวินิจฉัยของศาลฎีกาฯ ในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ (26 ก.พ.’53) เรายังคงฟันธงไม่ได้ว่า “ยึดหมด!” หรือ “ยึดบางส่วน!” แต่ก็ขอฟันธงต่อว่า “ยังไงๆ ก็จะวุ่นวายต่อเนื่อง!”
อย่าว่าแต่พี่น้องประชาชนทั่วไปที่ติดตาม หรือไม่ได้ติดตามคดีนี้ ต่างไม่มีใครรอบรู้ข้อมูลครบถ้วนหมด แม้กระทั่ง บรรดาผู้ที่สนใจและติดตามระดับภูมิปัญญาและความรู้ ยังคงไม่สามารถอธิบายอย่างละเอียดได้เลย เนื่องด้วยคดีสำคัญนี้ “สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน!” อย่างมาก ยากที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้
จึงเป็นปกติธรรมดาที่ประชาชนระดับรากหญ้าถึง “หลงใหลคลั่งไคล้” กับอดีตนโยบายประชานิยมต่างๆ ที่คุณทักษิณ ได้ปฏิบัติมา พร้อมกับล่าสุด จะชำระหนี้ให้หมดเมื่อกลับมามีอำนาจใหม่
คดีประวัติศาสตร์นี้ เป็นคดีสำคัญที่ต้องอาศัยสายสนกลในสืบหาพยานหลักฐานอย่างมากมาย เพราะความชาญฉลาดของคุณทักษิณ ชินวัตร ครอบครัว คนใกล้ชิด และคณะทีมงานทั้งทางด้านธุรกิจและกฎหมาย จึงสามารถ “เล่นแร่แปรธาตุ” ได้มากมายขนาดนี้ ขอย้ำว่า “สลับซับซ้อน” อย่างมาก เรียกว่า ต้องเอาผู้เชี่ยวชาญ หรือ “หมองู” มาจับ “งูพิษ” งานนี้เสียเอง หรืออาจเข้าทำนองว่า “หมองูตายเพราะงู” เนื่องด้วยคุณทักษิณและคณะเป็นยิ่งกว่าหมองูเสียอีก และก็พลาดท่าจนได้!?!
เรงคงได้ยินคำกล่าวโบราณแบบไทยๆ ว่า “ไม่มีใครฉลาดเกินใครดอก!” หรือ “ไม่มีใครโง่ไปกว่าใคร!” หรือ “เหนือฟ้ายังมีฟ้า!” และท้ายสุดคือ “กฎแห่งกรรม!”
“ความยุติธรรม” ที่เป็น “มาตรฐานเดียวต้องเกิดขึ้นแน่นอนกับสังคม ซึ่งขอย้ำว่า “ใครทำดีได้ดี ใครทำชั่วได้ชั่ว!”
อีก 2 วันก็รู้!?!
จากเพียงคดีนี้คดีเดียว ที่ใช้ระยะเวลาในการสืบสวนสอบสวนเก็บข้อมูลผ่านกระบวนการขั้นตอนของกระทรวงยุติธรรมจาก “คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)” จนส่งต่อไปยังอัยการสูงสุด และอยู่ระหว่างขั้นตอนการวินิจฉัยของศาลฎีกาฯ ที่จะต้องอ่านคำพิพากษาจาก “องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา 9 ท่าน” ในวันศุกร์ที่ 26 ก.พ. 2553 นี้ ด้วยระยะเวลาประมาณ 3 ปีกว่า ที่เปี่ยมล้นเต็มไปด้วย “ความวุ่นวาย” ที่สร้างความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองจน “บอบช้ำ!”
คนไทยตลอดจนระยะเวลา 3 ปีกว่าที่ผ่านมา ต่างเกิด “ความแตกแยก” ที่มีแต่ “แยกขั้ว-แยกเขี้ยว” เข้าหากัน เนื่องด้วย “แฟนคลับทักษิณ” แท้ ก็น่าจะมีจำนวนมากเพียงพออยู่บ้าง แต่คงมิใช่เป็นจำนวนหลักล้านคน จริงๆ แล้วคงจะไม่เกินแสนกว่าคน นอกนั้น ขอฟันธงเลยว่า “จัดจ้าง-จัดตั้ง” เกือบทั้งสิ้น โดยแน่นอน คุณทักษิณและคณะเป็น “ผู้อยู่เบื้องหลัง!”
