โดย...พล.อ.สายหยุด เกิดผล
ถ้ามีคนถามผมว่า “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย – พคท.” ยังมีอยู่หรือไม่ ในฐานะที่ผมเป็นกำลังสำคัญในการดำเนินการและการจัดตั้ง กอ.ปค. (กองอำนวยการป้องกันปราบปรามคอมมิวนิสต์ ต่อมาเปลี่ยนเป็นกองอำนวยรักษาความมั่นคงภายใน กอ.รมน.) ขึ้นปี 2508 พิจารณาตามสภาพความเป็นจริงในขณะนี้ ที่เรียกว่า พฤตินัย ผมก็คงจะต้องตอบว่า “ไม่มี” เพราะกฎหมายป้องกันปราบปรามคอมมิวนิสต์ก็ได้ยกเลิกไปแล้ว และก็ไม่มีพรรคการเมืองใดที่อยู่บนดินที่ตั้งชื่อว่า “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” อยู่ที่ไหน เป็นแต่มีพรรคการเมืองใหม่ๆ ได้เกิดขึ้น ล้วนแต่เป็นพรรคที่มีแต่ความรักคนไทย รักเมืองไทย เพื่อเมืองไทย ภูมิใจในความเป็นไทย รวมใจคนไทย รักแผ่นดินไทย และอื่นๆ นโยบายก็ดูจะเหมือนๆ กัน ที่เรียกว่า “ปอปปูลิส หรือเอาใจประชาชน” ไม่รู้ว่าเป็นพรรคขวาจัดขวาง หรือซ้าย ซ้ายจัดกันแน่ ที่ว่าเอาใจประชาชนแต่อย่างเดียวนั้น จะเอาเงินมาจากไหน มีนโยบายทางเศรษฐกิจ และการเงินอย่างไร ถ้าดูจากชื่อพรรคแล้วดูไม่ออก
แต่ถ้ามีคนแย้งว่า ตอนที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ยอมรับข้อเสนอของทางฝ่ายรัฐบาล กอ.รมน. สมัยนั้นว่า เขายอมรับที่จะมาเข้า “ร่วมพัฒนาชาติไทย” โดยทางราชการจะไม่เอาผิด และยังจะจัดหาที่ทำกิน และช่วยเหลือเครื่องมือทำกินให้ด้วย โดยเขาเองยังยืนยันว่า เขาไม่ได้ “แพ้” และก็จะยังไม่ยุบเลิกพรรค ดังนั้นถ้าว่าโดยทางทฤษฎีแล้ว เมื่อยังไม่มีข่าวการประกาศอย่างเป็นทางการจากหน่วยข่าวกรองของชาติว่า พคท.ได้มีการประชุมสมัชชา และได้ลงมัติให้ยุบเลิกพรรคแต่อย่างใด ก็ต้องถือว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยนั้นยังคงมีอยู่!
ผมก็เคยฝันร้ายต่อไปว่า เมื่อ พคท.ยังคงมีอยู่แล้ว เขาอยู่ในลักษณะใด?
เขาคงอยู่ในลักษณะ “ใต้ดิน” หรือ “แปลงกาย” เพราะแม้ว่า พ.ร.บ.ป้องกันปราบปรามคอมมิวนิสต์จะถูกยกเลิกไปแล้วก็ตาม แต่ความนิยมในเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นได้เสื่อมสลายลงแล้วอย่างสิ้นเชิง พรรคคอมมิวนิสต์เดิมของประเทศต่างๆ ที่เข้ามามีอำนาจด้วยการเลือกตั้ง ด้วยวิธีการต่างๆ จะบริสุทธิ์ ยุติธรรม (Free & Fare) หรือไม่ ไม่สำคัญ ขอแต่ให้ชนะการเลือกตั้งก็แล้วกัน เพราะวิธีการตามความเชื่อของลัทธิคอมมิวนิสต์นั้น เขาเชื่อว่า “The end justified the means”
พรรคที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์เดิม ที่ลงเลือกตั้งและชนะนั้นก็จะไม่ใช้ชื่อว่า พรรคคอมมิวนิสต์อีกต่อไป แต่จะเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคเพื่อประชาชนเป็นส่วนใหญ่ แต่การจัดและการบริหารในพรรค หรือของรัฐบาลก็จะยังคงรูปเดิม คือเป็น “ประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์” หมายถึงว่าอำนาจที่แท้จริงนั้นยังอยู่ในคณะกรรมการกลางของพรรค เป็นแต่รูปแบบเท่านั้นที่ดูว่า เป็นประชาธิปไตย แต่เนื้อหาที่แท้จริงนั้นก็ยังเป็นพรรคคอมมิวนิสต์อยู่อย่างเดิม
แล้ว พคท.ละ ถ้าเขายังไม่ยุบเลิก แล้วเขาจะเข้ามามีอำนาจรัฐได้อย่างไร?
