รายงานพิเศษ
โดย...ทีมข่าวการเมือง
ปลุกผีไทยรักไทยขึ้นอีกครั้ง สำหรับการที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย นำ นายสุขสันต์ ชัยเทศ อดีตผู้อำนวยการพรรคพัฒนาชาติไทย และนายชวการ โตสวัสดิ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพัฒนาชาติไทย พยานปากเอกในคดีดังกล่าวมาแถลงข่าวหลั่งน้ำตาสำนึกผิด ยืนยันว่า ที่เคยให้ปากคำจนเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคไทยรักไทยนั้น เป็นเพราะถูกบีบบังคับ จ้างวานจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนั้นให้ให้การเท็จ
เป้าหมายของการเปิดเกมนี้ ไม่ต่างจากหมากกลการเมืองที่เดินต่อเนื่องมาจาก การเดินเกมที่แล้วๆมา จุดไฟ “รุกฆาต” หวังโค่นล้มรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้การเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด ตามใบสั่ง“นายใหญ่” จากดูไบ
แต่สิ่งซึ่งใครๆ กำลังสนใจและจับตามองในปมปัญหานี้ คือการขยับจะยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือศาลรัฐธรรมนูญ ดำเนินการรื้อคดียุบพรรคไทยรักไทย และนำไปสู่การ ยกเลิกเพิกถอนการยุบพรรค ยกเลิกการเพิกถอนสิทธิ์ คืนชีวิตให้กับบรรดา“ซากศพ แห่งบ้าน เลขที่ 111" จะเป็นไปได้มากน้อยเพียงไร
และที่สำคัญหากการถูกวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักไทยที่ผ่านมา เป็นฝีมือการกลั่นแกล้งของพรรคประชาธิปัตย์แล้วไซร้ เป็นไปได้หรือไม่ที่พรรคประชาธิปัตย์เองนั่นแหละ จะต้องถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคด้วยเหตุดังกล่าวด้วย
คำตอบในทุกคำถามต้องบอกว่า เป็นได้ แต่ ยากส์ !!!!
เพราะถ้าจำกันได้ ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักไทยพร้อม 2 พรรคการเมืองการเมืองเล็ก อย่างพรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทย เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 50 จริงอยู่ที่ นายสุขสันต์ และนายชวการ เป็นพยานปากคำสำคัญ แต่ก็มีพยานปากอื่นที่คำให้การมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า จนนำไปสู่การมีคำวินิจฉัยดังกล่าว
ไม่ว่าจะเป็นคำให้การของ นายบุญทวีศักดิ์ อมรสินธุ์ หัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย และนายอมรวิทย์ สุวรรณผา เจ้าหน้าที่ระบบฐานข้อมูลพรรคการเมือง สำนักงานกกต. ที่ให้ถ้อยคำรับกันว่า
มีการจ้าง และมีการไปแก้ไขฐานข้อมูลสมาชิกพรรคเล็ก เพื่อให้มีสิทธิลงผู้สมัครลงรับเลือกตั้งในคราวเลือกตั้ง 2 เม.ย. 49 จริง
หรือการกลับคำให้การของนางฐัติมา ภาวะลี อดีตผู้สมัคร ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคแผ่นดินไทย ที่ว่า สุเทพกักขังหน่วงเหนี่ยว ข่มขู่จะดำเนินคดีปลอมแปลงเอกสาร จึงเป็นเหตุให้ต้องมาให้การใส่ร้ายพรรคไทยรักไทยนั้น ศาลก็เห็นว่าการกล่าวอ้างที่ฟังไม่ขึ้น และไม่น่าเชื่อว่าถ้านางฐัตติมา ได้รับเงินจากสุเทพแล้วจริง จะกล้ากลับคำให้การหรือ
สะท้อนว่า เรื่องของการให้การเท็จเพื่อใส่ร้ายพรรคไทยรักไทยอย่างที่นายสุขสันต์ และนายชวการ กล่าวอ้างนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เกิดขึ้นแล้วขณะกำลังสอบสวนและเมื่อเข้าสู่การพิจารณาของศาล ก็ไม่ได้มีผลทำให้พรรคไทยรักไทย รอดพ้นการยุบพรรคมาแต่อย่างใด
คำแถลงของนายชวการ และการสุขสันต์ จึงไม่น่าจะถือเป็นหลักฐานใหม่ที่ฟื้นคดีได้ !!!!