เหตุผลสำคัญที่ทำให้สังคมไทยแตกแยกมากมายเพียงนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย จนถ้าแบ่งเป็นเพียง “กีฬาสี : เหลือง-แดง” เท่านั้น ที่แตกต่างทางความคิด และการแสดงออกแต่เพียงเท่านั้น ก็เป็น “สิทธิ-เสรีภาพ” ที่พึงกระทำได้ภายใต้รัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตย
แต่ความจริงที่เกิดขึ้นนั้น มิใช่แตกต่างทางความคิดและการแสดงออกเท่านั้น ในทางกลับกัน กลับ “เคลื่อนไหว” ด้วยการเริ่มต้นจากการประท้วง และเลยเถิดไปจนถึงการทำร้ายกันเองของคนไทย พูดง่ายๆ ก็คือ “คนไทยฆ่ากันเอง!” จนปัจจุบันมีการลอบวางระเบิด ยิงจรวด จองล้างจองผลาญ มุ่งทำร้ายผู้นำประเทศ ผู้บริหารประเทศไม่สามารถปฏิบัติงานบางพื้นที่ของประเทศชาติได้ จนเลยเถิดก้าวล่วงไปจนถึงสถาบันสำคัญๆ ของชาติ!
เท่านั้นยังไม่พอ บางครอบครัวไม่สามารถสนทนาพูดคุยกันได้ เนื่องด้วยพ่อเป็นอีกกลุ่มสี และลูกสาวเป็นสมาชิกอีกสี หรือแม้กระทั่ง เพื่อนฝูงกัน หรือบางคนทำงานในสถานที่เดียวกัน แต่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จนทะเลาะโกรธเคืองไม่พูดจากันไป
ปรากฏการณ์ของกลุ่มบุคคลที่เกิดขึ้นตลอด 3 ปีกว่านั้น สามารถแยกได้ออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ กล่าวคือ กลุ่มบุคคลแรก ที่ยึดมั่นเชื่อมั่นในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนหลงใหลคลั่งไคล้ และมองว่าเป็น “เทพเจ้า” ซึ่งน่าจะมีจำนวนไม่มากมายนัก กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มที่สูญเสียประโยชน์จาก “การหลุดวงโคจรอำนาจ” ของคุณทักษิณ จนต้องเข้าร่วมขบวนการต่อต้านทุกภาคส่วนที่อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายตนเอง
แต่กลุ่มที่สามนี้ เป็นกลุ่มที่มีเจตนารมณ์ชัดเจนว่า “การเมือง” ที่สัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นกับ “ผลประโยชน์-เงิน” ที่จัดเป็นขบวนการในการแสดงจุดยืนและกำหนดเป้าหมายชัดเจนว่า “โค่นล้ม!” ทั้งต่อ “อำนาจเก่า-อำนาจอำมาตย์” และ “รัฐบาลประชาธิปัตย์” ด้วยสารพัด “วิธีการ” โดยไม่คำนึงถึง “ความเสียหาย” ต่อชาติบ้านเมือง ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญ
ทั้งหลายทั้งปวงเกิดจาก “ความเคียดแค้น” ที่มุ่งจ้องทำลายใครอะไรก็ตามที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามตนเองและคณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ขัดผลประโยชน์-ขัดอำนาจ” ที่สูญเสียไป โดยไม่คำนึงถึงว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร “บริสุทธิ์หรือไม่!” หรือว่า “ประพฤติมิชอบ-เบียดเบียน-ละเมิดกฎหมาย-ลุแก่อำนาจ” ด้วยการใช้ตำแหน่งหน้าที่เสาะแสวงหาผลประโยชน์จนร่ำรวยมหาศาล จนเมื่อถูก “ยึดอำนาจ” จึงเพียรพยายามกระทำทุกอย่างเพื่อ “ล้างแค้น-เอาคืน” จนอาจจะเลยเถิดถึง “การโค่นอำนาจสถาบัน” ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ “การขัดแข้งขัดขา” ผลประโยชน์ตนเองและคณะ
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า “เป้าหมาย” คือ “ทำลายล้าง-โค่นล้ม” เพียงเพื่อให้ตนเองและคณะกลับเข้าสู่วงจรอำนาจอีกครั้งหนึ่ง “วิธีการ” จะดำเนินการเช่นไร ส่งผลกระทบอย่างไรต่อสังคมและชาติบ้านเมือง “ไม่สนทั้งนั้น!”