อย่าลืมว่า ผู้ที่เคยเป็นสมาชิก พคท.ชั้นนำมาแล้ว เขาย่อมได้รับการปลูกฝัง (ถ้าไม่ใช้คำว่า ล้างสมอง) แนบแน่นให้มีความเชื่อในหลักการของลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างแท้จริงมาแล้วประการหนึ่ง กับอีกประการหนึ่งก็คือ วิธีการ ตามความเชื่อของคอมมิวนิสต์ที่ว่า “The end Justified the means” หมายความว่า ความสำเร็จของเป้าหมายนั้น คือ การยึดอำนาจรัฐ ถ้ายึดอำนาจรัฐได้แล้ว วิธีการที่ได้มาจะโหดเหี้ยม หักหลัง ทารุณ ไร้มนุษยธรรมอย่างไร ไม่ยุติธรรมอย่างไรก็ไม่เป็นไร ขอแต่ให้ยึดอำนาจได้ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดก็แล้วกัน เรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องที่คอมมิวนิสต์เขามีวิธีจัดการของเขา ตามที่มีปรากฏอยู่ในเอกสารต่างๆ ที่สำคัญก็คือ เขามีวิธีการตามที่เราเรียกว่า “ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ” ให้เห็นว่าเขาได้อำนาจมาด้วยความเป็นธรรม สิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อที่ผมคิดว่ายากที่จะลบเลื่อนไปได้ เมื่อถูกฝังแน่นอยู่ในความคิดแล้ว โปรดอย่าลืมเรื่องนี้เป็นอันขาด
วิธีการที่ผมฝันร้ายไปก็คือ เขาให้สมาชิกของพรรคกระจายไปเข้าร่วมกับพรรคการเมืองต่างๆ ที่มีอยู่ ส่วน พคท.ก็ยังคงอยู่ใต้ดินไม่เคลื่อนไหวใดๆ สมาชิกที่ไปร่วมอยู่กับพรรคการเมืองต่างๆ นั้น ก็จะไปทำให้พรรคการเมืองนั้นๆ แตกแยก อ่อนแอลง เช่นตอนแรกๆ ก็ดูจะมีสมาชิกเก่าของ พคท.ไปสมัครเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองเก่าแก่ของไทยพรรคหนึ่ง ต่อมาก็ดูจะมีพฤติการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นในพรรคนั้น แต่พรรคนั้นมีการบริหารพรรคแบบประชาธิปไตยอย่างมั่นคง จึงทำให้ไม่ถึงกับทำให้พรรคนั้นแตกแยกไปได้ ต่อมาก็มีพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นจากอำนาจของทหารเก่า ก็ปรากฏว่ามีสมาชิกเก่า พคท. ไปสมัครเป็นสมาชิกจำนวนมาก ต่อมาพรรคนั้นก็มีความคิดประหลาด เช่น เรียกร้องให้มี “รัฐบาลแห่งชาติ” เรียกร้องให้มี “สภาประชาชน” นอกจากรัฐสภาที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มีการเรียกร้องให้ปฏิบัติตามนโยบายใหม่ของพรรค นับว่าลอกมาจากเอกสารสมุดปกขาว ที่เคยมีผู้เขียนเปิดเผยในหนังสือพิมพ์ ซึ่งแนวทางในเอกสารนี้ทั้งทางเศรษฐกิจ การต่างประเทศ การเมือง การทหาร ดูคล้ายกับเอกสาร พคท. จึงมีเสียงเอะอะกันขึ้นจากประชาชนที่รู้เรื่องนี้ และประชาชนทั่วไปอยู่ระยะหนึ่ง แล้วต่อมาพรรคนั้นก็สลายลง
