ASTVผู้จัดการายวัน - บลจ.กรุงไทย วิเคราะห์ หุ้นไทย-หุ้นโลก ทะยานด้วย Fund Flow ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐานตลาด คาดกระแสเงิน เริ่มกลับเข้ามาลงทุนหุ้นอีกครั้ง หลังโยกไปในตราสารหนี้ ที่ล่าสุดให้ผลตอบเเทนน้อยลง บลจ.ไอเอ็นจี เตรียมเข็นเอฟไอเอฟ ลุยหุ้นจีน ไต้หวัน ฮ่องกง เชื่อเศรษฐกิจมังกรจะฟื้นเร็ว พร้อมเตรียมเสิร์ฟกองคอมมอดิตี หลังราคาน่าสนใจ
นายสุทยุต เชื้อพานิช ผู้จัดการ ฝ่ายลงทุน-ตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลกถูกผลักดันด้วยกระแสเงินทุนไหลเข้า ( Fund Flow) ไม่ใช่ด้วยปัจจัยพื้นฐานของตลาด ซึ่งในส่วนของเศรษฐกิจน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ในแง่ตลาดหุ้นเอง ยังไม่คิดว่าตลาดหุ้นจะขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมได้ภายใน 1 ปี อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของตลาดหุ้นยังเป็นแนวโน้มขาขึ้นอยู่ ในขณะที่เศรษฐกิจอาจจะเป็นลักษณะของ W-Shape เพราะภาคการผลิตและการบริโภค แม้จะผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ฟื้นตัวเร็วนัก
ทั้งนี้ ด้วยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยตลาดหุ้นน่าจะอยู่ที่ระดับ 550 จุด ที่ระดับราคาต่ำกำไรสุทธิ (P/E) 9 -10 เท่า แต่หากขยับขึ้นไปเทรดที่ระดับ P/E มากกว่า 10 เท่า ดัชนีก็มีโอกาสจะไปถึงระดับ 700 จุด ได้เช่นเดียวกัน
“ตลาดหุ้นไทยแม้จะปรับตัวขึ้นมามาก แต่เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคแล้ว ถือว่าไม่แพงที่ซื้อขายกันที่ระดับ P/E 15 เท่า ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยซื้อขายกันที่ระดับ P/E ประมาณ 11-12 เท่า โดยกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีที่บลจ.กรุงไทยมองด้วยพื้นฐานของตลาดยังอยู่ที่ระดับ 450-550 จุด เหมือนเดิม อย่างไรก็ตามในระยะสั้นหากดัชนีมีการปรับฐานลงมาที่ระดับ 500 จุด น่าจะรับอยู่”นายสุทยุตกล่าว
เขากล่าวว่า สำหรับปัจจัยการเมืองของประเทศไทยในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคก็ไม่แตกต่างกัน หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียก็มีปัญหาทางการเมืองเช่นเดียวกัน ในส่วนนี้ นักลงทุนต่างชาติเองคงเข้าใจและไม่ได้กังวลอะไรมาก ซึ่งการที่ตลาดปรับตัวขึ้นในระยะสั้นนี้ สะท้อนถึงการคาดหวังต่อผลกำไรบริษัทจดทะเบียนในระยะยาวที่จะออกมาเป็นหลัก ในส่วนของกองทุนหุ้นของบลจ.กรุงไทยเอง เมื่อราคาขยับขึ้นมาถึงระดับหนึ่งก็จะมีการขายทำกำไรสลับออกมาบ้าง หรือหุ้นตัวไหนที่เต็มมูลค่าแล้ว ก็อาจจะต้องเปลี่ยนตัวหุ้นเพื่อลงทุนเป็นการบริหารพอร์ตไปในตัว
อย่างไรก็ตาม มองในภาพรวมตลาดหุ้น ยังได้รับปัจจัยบวกจากการที่มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น จากผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้และเงินฝากที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้นักลงทุนต้องขยับมาหาผลตอบแทนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ตรงนี้จะช่วยให้ตลาดหุ้นประคองตัวต่อไปได้ เพราะมองว่าผลตอบแทนของตราสารหนี้ยังไม่จูงใจให้คนต้องขายหุ้นทิ้งเพื่อเข้าไปลงทุน
“ตลาดหุ้นจึงเป็นทางเลือกที่ยังน่าสนใจในปัจจุบัน โดยเฉพาะตลาดหุ้นเกิดใหม่ที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดหุ้นของประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ในเอเชียรวมทั้งประเทศไทยด้วย” นายสุทยุต กล่าว
