ขณะนี้อนาคตของประเทศไทยแขวนอยู่บนเส้นด้าย อนาคตของรัฐบาลแขวนอยู่บนเส้นด้าย อนาคตของสถาบันกษัตริย์แขวนอยู่บนเส้นได้
ความปกติสุขของบ้านเมืองไม่ต้องพูดถึง เพราะแม้แต่ชีวิตของนายกรัฐมนตรี ชีวิตรัฐบุรุษและประธานองคมนตรี ยังสามารถสาปแช่งและวางแผนประทุษร้ายกันได้อย่างเปิดเผยในหน้าจอโทรทัศน์
ประเทศไทยที่เราเคยรู้จักและเติบโตมาจนแก่เฒ่าด้วยความมั่นใจและภูมิใจไม่มีเสียแล้ว เป็นอดีตเสียแล้ว
กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ในปี 2547 นี่เอง ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีผู้เข้มแข็ง ตำรวจสันติบาลที่ทำงานอย่างเคร่งครัด ได้เข้าไปตรวจสอบและข่มขู่ผู้ถ่ายทำภาพยนตร์คณะหนึ่ง โดยอ้างว่า “อาจมีการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงต่อรัฐ”
เป็นภาพยนตร์ล้อเลียนการเมืองชื่อว่า “ยอดชายนายโอ๊กอ๊าก” ลูกชายของ “เจ้าสัวรักสิน”
ทักษิณให้เหตุผลว่า “ต้องระวัง ถ้าทำให้ผู้นำประเทศเป็นตัวตลก ประเทศก็เป็นตัวตลกไปด้วย” การกระทำเช่นนี้เป็นภัยต่อความมั่นคงต่อรัฐ
ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีรัฐบาลที่บำเพ็ญขันติบารมี แม้กระทั่งองค์พระมหากษัตริย์ถูกล่วงละเมิดครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนถูกทำลาย แม้แต่นายกรัฐมนตรีและเลขาธิการถูกประทุษร้าย แม้แต่สื่อถูกระดมสังหารด้วยอาวุธสงครามกลางใจเมืองที่ทหารรักษาการอยู่เต็มอัตราศึก แม้แต่สำนักงานผู้บัญชาการทหารบกถูกยิงด้วยระเบิดทำลาย ฯลฯ ยังหามีผู้ใดเล็งเห็นและรับผิดชอบ “ป้องปราม” “ภัยพิบัติที่ชัดแจ้ง อันอาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ” ไม่
การ “ป้องกัน” ด้วยการตั้งด่าน และบริหารวิกฤตด้วยวิธี “ตั้งคณะกรรมการ” นั้นเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตน แตกตื่นเอิกเกริก ไร้ผลป้องกันการก่อการร้ายแบบ Asymmetricไม่ได้ สร้างความไม่สะดวกให้กับประชาชน เสียภาพลักษณ์ของประเทศ มีวิธีที่ประหยัดและได้ผลยิ่งกว่าคือการจับกุมและคุมขังชั่วคราวผู้ที่เคยมีพฤติกรรมบ่อนทำลายและยังกำเริบประกาศแผนการอยู่อย่างโจ่งแจ้งทุกวัน
จะบำเพ็ญขันติบารมีกันไปถึงไหน หรือว่ายังแยกไม่ออกระหว่างประชาธิปไตยกับคณะอนาธิปไตย หรือโดนนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนที่ไหนขู่เสียจนหงอ