ต่อมาก็มีนักธุรกิจที่มีเงินเหลือเฟือในยุคเศรษฐกิจรุ่งเรือง ได้เข้ามาเล่นการเมืองโดยตรง ไม่แอบหลังหรือผ่านร่างทรงอย่างแต่ก่อน อำนาจเงินทำให้พรรคนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว สมาชิกเก่าของ พคท.ก็หันเข้ามาร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก และก็สามารถเอาชนะในการเลือกตั้งได้ เรื่องนี้ผมเคยให้ข้อคิดจากการไปสังเกตการณ์การเลือกตั้งที่ประเทศเพื่อนบ้าน ที่เคยปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์มาแล้ว เมื่อเปลี่ยนชื่อจากพรรคคอมมิวนิสต์มาเป็นพรรคของประชาชน ก็สามารถเอาชนะในการเลือกตั้งได้ เพราะพรรคคอมมิวนิสต์นั้นเป็นพรรคจัดตั้งมวลชนพื้นฐานตามหมู่บ้านตามองค์การจัดแบบคอมมิวนิสต์ การจัดตั้งนี้ยังคงอยู่ เป็นแต่มีการเปลี่ยนแปลงชื่อข้างบนเท่านั้น การบริหารก็ยังมีการบริหารพรรคทางด้านการเมืองควบคู่ขนานไปกับสายงานของอำนาจรัฐด้วย และสงสัยว่าอำนาจทางสายการเมืองจะมีอำนาจควบคุมสายงานของอำนาจรัฐด้วย
ดังนั้น การบริหารพรรคและการบริหารประเทศไทยในยุคนั้น จึงดูจะแปลกๆ ไปกว่าแต่ก่อน เป็นการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ผู้นำแต่ผู้เดียว ผิดแปลกจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งจะต้องฟังเสียงคนส่วนใหญ่ และต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ในการตัดสินใจปัญหาสำคัญใดๆ ของบ้านเมือง อย่างน้อยก็ด้วยตัวแทนของประชาชนในรัฐสภา ไม่ใช่ประชาชนมีส่วนร่วมในฐานะผู้ตาม หรือในฐานะลูกจ้างแต่อย่างเดียว
เรื่องนี้ก็ปรากฏว่ามีผู้ที่รู้ความจริงได้ถอนตัวออกไปจำนวนหนึ่ง ที่เหลืออยู่ในวงในก็ดูจะเป็นคนที่เคยเกี่ยวข้องกับ พคท. มาก่อนเป็นส่วนใหญ่ การเคลื่อนไหวของพรรคก็เป็นไปในลักษณะการสร้างมวลชนและการเคลื่อนไหวมวลชนเป็นหลัก โดยไม่ให้ความสำคัญกับพรรคฝ่ายค้าน และผู้แทนราษฎรที่ทำหน้าที่ในรัฐสภา ในฐานะเป็นตัวแทนของประชาชนในการตรวจสอบถ่วงดุล และถอดถอนผู้มีอำนาจทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ จนทำให้มวลชนภายในประเทศแตกแยกกันเป็นสีต่างๆ การตัดสินใจของรัฐบาลก็มักจะอ้างว่ามีมวลชนสนับสนุนจำนวนมาก การใช้กลไกในรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ คงอ้างเสียงสนับสนุนประชาชนจากการเลือกตั้งแต่อย่างเดียว โดยไม่คำนึงว่าเสียงนั้นได้มาอย่างไร (The end Justified the means) ทำให้เป็นที่สงสัยว่าใครเอาอย่างใครกันแน่
ในฝันของผมนั้น ฝันเห็นว่าสมาชิกของ พคท.เก่า ซึ่งกระจายกันอยู่ในพรรคต่างๆ นั้น พรรคที่แท้จริงของเขายังเป็น พคท.