ASTVผู้จัดการายวัน -“อภิสิทธิ์” สั่งชะลอข้อเสนอเอกชนให้กำหนดแต้มต่อในทีโออาร์รถราง ขณะที่ กรอ.เห็นชอบแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมขนส่งระบบราง 3 แนวทาง พร้อมดันข้อเสนอจูงใจสายการบินตั้งแต่การลดค่าธรรมเนียมและให้เอกชนเข้ามาบริหารท่าอากาศยานภูมิภาค
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการปรชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรับมนตรีเป็นประธาน ว่า นายยกรัฐมนตรีสั่งให้ชะลอข้อเสนอของภาคเอกชนที่ มีการเสนอให้กำหนดแต้มต่อ (Handicap) กับผู้ที่เสนอประมูลโครงการที่มีการใช้สิ้นส่วนในประเทศ และเสนอให้บรรจุเข้าในเงื่อนไขการประมูลงาน (ทีโออาร์) เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ โดยภาคเอกชน โดยนายกฯให้เหตุผลว่า เรื่องเงื่อนไขทีโออาร์เป็นเรื่องที่ยังไม่ต้องกำหนดในช่วงนี้
สำหรับประเทศที่มีการกำหนดแต้มต่อในทีโออาร์ ดังนี้คือ อเมริกา การพัฒนารถรางในประเทศ ทีโออาร์ กำหนดให้ต้องใช้วัสดุอุปกรณ์ และชิ้นส่วนในประเทศมากกว่า 60%และหากราคาของในประเทศ ต่างจากของนำเข้าไม่เกิน 25% ต้องซื้อของในประเทศ ส่วนโครงการระบบขนส่งทางรางของจีน กำหนดให้ใช้วัสดุในประเทศ หากจำเป็นต้องใช้จากต่างประเทศ ต้องผ่านการอนุญาตจากรัฐบาลก่อน
ทั้งนี้ภาคเอกชนได้มีการสำรวจศักยภาพและขีดความามารถของผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนพบผู้ประกอบการไทย มีศักยภาพในการผลิตชิ้นส่วน อุปกรณ์ได้ 433 รายการ หรือจำนวน 78.5% จากจำนวน 564 รายการที่จำเป็นต้องใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมรถไฟฟ้า
ส่วนมติที่ประชุมกรอ.เห็นชอบ แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งระบบราง และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง และการจัดตั้งสถาบันพัฒนาระบบขนส่งทางราง และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง โดยที่ประชุมมอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการใน 3 เรื่อง
ดังนี้คือ 1.มอบกระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์ และกระทรวงศึกษาธิการ ทำงาน และศึกษาร่วมกัน เพื่อสร้างความพร้อมในด้านการดูดซับ และพัฒนาเทคโนโลยี และบุคคลากร
2.จัดตั้งคณะทำงานระหว่างภาครัฐ และเอกชน เพื่อทำงานร่วมกันในการกำหนดรูปแบบ และแนวทางของการทำงานของสถาบันพัฒนาระบบขนส่งทางราง และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง และ3.พิจารณากำหนเงื่อนไขที่จะอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการภายในประเทศ โดยต้องทำงานอย่างระมัดระวัง ไม่ขัดต่อกติการะหว่างประเทศ โดยเฉพาะองค์การการค้าโลก
อนุมัติบินไทยลดเที่ยวบินในประเทศ ส่งนกแอร์บินแทน
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติให้ยกเลิกเที่ยวบินประจำของสายการบินที่ได้รับอนุญาต โดยบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ บกท. มีการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์จะพัฒนาองค์กรให้มี 3 ลัษณะที่สำคัญ คือ เป็นองค์กรที่มุ่งเน้นลูกค้า มีขีดความสามารถในการแข่งขัน และมีความคล่องตัว
โดยบกท.ยังคงทำการบินเส้นทางกรุงเทพฯ-อุบลราชธานี วันละ 1 เที่ยวบินไป-กลับ (7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์) และให้สายการบินนกแอร์ทำการบินเส้นทางดังกล่าวแทนวันละ 2 เที่ยวบินไป-กลับ (14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์) ให้สายการบินนกแอร์ทำการบินเส้นทางดอนเมือง-พิษณุโลก และเส้นทางเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน วันละ 2 เที่ยวบินไป-กลับ (14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์)
ทั้งนี้ กรอ. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาโดยการสร้างแรงจูงใจให้สายการบินมาให้บริการในท่าอากาศยานภูมิภาค เช่น การลดค่าธรรมเนียม การสร้างเส้นทางการบินที่ประหยัด และการเปิดเส้นทางการบินที่มีศักยภาพ เป็นต้น รวมทั้งเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาบริหารท่าอากาศยานภูมิภาค
โดยท่าอากาศยานภูมิภาคในความรับผิดชอบของกรมการบินพลเรือนมีจำนวน 28 แห่ง ประกอบด้วย การให้บริการเชิงพาณิชย์ และบริการหน่วยงานราชการ จำนวน 18 แห่งการใช้บริการหน่วยงานราชการ จำนวน 8 แห่ง และท่าอากาศยานภูมิภาคที่ไม่มีการใช้ประโยชน์ จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ ตาก และแม่สะเรียง
