xs
xsm
sm
md
lg

กูรูยืนยันIMFทยอยขายทองไม่มีผลหวั่น26ก.พ.ร้ายแรงฉุดเงินบาทอ่อน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน - กูรูยืนยันการทยอยปล่อยขายทองคำล็อตที่เหลือของ ไอเอ็มเอฟ อีก 191.3 ตันภายในปีนี้ จะไม่มีผลต่อการปรับลดราคาทองคำมากนัก แนะนักลงทุนจับตาดูการแก้ปัญหาเศรษฐกิจอขงกรีซ และการช่วยเหลือของอียู หากมีความชัดเจนทุกอย่างจะดูดีขึ้น ส่วน 26 ก.พ.นี้คาดหากเกิดความร้ายแรงจะฉุดให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง หลังนักลงทุนต่างชาติไม่มีความมั่นใจ โยกไปถือดอลลาร์แทน เชื่อ 2 สัปดาห์จากนี้ราคาทองอยู่ที่ประมาณ 1,133 เหรียญ/ออนซ์

นายสัญญา หาญพัฒนกิจพานิช ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก จำกัดเปิดเผยถึงกรณีกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) จะนำทองคำน้ำหนัก 191.3 เมตริกตันออกขายในตลาดเปิดเร็วๆนี้ว่า เรื่องดังกล่าวมีผลต่อราคาทองคำน้อยมาก ถ้าจะมีก็เฉพาะในด้านจิตวิทยาต่อนักลงทุน เพราะการขายทองคำในครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายเมื่อปี 2551 ที่ไอเอ็มเอฟ ได้ระบุไว้แล้วว่าจะขายทองคำที่มีอยู่ออกไปจำนวน 403.3 ต้น ซึ่งในปีที่ผ่านมาก็ทำการขายทองคำออกไป 212 ตัน จึงเหลือ 191.3 ตัน ซึ่งล่าสุดได้ออกมาระบุว่าจะนำออกมาขายภายในปีนี้เท่านั้น

“การขายทองคำครั้งนี้ เป็นไปตามภายใต้ข้อตกลงที่ทำขึ้นเมื่อปีที่แล้ว โดยมีเป้าหมายที่จะระดมทุนเพื่อเพิ่มสำรองในการปล่อยกู้ให้กับประเทศต่างๆที่ต้องการความช่วยเหลือด้านการเงิน จึงไม่มีผลต่อการร่วงลงของราคมมากนัก ถ้าจะมีก็ผลแค่ด้านจิตวิทยาต่อนักลงทุนในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งคนที่จะวิตกมากคือพวกนิยมเก็งกำไรจากทองคำมากว่า”

ขณะเดียวกัน สิ่งที่นักลงทุนควรเฝ้าจับตา คือ การปรับตัวขึ้นอขงอัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีแนวโน้มว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจมีความร้อนแรงมากจนเกินไป จึงต้องมีการควบคุม ซึ่งหากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นจริง อาจส่งผลต่อเงินที่ลงทุนในสินทรัพย์ๆ เช่นทองคำ หุ้น คอมมอดิตี้ มีการเปลี่ยนแปลงตามการโยกย้ายทรัพย์สิน หันกลับไปหาการลงทุนในค่าเงินดอลลาร์หสรัฐมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อราคาทองคำให้มีโอกาสปรับตัวลดลง

นอกจากนี้ นักลงทุนควรจับตาดูเศรษฐกิจในฟากประเทศแถบยุโรป โดยเฉพาะ กรีซ ว่าจะดำเนินงานการกับปัญหางบขาดดุลและหนี้สินของประเทศได้อย่างไร รวมถึงมาตรการหรือแผนการช่วยเหลือของกลุ่มสหภาพยุโรปด้วยว่าจะมีความชัดเจนเพียงใด โดยหากมีความชัดเจนจะช่วยให้ค่าเงินยูโรมีการแข็งค่าขึ้น และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนตัวลง จนผลักดันราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้ แต่กลับกันหากไม่มีความชัดเจนออกมา นักลงทุนก็จะยังไม่มีความเขื่อมั่นในค่าเงินยูโร ซึ่งจะมีผลต่อค่าเงินดอลลาร์ให้แข็งค่า ราคาทองคำก็ยังจะอยู่ในแนวโน้มขาลงต่อไป

ทั้งนี้เมื่อประเมิน แนวโน้มทางเทคนิคภายใน 2 สัปดาห์จากนี้ ราคาทองคำมีแนวรับสำคัญที่ 1,089 เหรียญ/ออนซ์ โดยมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้ไม่เกิน 1,133 เหรียญ/ออนซ์

ส่วน เหตุการณ์การตัดสินคดียึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ประเมินว่า เรื่องดังกล่าวไม่น่าจะมีผลต่อราคาทองคำมากนัก แต่จะมีผลกับค่าเงินบาทมากกว่า เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติจะไม่มีความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพของประเทศ และผู้ที่ถือเงินบาทอยู่อาจเปลี่ยนไปถือเงินสกุลอื่นแทน โดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะทำงห้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง แม้จะมีให้ราคาทองคปรับตัวดีขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ในแง่ที่ดีต่อประเทศเท่าที่ควร