ที่กบดานใต้ดินอยู่ แต่ขาอาจจะแปลงตัวมาเป็นพรรคบนดินชื่อใดก็ได้ เมื่อได้อำนาจรัฐแล้ว ต่อไปเขาก็ยังคงจะดำเนินตามความคิดเดิม แต่ก็อาจจะดัดแปลงให้เข้ากับสถานการณ์เท่าที่สังคมจะยอมรับได้ นโยบายหลักของเขาก็คือ การล้มล้างสถาบันและขนบธรรมเนียมเก่าๆ ด้วยวิธีการเก็บภาษี หรือตัวการออกกฎหมายค่อยๆ บังคับนายทุนผู้ที่ไม่ร่วม มือกับเขา ก็อาจจะถูกบังคับ กีดกันด้วยวิธีการใดวิธีหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้นสังคมและคนทั่วไปอาจจะรู้สึก และอาจลุกขึ้นมาต่อต้าน ก็จะทำให้บ้านเมืองเกิดความปั่นป่วนขึ้นอีกครั้ง และจะยืดเยื้อบานปลายไปแค่ไหนก็ไม่มีใครคาดได้ เมื่อสถาบันต่างๆ ได้ถูกทำให้อ่อนแอลงแล้วใครจะเป็นหลัก
ผมก็เลยฝันเองทั้งๆ ที่ยังตื่นอยู่ต่อไปด้วยการมองประเทศไทยในแง่ดีว่า ประเทศไทยนั้นมีหลักเมือง และพระสยามเทวาธิราชคุ้มครองอยู่ ท่านที่มีเงินและถูกมวลชนจัดตั้งสีต่างๆ หลอกใช้เงินอยู่ในขณะนี้ คงจะรู้สึกตัวสักวันหนึ่ง ว่าเขาเคลื่อนไหวสนับสนุนท่าน หรือเขาอาศัยเงินของท่านมาเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์และจุดหมายของเขาเอง โดยท่านไม่สามารถควบคุมได้ แต่ทุกอย่างที่เขาทำที่เป็นผลร้ายต่อบ้านเมือง สังคมก็จะโทษท่านในฐานะที่ท่านอ้างตัวเองว่าเป็นผู้นำที่แท้จริง และก็เป็นเงินที่มาจากท่าน ผมจึงคิดว่าท่านจะรู้สึกตัวสักวันหนึ่ง เมื่อเรื่องนี้เปิดเผยมากขึ้น แล้วเหตุการณ์ชุมนุมเรียกร้องที่ไม่มีเหตุผลนี้จะยุติลง
เมื่อถึงเวลานั้นแล้วผมก็อยากขอร้อง ไม่ใช่ฝันขอให้ทุกคน ทุกพรรคการเมืองได้สำรวจตัวเอง และมาพิจารณาอย่างจริงจังถึงนโยบายของพรรค ที่จะนำไป “ขาย” แก่ประชาชนในการเลือกตั้งข้างหน้า ไม่ใช่คิดแต่จะ “ซื้อ” เสียง ซึ่งมีเวลาอีกไม่ถึง 2 ปี จะไม่ดีกว่าหรือ? การเมืองไทยจะได้เข้าร่องเข้ารอยอย่างประเทศประชาธิปไตยก้าวหน้าอื่นๆ
ขอให้ช่วยยกระดับการเมืองไทย ให้เป็นการเมืองที่นักการเมืองมีจริยธรรมสูงขึ้น สปิริตสูงขึ้น รู้แพ้ รู้ชนะ รู้ให้อภัย รู้จักการแสดงความเสียใจกับผู้แพ้ รู้จักการแสดงความยินดีแก่ผู้ชนะ เมื่อสิ้นสุดการเลือกตั้งแล้ว ก็ปล่อยให้ผู้ชนะเขาบริหารบ้านเมือง ผู้แพ้ก็ยุติการเคลื่อนไหว ให้ความร่วมมือในทางที่ถูก คัดค้านในเรื่องที่ผิด ใช้รัฐสภาและใช้องค์กรเอกชนที่ทำการเมืองภาคพลเมืองให้เป็นประโยชน์ ค่อยๆ เก็บคะแนนไปเรื่อยๆ เพื่อการเลือกตั้งอีก 4 ปีข้างหน้า ถ้ารัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้งทำอะไรผิดพลาดคอยชี้ให้ประชาชนเห็น ว่าที่ถูกควรจะเป็นอย่างไร การเลือกตั้งคราวต่อไป ท่านย่อมมีหวังที่จะชนะแน่ เมื่อถึงเวลานั้น