เมื่อเร็วๆ นี้รัฐบาลเยอรมนีอดรนทนไม่ได้ถึงกับยอมเสียมารยาทถามรัฐบาลว่าจะเอายังไงกับข่าวลือรัฐประหาร ในการสัมมนาคณะทูตจากยุโรปเมื่อเร็วๆ นี้ที่จุฬาฯ ได้ยินมาว่าเอกอัครราชทูตจากบางประเทศมหาอำนาจบอกว่า การกระทำเยี่ยงพลตรีขัตติยะ ถ้าเป็นในประเทศของเขา รับรองว่าติดคุกทหารไปแล้วภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะต้องติดคุกหัวโต ไม่มีทางรอดแน่ๆ
จะรอให้นองเลือดเสียก่อน จึงจะป้องกันงั้นหรือ
การนองเลือดครั้งนี้จะน่ากลัวที่สุด และจะไม่หยุดลงง่ายๆ จนกว่าอะไรต่ออะไรจะวินาศสันตะโรไปตามๆ กัน
หากตั้งใจอ่านแค่ประมวลกฎหมายอาญาให้ดีๆ ก็จะแน่ใจได้ว่ามีบุคคลคณะหนึ่ง ต่างกรรมต่างวาระอย่างต่อเนื่อง ได้ก่อการอันเข้าข่ายกบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักรมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว
การกระทำของบุคคลคณะนี้ เหมือนกับหรือนับได้ว่าเป็นการก่อการร้ายนานาชาติ ซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหญ่ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ แต่น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก ขบวนการเสื้อแดงของไทยในปัจจุบันยังมีลักษณะคล้ายกับขบวนการสมัยโบราณที่เราเรียกว่า ขบถผีบุญภาคอีสาน ร.ศ. 121 หรือระหว่างปี พ.ศ. 2444-2445 อีกด้วย
เปรียบเทียบขบวนการเสื้อแดงกับผู้ก่อการร้ายสากล เดี๋ยวนี้ไทยติดอันดับ 9 ของโลกในความล่อแหลมจากการก่อการร้าย เหตุผลที่ฟังขึ้นว่าขบวนการเสื้อแดงเป็นขบวนการก่อการร้ายสากล เพราะว่ามีลักษณะสำคัญดังต่อไปนี้
1. มีฐานปฏิบัติการในต่างประเทศและภายในประเทศ
2. มีผู้บงการที่หลบหนีซุกซ่อนและผู้สนับสนุนที่เป็นผู้นำต่างประเทศ
3. ก่อสงครามนอกกำหนดและหลากวิธีที่ทหารเรียกว่า Asymmetric Warfare คือผู้ก่อการร้ายเป็นผู้กำหนดเป้า เลือกใช้อาวุธ เลือกเวลาและจุดที่โจมตีโดยผู้ป้องกันตกเป็นฝ่ายรับและเสียเปรียบ ถึงแม้จะมีกำลังพลมากกว่าและอาวุธดีกว่า
4. ทำสงครามข่าวสาร-ข่าวลือ หลอกลวงหรือข่มขู่ประชาชน ทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล
5. เป้าหมายสุดท้ายคือการล้มล้างรัฐบาลและเปลี่ยนระบบการปกครอง
ลักษณะของขบวนการขบถผีบุญภาคอีสาน
ผมขอเล่าเพียงย่อๆ ท่านที่สนใจโปรดอ่าน “ขบถ ร.ศ. 121” โดย เตช บุนนาค หรือเฉพาะบท “ขบถผู้มีบุญภาคอีสาน ร.ศ. 121” ก็ได้
ผมสอบถามดร.เตช บุนนาค อดีตปลัดและรมว.กระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะนักวิชาการผู้เป็นเอตทัคคะเรื่องการก่อกบถสมัยรัชกาลพระปิยมหาราช ได้ความรู้ย่อๆ ว่าดังนี้