***INGเตรียมส่งกองหุ้นลุยจีน***
ทางด้านนายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าว่า บริษัทมีแผนออกกองทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF) โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะเข้าไปลงทุนในหุ้นจีน ไต้หวันและฮ่องกง ซึ่งเป็นการลงทุนผ่านกองทุนหลักในกลุ่มไอเอ็นจีในต่างประเทศ พร้อมกับกองทุนที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างดูว่าจะเป็นสินค้าประเภทใด ซึ่งตอนนี้ต้องถือว่าการลงทุนในน้ำมันนั้นเป็นเทรนด์ที่ค่อนข้างมาเเรง จากวิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมาทำให้ความต้องการของน้ำมันนั้นมีน้อยลง เเต่กลุ่มผู้ผลิตนั้นผลิตเท่าเดิมหรือผลิตน้อยลง ในขณะที่ราคาน้ำมันในช่วงนี้เริ่มขยับตัวเพิ่มขึ้น คาดว่าจะมาจากความต้องการมีสูงขึ้นเเต่ผลิตได้น้อยลงหรือผลิตเท่าเดิม
“เรามองว่าเศรษฐกิจโลกในรอบนี้จะฟื้นตัวจากภูมิภาคเอเชีย ดังนั้นจึงเลือกที่จะลงทุนในจีน ซึ่งเป็นตัวหลัก ขณะที่ปัจจุบันเรามีกองทุนที่ลงทุนในจีนเพียงแห่งเดียวอยู่แล้ว”นายมาริษ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นมาในขณะนี้ ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะฟื้นจริงหรือไม่ แต่จากตัวเลขเศรษฐกิจหลายๆ ตัวออกมาดี และเห็นได้ว่าวอลล์มาร์ท เองมีแผนขยายสาขาเพิ่ม สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการในสินค้าบางประเภทยังมี จึงมองว่าการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินทั่วโลกนั้นผ่านจุดต่ำสุดแล้วมาแล้วและสหรัฐเองสามารถพิมพ์เงินได้โดยไม่ต้องมีทองคำสำรอง
สำหรับการลงทุนในหุ้นกู้ในประเทศนั้น ปัจจุบันบริษัทไม่ได้ออกกองทุนเพื่อไปลงทุนในหุ้นกู้ เนื่องจากนักลงทุนบางคนไม่อยากรับความเสี่ยงมาก ขณะที่กองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้กลับยังมีความต้องการอยู่ เพราะผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเเละความเสี่ยงก็ไม่ได้สูงมากด้วย
นายสุทยุต เชื้อพานิช ผู้จัดการ ฝ่ายลงทุน-ตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลกถูกผลักดันด้วยกระแสเงินทุนไหลเข้า ( Fund Flow) ไม่ใช่ด้วยปัจจัยพื้นฐานของตลาด ซึ่งในส่วนของเศรษฐกิจน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ในแง่ตลาดหุ้นเอง ยังไม่คิดว่าตลาดหุ้นจะขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมได้ภายใน 1 ปี อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของตลาดหุ้นยังเป็นแนวโน้มขาขึ้นอยู่ ในขณะที่เศรษฐกิจอาจจะเป็นลักษณะของ W-Shape เพราะภาคการผลิตและการบริโภค แม้จะผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ฟื้นตัวเร็วนัก
ทั้งนี้ ด้วยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยตลาดหุ้นน่าจะอยู่ที่ระดับ 550 จุด ที่ระดับราคาต่ำกำไรสุทธิ (P/E) 9 -10 เท่า แต่หากขยับขึ้นไปเทรดที่ระดับ P/E มากกว่า 10 เท่า ดัชนีก็มีโอกาสจะไปถึงระดับ 700 จุด ได้เช่นเดียวกัน
“ตลาดหุ้นไทยแม้จะปรับตัวขึ้นมามาก แต่เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคแล้ว ถือว่าไม่แพงที่ซื้อขายกันที่ระดับ P/E 15 เท่า ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยซื้อขายกันที่ระดับ P/E ประมาณ 11-12 เท่า โดยกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีที่บลจ.กรุงไทยมองด้วยพื้นฐานของตลาดยังอยู่ที่ระดับ 450-550 จุด เหมือนเดิม อย่างไรก็ตามในระยะสั้นหากดัชนีมีการปรับฐานลงมาที่ระดับ 500 จุด น่าจะรับอยู่”นายสุทยุตกล่าว