ถ้ามีคนถามผมว่า “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย – พคท.” ยังมีอยู่หรือไม่ ในฐานะที่ผมเป็นกำลังสำคัญในการดำเนินการและการจัดตั้ง กอ.ปค. (กองอำนวยการป้องกันปราบปรามคอมมิวนิสต์ ต่อมาเปลี่ยนเป็นกองอำนวยรักษาความมั่นคงภายใน กอ.รมน.) ขึ้นปี 2508 พิจารณาตามสภาพความเป็นจริงในขณะนี้ ที่เรียกว่า พฤตินัย ผมก็คงจะต้องตอบว่า “ไม่มี” เพราะกฎหมายป้องกันปราบปรามคอมมิวนิสต์ก็ได้ยกเลิกไปแล้ว และก็ไม่มีพรรคการเมืองใดที่อยู่บนดินที่ตั้งชื่อว่า “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” อยู่ที่ไหน เป็นแต่มีพรรคการเมืองใหม่ๆ ได้เกิดขึ้น ล้วนแต่เป็นพรรคที่มีแต่ความรักคนไทย รักเมืองไทย เพื่อเมืองไทย ภูมิใจในความเป็นไทย รวมใจคนไทย รักแผ่นดินไทย และอื่นๆ นโยบายก็ดูจะเหมือนๆ กัน ที่เรียกว่า “ปอปปูลิส หรือเอาใจประชาชน” ไม่รู้ว่าเป็นพรรคขวาจัดขวาง หรือซ้าย ซ้ายจัดกันแน่ ที่ว่าเอาใจประชาชนแต่อย่างเดียวนั้น จะเอาเงินมาจากไหน มีนโยบายทางเศรษฐกิจ และการเงินอย่างไร ถ้าดูจากชื่อพรรคแล้วดูไม่ออก
แต่ถ้ามีคนแย้งว่า ตอนที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ยอมรับข้อเสนอของทางฝ่ายรัฐบาล กอ.รมน. สมัยนั้นว่า เขายอมรับที่จะมาเข้า “ร่วมพัฒนาชาติไทย” โดยทางราชการจะไม่เอาผิด และยังจะจัดหาที่ทำกิน และช่วยเหลือเครื่องมือทำกินให้ด้วย โดยเขาเองยังยืนยันว่า เขาไม่ได้ “แพ้” และก็จะยังไม่ยุบเลิกพรรค ดังนั้นถ้าว่าโดยทางทฤษฎีแล้ว เมื่อยังไม่มีข่าวการประกาศอย่างเป็นทางการจากหน่วยข่าวกรองของชาติว่า พคท.ได้มีการประชุมสมัชชา และได้ลงมัติให้ยุบเลิกพรรคแต่อย่างใด ก็ต้องถือว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยนั้นยังคงมีอยู่!
ผมก็เคยฝันร้ายต่อไปว่า เมื่อ พคท.ยังคงมีอยู่แล้ว เขาอยู่ในลักษณะใด?
เขาคงอยู่ในลักษณะ “ใต้ดิน” หรือ “แปลงกาย” เพราะแม้ว่า พ.ร.บ.ป้องกันปราบปรามคอมมิวนิสต์จะถูกยกเลิกไปแล้วก็ตาม แต่ความนิยมในเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นได้เสื่อมสลายลงแล้วอย่างสิ้นเชิง พรรคคอมมิวนิสต์เดิมของประเทศต่างๆ ที่เข้ามามีอำนาจด้วยการเลือกตั้ง ด้วยวิธีการต่างๆ จะบริสุทธิ์ ยุติธรรม (Free & Fare) หรือไม่ ไม่สำคัญ ขอแต่ให้ชนะการเลือกตั้งก็แล้วกัน เพราะวิธีการตามความเชื่อของลัทธิคอมมิวนิสต์นั้น เขาเชื่อว่า “The end justified the means”
พรรคที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์เดิม ที่ลงเลือกตั้งและชนะนั้นก็จะไม่ใช้ชื่อว่า พรรคคอมมิวนิสต์อีกต่อไป แต่จะเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคเพื่อประชาชนเป็นส่วนใหญ่ แต่การจัดและการบริหารในพรรค หรือของรัฐบาลก็จะยังคงรูปเดิม คือเป็น “ประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์” หมายถึงว่าอำนาจที่แท้จริงนั้นยังอยู่ในคณะกรรมการกลางของพรรค เป็นแต่รูปแบบเท่านั้นที่ดูว่า เป็นประชาธิปไตย แต่เนื้อหาที่แท้จริงนั้นก็ยังเป็นพรรคคอมมิวนิสต์อยู่อย่างเดิม
แล้ว พคท.ละ ถ้าเขายังไม่ยุบเลิก แล้วเขาจะเข้ามามีอำนาจรัฐได้อย่างไร?