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการปรชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรับมนตรีเป็นประธาน ว่า นายยกรัฐมนตรีสั่งให้ชะลอข้อเสนอของภาคเอกชนที่ มีการเสนอให้กำหนดแต้มต่อ (Handicap) กับผู้ที่เสนอประมูลโครงการที่มีการใช้สิ้นส่วนในประเทศ และเสนอให้บรรจุเข้าในเงื่อนไขการประมูลงาน (ทีโออาร์) เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ โดยภาคเอกชน โดยนายกฯให้เหตุผลว่า เรื่องเงื่อนไขทีโออาร์เป็นเรื่องที่ยังไม่ต้องกำหนดในช่วงนี้
สำหรับประเทศที่มีการกำหนดแต้มต่อในทีโออาร์ ดังนี้คือ อเมริกา การพัฒนารถรางในประเทศ ทีโออาร์ กำหนดให้ต้องใช้วัสดุอุปกรณ์ และชิ้นส่วนในประเทศมากกว่า 60%และหากราคาของในประเทศ ต่างจากของนำเข้าไม่เกิน 25% ต้องซื้อของในประเทศ ส่วนโครงการระบบขนส่งทางรางของจีน กำหนดให้ใช้วัสดุในประเทศ หากจำเป็นต้องใช้จากต่างประเทศ ต้องผ่านการอนุญาตจากรัฐบาลก่อน
ทั้งนี้ภาคเอกชนได้มีการสำรวจศักยภาพและขีดความามารถของผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนพบผู้ประกอบการไทย มีศักยภาพในการผลิตชิ้นส่วน อุปกรณ์ได้ 433 รายการ หรือจำนวน 78.5% จากจำนวน 564 รายการที่จำเป็นต้องใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมรถไฟฟ้า
ส่วนมติที่ประชุมกรอ.เห็นชอบ แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งระบบราง และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง และการจัดตั้งสถาบันพัฒนาระบบขนส่งทางราง และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง โดยที่ประชุมมอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการใน 3 เรื่อง
ดังนี้คือ 1.มอบกระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์ และกระทรวงศึกษาธิการ ทำงาน และศึกษาร่วมกัน เพื่อสร้างความพร้อมในด้านการดูดซับ และพัฒนาเทคโนโลยี และบุคคลากร
2.จัดตั้งคณะทำงานระหว่างภาครัฐ และเอกชน เพื่อทำงานร่วมกันในการกำหนดรูปแบบ และแนวทางของการทำงานของสถาบันพัฒนาระบบขนส่งทางราง และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง และ3.พิจารณากำหนเงื่อนไขที่จะอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการภายในประเทศ โดยต้องทำงานอย่างระมัดระวัง ไม่ขัดต่อกติการะหว่างประเทศ โดยเฉพาะองค์การการค้าโลก
อนุมัติบินไทยลดเที่ยวบินในประเทศ ส่งนกแอร์บินแทน
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติให้ยกเลิกเที่ยวบินประจำของสายการบินที่ได้รับอนุญาต โดยบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ บกท. มีการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์จะพัฒนาองค์กรให้มี 3 ลัษณะที่สำคัญ คือ เป็นองค์กรที่มุ่งเน้นลูกค้า มีขีดความสามารถในการแข่งขัน และมีความคล่องตัว
โดยบกท.ยังคงทำการบินเส้นทางกรุงเทพฯ-อุบลราชธานี วันละ 1 เที่ยวบินไป-กลับ (7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์) และให้สายการบินนกแอร์ทำการบินเส้นทางดังกล่าวแทนวันละ 2 เที่ยวบินไป-กลับ (14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์) ให้สายการบินนกแอร์ทำการบินเส้นทางดอนเมือง-พิษณุโลก และเส้นทางเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน วันละ 2 เที่ยวบินไป-กลับ (14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์)
ทั้งนี้ กรอ. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาโดยการสร้างแรงจูงใจให้สายการบินมาให้บริการในท่าอากาศยานภูมิภาค เช่น การลดค่าธรรมเนียม การสร้างเส้นทางการบินที่ประหยัด และการเปิดเส้นทางการบินที่มีศักยภาพ เป็นต้น รวมทั้งเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาบริหารท่าอากาศยานภูมิภาค
โดยท่าอากาศยานภูมิภาคในความรับผิดชอบของกรมการบินพลเรือนมีจำนวน 28 แห่ง ประกอบด้วย การให้บริการเชิงพาณิชย์ และบริการหน่วยงานราชการ จำนวน 18 แห่งการใช้บริการหน่วยงานราชการ จำนวน 8 แห่ง และท่าอากาศยานภูมิภาคที่ไม่มีการใช้ประโยชน์ จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ ตาก และแม่สะเรียง