“ความวุ่นวาย” ที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 3 ปี ต้องยอมรับว่า ส่งผลกระทบทั้งด้านจิตวิทยาแก่คนไทยและชาวต่างชาติ และด้านกายภาพที่เป็นผลเชิงรูปธรรมต่อสังคม การเมือง เศรษฐกิจ จนทำให้ความ “เชื่อมั่นการลงทุน” ลดน้อยถอยลง “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” มีจำนวนนักท่องเที่ยวหดตัวลง แต่คงไม่สำคัญเท่ากับ “การหวาดผวา” และ “ความเบื่อเอือมระอา” ของประชาชนส่วนใหญ่ ที่พยายามอยู่และอยากอยู่ในสังคมที่สงบสันติสุข
เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา ได้สบโอกาสสนทนาพูดคุยกับเจ้าของสายการบิน “โลว์คอสต์ (Low Cost)” ท่านหนึ่ง ซึ่งบ่นว่า จำนวนตัวเลขของนักท่องเที่ยวช่วงตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว หดหายลงไปร้อยละ 30-40 เลยทีเดียว เนื่องด้วยมีการเตือนบรรดานักท่องเที่ยวจากรัฐบาลออสเตรเลีย และประเทศจีน ให้นักท่องเที่ยวของเขาระมัดระวัง และจะให้ดีที่สุด คือ ไม่ต้องมาเที่ยวเมืองไทยในช่วง 2-3 สัปดาห์นี้
ช่วงปลาย แนวโน้มที่รัฐบาลอังกฤษ จีน และสหรัฐอเมริกา จะยึดถือปฏิบัติเช่นเดียวกันในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น “ผลกระทบ” ต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้เกิดขึ้นแล้วไม่มากก็น้อย ด้วยการยกเลิกเที่ยวบิน หรือเบนสู่ประเทศอื่นแทน โดยน่าจะมีมูลค่าสูงถึงหลักหลายแสนล้านบาท
ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ ตลอดจนซักถามว่า “คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท” นี้ จะเกิดความรุนแรงมากน้อยขนาดไหน และยั่วยุยาวเป็น “อาฟเตอร์ช็อก” ต่อจากนี้อีกนานหรือไม่ หนึ่งคำถามล่ะ สอง “เงินก้อนโต” จะถูกยึดหมดหรือบางส่วน แล้ว “ผลลัพธ์” จะเป็นเช่นไร หลังจากนี้ และสาม “เมื่อไหร่จะจบ?”
คำถาม และคำวิจารณ์ต่างๆ เหล่านั้น เป็น “ความวิตกกังวล” จนเลยเถิดไปจนถึง “ความกลัว” ก็เป็นได้ ในหมู่คนไทย แต่จริงๆ แล้ว มีคนกลุ่มหนึ่ง แน่นอนที่ไม่ได้ใส่ใจกลัวหรือวิตกกังวลเลย เพราะได้รับทั้ง “ใบสั่ง” และก็ “เงิน” เป็น “ท่อน้ำเลี้ยง” จนเป็น “กองทุน” สามารถ “เลี้ยงดูตนเอง-ครอบครัว” ได้ตลอดชีวิตเลยทีเดียว!