อย่าลืมว่า ผู้ที่เคยเป็นสมาชิก พคท.ชั้นนำมาแล้ว เขาย่อมได้รับการปลูกฝัง (ถ้าไม่ใช้คำว่า ล้างสมอง) แนบแน่นให้มีความเชื่อในหลักการของลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างแท้จริงมาแล้วประการหนึ่ง กับอีกประการหนึ่งก็คือ วิธีการ ตามความเชื่อของคอมมิวนิสต์ที่ว่า “The end Justified the means” หมายความว่า ความสำเร็จของเป้าหมายนั้น คือ การยึดอำนาจรัฐ ถ้ายึดอำนาจรัฐได้แล้ว วิธีการที่ได้มาจะโหดเหี้ยม หักหลัง ทารุณ ไร้มนุษยธรรมอย่างไร ไม่ยุติธรรมอย่างไรก็ไม่เป็นไร ขอแต่ให้ยึดอำนาจได้ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดก็แล้วกัน เรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องที่คอมมิวนิสต์เขามีวิธีจัดการของเขา ตามที่มีปรากฏอยู่ในเอกสารต่างๆ ที่สำคัญก็คือ เขามีวิธีการตามที่เราเรียกว่า “ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ” ให้เห็นว่าเขาได้อำนาจมาด้วยความเป็นธรรม สิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อที่ผมคิดว่ายากที่จะลบเลื่อนไปได้ เมื่อถูกฝังแน่นอยู่ในความคิดแล้ว โปรดอย่าลืมเรื่องนี้เป็นอันขาด
วิธีการที่ผมฝันร้ายไปก็คือ เขาให้สมาชิกของพรรคกระจายไปเข้าร่วมกับพรรคการเมืองต่างๆ ที่มีอยู่ ส่วน พคท.ก็ยังคงอยู่ใต้ดินไม่เคลื่อนไหวใดๆ สมาชิกที่ไปร่วมอยู่กับพรรคการเมืองต่างๆ นั้น ก็จะไปทำให้พรรคการเมืองนั้นๆ แตกแยก อ่อนแอลง เช่นตอนแรกๆ ก็ดูจะมีสมาชิกเก่าของ พคท.ไปสมัครเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองเก่าแก่ของไทยพรรคหนึ่ง ต่อมาก็ดูจะมีพฤติการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นในพรรคนั้น แต่พรรคนั้นมีการบริหารพรรคแบบประชาธิปไตยอย่างมั่นคง จึงทำให้ไม่ถึงกับทำให้พรรคนั้นแตกแยกไปได้ ต่อมาก็มีพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นจากอำนาจของทหารเก่า ก็ปรากฏว่ามีสมาชิกเก่า พคท. ไปสมัครเป็นสมาชิกจำนวนมาก ต่อมาพรรคนั้นก็มีความคิดประหลาด เช่น เรียกร้องให้มี “รัฐบาลแห่งชาติ” เรียกร้องให้มี “สภาประชาชน” นอกจากรัฐสภาที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มีการเรียกร้องให้ปฏิบัติตามนโยบายใหม่ของพรรค นับว่าลอกมาจากเอกสารสมุดปกขาว ที่เคยมีผู้เขียนเปิดเผยในหนังสือพิมพ์ ซึ่งแนวทางในเอกสารนี้ทั้งทางเศรษฐกิจ การต่างประเทศ การเมือง การทหาร ดูคล้ายกับเอกสาร พคท. จึงมีเสียงเอะอะกันขึ้นจากประชาชนที่รู้เรื่องนี้ และประชาชนทั่วไปอยู่ระยะหนึ่ง แล้วต่อมาพรรคนั้นก็สลายลง