ยิ่งในแง่ตัวบทกฎหมายการจะฟื้นคดี คืนชีวิตคนบ้านเลขที่ 111 แทบจะเรียกว่า “ประตูปิดตาย”
เพราะการสอบสวน การยุบพรรคไทยรักไทยเป็นการอาศัย พ.ร.บ.พรรคการเมืองปี 2541 และรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2549 ดำเนินการ แต่ขณะนี้กฎหมายทั้ง 2 ฉบับหมดอายุขัยไปแล้ว
อีกทั้ง คดีความผิดตามรัฐธรรมนูญไม่ได้มีโทษทางอาญา การพิจารณาตัดสินของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จึงไม่ได้ใช้ประมวลวิธีพิจารณาความอาญาเข้ามาจับ หากแต่ใช้ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งเข้ามาตัดสิน ทำให้หมดโอกาสรีรันคดี
ประกอบกับรัฐธรรมนูญขณะนั้นก็บัญญัติในทำนองให้ถือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่ยุติเด็ดขาด มีผลผูกพันทุกองค์กร ขณะที่ฟากของ กกต.นั้น พ.ร.บ.พรรคการเมือง 50 ก็ไม่มีบทบัญญัติรองรับว่า หากมีหลักฐานใหม่ก็ให้ร้องกกต.ดำเนินการได้เหมือนกับคดีอาญา
ส่วนคนที่ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง จะพ้นบ่วงนี้ได้ ก็มีแต่เว้นวรรคชดใช้กรรมจนกว่าจะครบเวลาที่คำพิพากษากำหนด ยังไม่เคยมีใครที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นคดี มีหลักฐานใหม่ แล้วศาลมีคำสั่งเยียวยาแก้ไขโทษที่ลงไปอันเนื่องจากได้ข้อเท็จจริงที่ผิดเพี้ยน ด้วยการยกเลิกการเพิกถอนสิทธิ
และเมื่อพิจารณาพ.ร.บ.พรรคการเมืองทั้งใหม่ เก่า ก็บัญญัติแต่ให้อำนาจนายทะเบียนพรรคการเมืองเสนอยุบพรรค เพิกถอนสิทธิคนทำผิด ไม่มีเขียนให้อำนาจเสนอศาลฯ คืนสภาพพรรคการเมือง หรือคืนสิทธิคนถูกเพิกถอนสิทธิได้
การจะใช้เกมนี้ลากดึงพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นเขียงอีกรอบ แม้จะพอมีหนทาง แต่ก็ไม่หมูอย่างที่คิด
ต้องกลับไปดูคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 50 อีกเช่นกัน ที่ไม่สั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ จะเห็นว่า ศาลได้วินิจฉัยแล้วในกรณีที่พรรคไทยรักไทย กล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์จ้างผู้บริหารพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า และพรรคชีวิตที่ดีกว่าให้ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งแล้วให้กล่าวหาใส่ร้ายว่าพรรคไทยรักไทย เป็นผู้ว่าจ้างให้ลงสมัคร ว่า ไม่พบว่ามีการว่าจ้างให้ลงสมัคร และจ้างให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทยแต่อย่างใด
นั่นย่อมหมายความว่า ที่นายสุขสันต์ และนายชวการ กล่าวหาว่าถูกประชาธิปัตย์ว่าจ้างให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทยนั้น ก็แค่ของเก่ามาเล่าใหม่
แต่ถ้าเผื่อเพื่อไทยเชื่อลมปากพยานอย่างนายสุขสันต์ และนายชวการ รวมทั้งมั่นใจว่าคนทั้งสองจะมอบกายถวายชีวิต ไม่คิดพลิกลิ้นอีกรอบเมื่อระยะเวลาผ่านไป เพื่อไทยก็ต้องพร้อมที่จะตีตั๋วยาวชะเง้อคอรอ เก็บเกี่ยวผลที่อาจะเกิดในระยะเวลาอันไกลโพ้น
เนื่องจากอย่างไรเสียการจะเข้าสู่กระบวนการยุบพรรคประชาธิปัตย์รอบใหม่ในฐานความผิดกลั่นแกล้ง ใส่ร้ายด้วยความเท็จในการเลือกตั้งเมื่อ 2 เม.ย.49 เพื่อให้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ กกต.ในฐานะผู้ที่จะเสนอต่ออัยการสูงสุดเพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ก็คงต้องรอผลคำพิพากษาในคดีอาญาที่จะมีการดำเนินการกับทั้งนายสุขสันต์ นายชวการ และนายสุเทพ โดยผู้เสียหายจากบ้านเลขที่ 111 เสียก่อน
เว้นแต่งานนี้แท้จริงแล้วเพื่อไทย มุ่งหวังเพียงใช้เป็นประเด็นปั่นกระแส หวังปลุกมวลชนคนเสื้อแดงให้เพิ่มจำนวนขึ้นในการชุมนุมใหญ่ที่ใกล้มาถึง ขณะเดียวกัน ก็เพิ่มค่าราคาตัวเองในสายตาของ “นายใหญ่”
เพราะจะว่าไปการปล่อยให้ พล.อ.พัลลภ ออกมาเขี่ยลูกส่งต่อให้ ส.ส.คนอื่นที่มีสถานะเป็นแค่สมาชิกพรรคธรรมดาขับเคลื่อน โดยไร้ซึ่งคนเป็นหัวหน้าพรรค หรือกรรมการบริหารพรรคออกมาร่วมเดินเกม ย่อมสะท้อนว่า ระดับคีย์แมนเพื่อไทยนั้นตระหนักดีถึง “พิษสง” ของการกล่าวหาใส่ร้าย ด้วยความเท็จ ที่อาจกลายเป็นบูมเมอแรง ย้อนกลับมาดัดหลัง เล่นงานจนเพื่อไทยถูกร้องยุบพรรคได้ง่ายๆ
ซึ่งถ้าเป็นดังนั้นเลือกตั้งใหม่ที่หวังจะให้เกิดขึ้นเร็วสมใจ หากไร้ชื่อพรรค และผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย เชื่อว่า "นายใหญ่" คงไม่ชอบใจนัก