กลุ่มบุคคลกลุ่มนี้ อาจจะมี “อุดมการณ์-หลักการ” ด้านระบอบการเมืองการปกครองของไทยบ้าง แต่น่าเชื่อว่า คงไม่เกินร้อยละ 50 หรือน้อยกว่านั้น โดย “เป้าหมาย-วาระจริง” น่าจะเป็น “ผลประโยชน์ก้อนโต” ในการ “รับจ็อบ” ที่ยึดเป็น “สรณะ” มากกว่า
จริงๆ แล้ว องคาพยพของกลุ่มบุคคลที่ได้ประโยชน์มีแกนนำคงจะประมาณไม่เกิน 10-15 คน ส่วน “ลูกกระจ๊อก!” ขยายวงออกไปเป็นวงๆ วงละ 30-50 คน ที่มีลักษณะคล้าย “ยี่ปั๊ว-ซาปั๊ว” จำนวนตัวเลขของกลุ่มเสื้อแดงที่คอยกระจายออกไปจึงออกมาเพียงหลักหลายพันสูงสุดหลักหมื่น แต่เมื่อประกาศชักธงเมื่อใด หลักแสนอาจเกิดขึ้นได้เป็นครั้งคราว
ผลการวินิจฉัยของศาลฎีกาฯ ในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ (26 ก.พ.’53) เรายังคงฟันธงไม่ได้ว่า “ยึดหมด!” หรือ “ยึดบางส่วน!” แต่ก็ขอฟันธงต่อว่า “ยังไงๆ ก็จะวุ่นวายต่อเนื่อง!”
อย่าว่าแต่พี่น้องประชาชนทั่วไปที่ติดตาม หรือไม่ได้ติดตามคดีนี้ ต่างไม่มีใครรอบรู้ข้อมูลครบถ้วนหมด แม้กระทั่ง บรรดาผู้ที่สนใจและติดตามระดับภูมิปัญญาและความรู้ ยังคงไม่สามารถอธิบายอย่างละเอียดได้เลย เนื่องด้วยคดีสำคัญนี้ “สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน!” อย่างมาก ยากที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้
จึงเป็นปกติธรรมดาที่ประชาชนระดับรากหญ้าถึง “หลงใหลคลั่งไคล้” กับอดีตนโยบายประชานิยมต่างๆ ที่คุณทักษิณ ได้ปฏิบัติมา พร้อมกับล่าสุด จะชำระหนี้ให้หมดเมื่อกลับมามีอำนาจใหม่
คดีประวัติศาสตร์นี้ เป็นคดีสำคัญที่ต้องอาศัยสายสนกลในสืบหาพยานหลักฐานอย่างมากมาย เพราะความชาญฉลาดของคุณทักษิณ ชินวัตร ครอบครัว คนใกล้ชิด และคณะทีมงานทั้งทางด้านธุรกิจและกฎหมาย จึงสามารถ “เล่นแร่แปรธาตุ” ได้มากมายขนาดนี้ ขอย้ำว่า “สลับซับซ้อน” อย่างมาก เรียกว่า ต้องเอาผู้เชี่ยวชาญ หรือ “หมองู” มาจับ “งูพิษ” งานนี้เสียเอง หรืออาจเข้าทำนองว่า “หมองูตายเพราะงู” เนื่องด้วยคุณทักษิณและคณะเป็นยิ่งกว่าหมองูเสียอีก และก็พลาดท่าจนได้!?!
เรงคงได้ยินคำกล่าวโบราณแบบไทยๆ ว่า “ไม่มีใครฉลาดเกินใครดอก!” หรือ “ไม่มีใครโง่ไปกว่าใคร!” หรือ “เหนือฟ้ายังมีฟ้า!” และท้ายสุดคือ “กฎแห่งกรรม!”
“ความยุติธรรม” ที่เป็น “มาตรฐานเดียวต้องเกิดขึ้นแน่นอนกับสังคม ซึ่งขอย้ำว่า “ใครทำดีได้ดี ใครทำชั่วได้ชั่ว!”
อีก 2 วันก็รู้!?!