นายธิติ ธาราสุข ประธานเจ้าหน้าที่ บริษัท ชาร์ตมาสเตอร์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจัดอบรมสัมมนากลยุทธ์การลงทุนในตลาดล่วงหน้า ให้ความเห็นต่อราคาทองคำในช่วงนี้ว่า ทางเทคนิคแล้วราคาทองคำยังอยู่ในช่วงขาลงต่อเนื่อง จากตอนนี้ที่อยู่ประมาณ 1,108 เหรียญ/ออนซ์ อาจลดลงไปถึง 1,020 เหรียญ/ออนซ์ ประมาณในช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งนับว่าเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่เริ่มสนใจเข้ามาลงทุนในเครื่องมือทางการเงินดังกล่าว เพราะมีต้นทุนลในการลงทุนที่ต่ำลง ส่วนกรณี การขายทองคำที่เหลือ ไอเอ็มเอฟ ประเมินว่าจะมีด้านจิตวิทยาต่อนักลงทุนได้ในระยะกลาง – สั้นเท่านั้น

นักวิเคราะห์ บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวว่า ช่วงนี้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น โดยทะลุแนวต้านเดิมที่ระดับ 1,120 เหรียญ เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา(18ก.พ.) โดยมีปริมาณการซื้อขายตามค่อนข้างหนาแน่น แต่เมื่อมีข่าวร้ายเรื่องการเพิ่ม Discount Rate ทำให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง แต่ยังสามารถทรงตัวได้เหนือระดับ 1,100 เหรียญ

โดยในเชิงเทคนิคราคาทองคำเข้าสู่ภาวะกดดันต่อเนื่องอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีแนวรับสำคัญ ที่ระดับ 1,100 เหรียญ แนวต้านด้านบน 1,110 เหรียญ Oscillator ในระยะสั้นโดยทั่วไปปรับตัวลดลง เป็นสัญญาณขายในระยะสั้นรายชั่วโมง ในขณะที่ในระยะรายวัน Oscillator ยังเป็นลักษณะไม่ชัดเจนในทิศทาง เรียกว่าในเชิงเทคนิคราคาจะเข้าสู่ภาวะไร้ทิศทางอีกครั้งหนึ่ง จากภาวะของราคาทองคำ คงต้องดูผลตอบรับของตลาดทั้งวัน คาดว่าเชิงเทคนิคราคาจะเคลื่อนไหว ในทิศทาง sideway จากผลกระทบ ของ Discount Rate ที่ปรับตัวสูงขึ้น และจะเห็นได้ว่า ผลกระทบจากข่าว IMF ก็หมดไปเพียงใน 1 วันเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ถ้าไม่มีผลกระทบจากการ เพิ่ม Discount Rate ราคาทองคำดูค่อนข้างจะสดใส

ก่อนหน้านี้ ไอเอ็มเอฟกล่าวว่า การขายทองในครั้งนี้จะแบ่งเป็นขั้นตอนและจะใช้เวลาสักระยะหนึ่ง เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงภาวะผันผวนในตลาดทอง โดยไอเอ็มเอฟยังคงอนุญาตให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆเข้าซื้อทองคำโดยตรงได้จากไอเอ็มเอฟ เพราะภายใต้ข้อตกลงของไอเอ็มเอฟนั้น ทองคำทั้งหมดที่นำออกขายจะต้องอิงราคาพื้นฐานตลาด และดำเนินการอย่างสอดคล้องกับมติที่ประชุมสุดยอดกลุ่ม G20 ที่กรุงลอนดอนเมื่อเดือนเม.ย.ปี 2552 ซึ่งเป้าหมายของการนำทองคำออกขายก็เพื่อระดมทุนช่วยเหลือประเทศยากจน

สำหรับ ไอเอ็มเอฟเป็นผู้ถือครองทองคำรายใหญ่อันดับ 3 ของโลกรองจากสหรัฐและเยอรมนี โดยนายโดมินิก สเตราส์-คาห์น ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟกล่าวว่า ไอเอ็มเอฟนำทองคำสำรองออกขายเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการลดยอดขาดดุลงบประมาณ 400 ล้านดอลลาร์ในระยะเวลาอีก 4 ปีข้างหน้า

โดยเมื่อวันที่ 18 ก.ย.ปี 2552 คณะกรรมการบริหารของไอเอ็มเอฟอนุมัติให้นำทองคำ 403.3 เมตริคตันออกขาย โดยมีเป้าหมายที่จะระดมทุนเพื่อปล่อยเงินกู้ให้กับกลุ่มประเทศยากจน ซึ่งการนำทองคำออกขายในครั้งนี้คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 8 ของปริมาณทองคำสำรองของไอเอ็มเอฟ ซึ่งธนาคารกลางหลายแห่งของโลกเข้าซื้อทองคำจำนวนมากจากไอเอ็มเอฟในปีที่แล้ว โดยธนาคารกลางศรีลังกาเข้าซื้อทองคำน้ำหนัก 10 เมตริกตันจากไอเอ็มเอฟ คิดเป็นมูลค่า 375 ล้านดอลลาร์ ธนาคารกลางอินเดียเข้าซื้อ 200 เมตริกตัน มูลค่า 6.7 พันล้านดอลลาร์ และธนาคารกลางมอริเชียสซื้อทองคำน้ำหนัก 2 เมตริกตัน มูลค่าประมาณ 71.7 ล้านดอลลาร์
กำลังโหลดความคิดเห็น