ต่อมาก็มีนักธุรกิจที่มีเงินเหลือเฟือในยุคเศรษฐกิจรุ่งเรือง ได้เข้ามาเล่นการเมืองโดยตรง ไม่แอบหลังหรือผ่านร่างทรงอย่างแต่ก่อน อำนาจเงินทำให้พรรคนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว สมาชิกเก่าของ พคท.ก็หันเข้ามาร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก และก็สามารถเอาชนะในการเลือกตั้งได้ เรื่องนี้ผมเคยให้ข้อคิดจากการไปสังเกตการณ์การเลือกตั้งที่ประเทศเพื่อนบ้าน ที่เคยปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์มาแล้ว เมื่อเปลี่ยนชื่อจากพรรคคอมมิวนิสต์มาเป็นพรรคของประชาชน ก็สามารถเอาชนะในการเลือกตั้งได้ เพราะพรรคคอมมิวนิสต์นั้นเป็นพรรคจัดตั้งมวลชนพื้นฐานตามหมู่บ้านตามองค์การจัดแบบคอมมิวนิสต์ การจัดตั้งนี้ยังคงอยู่ เป็นแต่มีการเปลี่ยนแปลงชื่อข้างบนเท่านั้น การบริหารก็ยังมีการบริหารพรรคทางด้านการเมืองควบคู่ขนานไปกับสายงานของอำนาจรัฐด้วย และสงสัยว่าอำนาจทางสายการเมืองจะมีอำนาจควบคุมสายงานของอำนาจรัฐด้วย
ดังนั้น การบริหารพรรคและการบริหารประเทศไทยในยุคนั้น จึงดูจะแปลกๆ ไปกว่าแต่ก่อน เป็นการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ผู้นำแต่ผู้เดียว ผิดแปลกจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งจะต้องฟังเสียงคนส่วนใหญ่ และต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ในการตัดสินใจปัญหาสำคัญใดๆ ของบ้านเมือง อย่างน้อยก็ด้วยตัวแทนของประชาชนในรัฐสภา ไม่ใช่ประชาชนมีส่วนร่วมในฐานะผู้ตาม หรือในฐานะลูกจ้างแต่อย่างเดียว
เรื่องนี้ก็ปรากฏว่ามีผู้ที่รู้ความจริงได้ถอนตัวออกไปจำนวนหนึ่ง ที่เหลืออยู่ในวงในก็ดูจะเป็นคนที่เคยเกี่ยวข้องกับ พคท. มาก่อนเป็นส่วนใหญ่ การเคลื่อนไหวของพรรคก็เป็นไปในลักษณะการสร้างมวลชนและการเคลื่อนไหวมวลชนเป็นหลัก โดยไม่ให้ความสำคัญกับพรรคฝ่ายค้าน และผู้แทนราษฎรที่ทำหน้าที่ในรัฐสภา ในฐานะเป็นตัวแทนของประชาชนในการตรวจสอบถ่วงดุล และถอดถอนผู้มีอำนาจทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ จนทำให้มวลชนภายในประเทศแตกแยกกันเป็นสีต่างๆ การตัดสินใจของรัฐบาลก็มักจะอ้างว่ามีมวลชนสนับสนุนจำนวนมาก การใช้กลไกในรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ คงอ้างเสียงสนับสนุนประชาชนจากการเลือกตั้งแต่อย่างเดียว โดยไม่คำนึงว่าเสียงนั้นได้มาอย่างไร (The end Justified the means) ทำให้เป็นที่สงสัยว่าใครเอาอย่างใครกันแน่