เขากล่าวว่า สำหรับปัจจัยการเมืองของประเทศไทยในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคก็ไม่แตกต่างกัน หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียก็มีปัญหาทางการเมืองเช่นเดียวกัน ในส่วนนี้ นักลงทุนต่างชาติเองคงเข้าใจและไม่ได้กังวลอะไรมาก ซึ่งการที่ตลาดปรับตัวขึ้นในระยะสั้นนี้ สะท้อนถึงการคาดหวังต่อผลกำไรบริษัทจดทะเบียนในระยะยาวที่จะออกมาเป็นหลัก ในส่วนของกองทุนหุ้นของบลจ.กรุงไทยเอง เมื่อราคาขยับขึ้นมาถึงระดับหนึ่งก็จะมีการขายทำกำไรสลับออกมาบ้าง หรือหุ้นตัวไหนที่เต็มมูลค่าแล้ว ก็อาจจะต้องเปลี่ยนตัวหุ้นเพื่อลงทุนเป็นการบริหารพอร์ตไปในตัว
อย่างไรก็ตาม มองในภาพรวมตลาดหุ้น ยังได้รับปัจจัยบวกจากการที่มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น จากผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้และเงินฝากที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้นักลงทุนต้องขยับมาหาผลตอบแทนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ตรงนี้จะช่วยให้ตลาดหุ้นประคองตัวต่อไปได้ เพราะมองว่าผลตอบแทนของตราสารหนี้ยังไม่จูงใจให้คนต้องขายหุ้นทิ้งเพื่อเข้าไปลงทุน
“ตลาดหุ้นจึงเป็นทางเลือกที่ยังน่าสนใจในปัจจุบัน โดยเฉพาะตลาดหุ้นเกิดใหม่ที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดหุ้นของประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ในเอเชียรวมทั้งประเทศไทยด้วย” นายสุทยุต กล่าว
***INGเตรียมส่งกองหุ้นลุยจีน***
ทางด้านนายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าว่า บริษัทมีแผนออกกองทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF) โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะเข้าไปลงทุนในหุ้นจีน ไต้หวันและฮ่องกง ซึ่งเป็นการลงทุนผ่านกองทุนหลักในกลุ่มไอเอ็นจีในต่างประเทศ พร้อมกับกองทุนที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างดูว่าจะเป็นสินค้าประเภทใด ซึ่งตอนนี้ต้องถือว่าการลงทุนในน้ำมันนั้นเป็นเทรนด์ที่ค่อนข้างมาเเรง จากวิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมาทำให้ความต้องการของน้ำมันนั้นมีน้อยลง เเต่กลุ่มผู้ผลิตนั้นผลิตเท่าเดิมหรือผลิตน้อยลง ในขณะที่ราคาน้ำมันในช่วงนี้เริ่มขยับตัวเพิ่มขึ้น คาดว่าจะมาจากความต้องการมีสูงขึ้นเเต่ผลิตได้น้อยลงหรือผลิตเท่าเดิม
“เรามองว่าเศรษฐกิจโลกในรอบนี้จะฟื้นตัวจากภูมิภาคเอเชีย ดังนั้นจึงเลือกที่จะลงทุนในจีน ซึ่งเป็นตัวหลัก ขณะที่ปัจจุบันเรามีกองทุนที่ลงทุนในจีนเพียงแห่งเดียวอยู่แล้ว”นายมาริษ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นมาในขณะนี้ ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะฟื้นจริงหรือไม่ แต่จากตัวเลขเศรษฐกิจหลายๆ ตัวออกมาดี และเห็นได้ว่าวอลล์มาร์ท เองมีแผนขยายสาขาเพิ่ม สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการในสินค้าบางประเภทยังมี จึงมองว่าการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินทั่วโลกนั้นผ่านจุดต่ำสุดแล้วมาแล้วและสหรัฐเองสามารถพิมพ์เงินได้โดยไม่ต้องมีทองคำสำรอง
สำหรับการลงทุนในหุ้นกู้ในประเทศนั้น ปัจจุบันบริษัทไม่ได้ออกกองทุนเพื่อไปลงทุนในหุ้นกู้ เนื่องจากนักลงทุนบางคนไม่อยากรับความเสี่ยงมาก ขณะที่กองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้กลับยังมีความต้องการอยู่ เพราะผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเเละความเสี่ยงก็ไม่ได้สูงมากด้วย