ในฝันของผมนั้น ฝันเห็นว่าสมาชิกของ พคท.เก่า ซึ่งกระจายกันอยู่ในพรรคต่างๆ นั้น พรรคที่แท้จริงของเขายังเป็น พคท.ที่กบดานใต้ดินอยู่ แต่ขาอาจจะแปลงตัวมาเป็นพรรคบนดินชื่อใดก็ได้ เมื่อได้อำนาจรัฐแล้ว ต่อไปเขาก็ยังคงจะดำเนินตามความคิดเดิม แต่ก็อาจจะดัดแปลงให้เข้ากับสถานการณ์เท่าที่สังคมจะยอมรับได้ นโยบายหลักของเขาก็คือ การล้มล้างสถาบันและขนบธรรมเนียมเก่าๆ ด้วยวิธีการเก็บภาษี หรือตัวการออกกฎหมายค่อยๆ บังคับนายทุนผู้ที่ไม่ร่วม มือกับเขา ก็อาจจะถูกบังคับ กีดกันด้วยวิธีการใดวิธีหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้นสังคมและคนทั่วไปอาจจะรู้สึก และอาจลุกขึ้นมาต่อต้าน ก็จะทำให้บ้านเมืองเกิดความปั่นป่วนขึ้นอีกครั้ง และจะยืดเยื้อบานปลายไปแค่ไหนก็ไม่มีใครคาดได้ เมื่อสถาบันต่างๆ ได้ถูกทำให้อ่อนแอลงแล้วใครจะเป็นหลัก
ผมก็เลยฝันเองทั้งๆ ที่ยังตื่นอยู่ต่อไปด้วยการมองประเทศไทยในแง่ดีว่า ประเทศไทยนั้นมีหลักเมือง และพระสยามเทวาธิราชคุ้มครองอยู่ ท่านที่มีเงินและถูกมวลชนจัดตั้งสีต่างๆ หลอกใช้เงินอยู่ในขณะนี้ คงจะรู้สึกตัวสักวันหนึ่ง ว่าเขาเคลื่อนไหวสนับสนุนท่าน หรือเขาอาศัยเงินของท่านมาเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์และจุดหมายของเขาเอง โดยท่านไม่สามารถควบคุมได้ แต่ทุกอย่างที่เขาทำที่เป็นผลร้ายต่อบ้านเมือง สังคมก็จะโทษท่านในฐานะที่ท่านอ้างตัวเองว่าเป็นผู้นำที่แท้จริง และก็เป็นเงินที่มาจากท่าน ผมจึงคิดว่าท่านจะรู้สึกตัวสักวันหนึ่ง เมื่อเรื่องนี้เปิดเผยมากขึ้น แล้วเหตุการณ์ชุมนุมเรียกร้องที่ไม่มีเหตุผลนี้จะยุติลง
เมื่อถึงเวลานั้นแล้วผมก็อยากขอร้อง ไม่ใช่ฝันขอให้ทุกคน ทุกพรรคการเมืองได้สำรวจตัวเอง และมาพิจารณาอย่างจริงจังถึงนโยบายของพรรค ที่จะนำไป “ขาย” แก่ประชาชนในการเลือกตั้งข้างหน้า ไม่ใช่คิดแต่จะ “ซื้อ” เสียง ซึ่งมีเวลาอีกไม่ถึง 2 ปี จะไม่ดีกว่าหรือ? การเมืองไทยจะได้เข้าร่องเข้ารอยอย่างประเทศประชาธิปไตยก้าวหน้าอื่นๆ
ขอให้ช่วยยกระดับการเมืองไทย ให้เป็นการเมืองที่นักการเมืองมีจริยธรรมสูงขึ้น สปิริตสูงขึ้น รู้แพ้ รู้ชนะ รู้ให้อภัย รู้จักการแสดงความเสียใจกับผู้แพ้ รู้จักการแสดงความยินดีแก่ผู้ชนะ เมื่อสิ้นสุดการเลือกตั้งแล้ว ก็ปล่อยให้ผู้ชนะเขาบริหารบ้านเมือง ผู้แพ้ก็ยุติการเคลื่อนไหว ให้ความร่วมมือในทางที่ถูก คัดค้านในเรื่องที่ผิด ใช้รัฐสภาและใช้องค์กรเอกชนที่ทำการเมืองภาคพลเมืองให้เป็นประโยชน์ ค่อยๆ เก็บคะแนนไปเรื่อยๆ เพื่อการเลือกตั้งอีก 4 ปีข้างหน้า ถ้ารัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้งทำอะไรผิดพลาดคอยชี้ให้ประชาชนเห็น ว่าที่ถูกควรจะเป็นอย่างไร การเลือกตั้งคราวต่อไป ท่านย่อมมีหวังที่จะชนะแน่ เมื่อถึงเวลานั้น