ขบวนการผีบุญมีลักษณะ
1. มีหัวหน้าตั้งตัวเป็นผู้วิเศษ สามารถปลดเปลื้องยุคเข็ญและความทุกข์ยากของราษฎร และนำความสุขถาวรมาให้ได้
2. มีราษฎรที่ยากจนขาดความรู้และหลงใหลงมงาย
3. ยกตัวเปรียบเทียบผู้เป็นใหญ่ และท้าทายล้มล้างอำนาจศูนย์การปกครอง และความยึดมั่นเชื่อถือในสถาบันดั้งเดิม
เปรียบเทียบขบวนการเสื้อแดงกับขบถผีบุญภาคอีสาน
ผมบอกแล้วว่ามหัศจรรย์จริงๆ ที่ยุคเทคโนโลยีปฏิวัติมันย้อนยุคไปเหมือนขบถสมัยโบราณได้อย่างไร หรือว่าความโลภโมโทสันตัณหาความทยานอยากของมนุษย์มันครองโลกทุกยุคทุกสมัยเหมือนกันหมด จึงได้ทำสิ่งที่คล้ายคลึงกันยุคแล้วยุคเล่า ผมจะเปรียบเทียบข้อความที่ลอกมาจากดร.เตช จะเป็นตัวทึบขีดเส้นใต้
1. ผู้วิเศษโบราณที่จะลงมาดับยุคเข็ญ คืออ้ายมั่นองค์สาตรทอง หรือท้าวธัมมิกราชผีบุญ (คือผู้มีบุญ) ผู้วิเศษยุคปัจจุบัน จะเสด็จฯ มาปราบความยากจนคือพระเจ้าแม้วมูลเมือง
2. อ้ายมั่นยกพวก 1,000 คนเข้าปล้นและเผาเมืองเขมราฐและโขงเจียม จะยกเอาอุบลฯ เป็นที่ตั้งตัวหรือเมืองหลวง อ้ายมูลเมืองประกาศตั้งบ้านที่อุดรธานีหรืออาจจะเอาขอนแก่นเป็นเมืองหลวง
3.ฐานกำลังผีบุญ ร.ศ. 121 กับฐานเสียงผีบุญ ร.ศ. 218 เหมือนกันคือ หนองคาย อุดรธานี ขอนแก่น นครพนม มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ สกลนคร อุบลราชธานี ศรีษะเกษ และสุรินทร์
4. เครื่องมือปลุกระดมของผีบุญ ร.ศ. 121 คือหนังสือลายแทง และคำเล่าลือโจษจันกันปากต่อปาก เครื่องมือปลุกระดมของผีบุญ ร.ศ. 218 คือวิทยุชุมชน โทรทัศน์ หนังสือสีแดง การชุมนุมเดินขบวน รากหญ้า โรงเรียนฝึกอบรม และท่อน้ำเลี้ยงจากทั้งในและต่างประเทศ
5. ผู้นำผีบุญ ร.ศ.121 คือคนที่ “คิดหากินด้วยหลอกลวงราษฎร” เป็น “คนซึ่งเป็นบอบ้าเบาหรือผิดมนุษย์ธรรมดา หรือคนโง่งั่งแลคนโลภนักมักใหญ่” ผู้นำผีบุญ ร.ศ. 218 ตามคำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ “คิดตั้งตัวเป็นประธานาธิบดี” นายสุเทพถูกฟ้อง ศาลยกฟ้อง
6. ผู้สนับสนุนผีบุญและกลายเป็นผีบุญน้อย ร.ศ. 121 ไปด้วย มีพวก “ ขุนหมื่นพันทนาย” และ “คนที่ประสงค์หากินทางของเก่าๆ อันเวลานี้ไม่มีอำนาจ” ผีบุญรอง ร.ศ. 218 ได้แก่อดีตอำมาตย์หรือนายพลเกษียณที่ยังอาลัยตำแหน่ง เกียรติยศหรือเงินเดือนเพิ่มบำนาญเดือนละ 2-3 หมื่นก็ยังดี
7. ขบวนการผีบุญ ร.ศ.121 นั้นอาศัยความทุกข์ยากปากหมองของราษฎรในชนบทเป็นเชื้อเพลิง ประกอบด้วย “นายหมวดนายกอง คือกรมการชั้นผู้น้อย” ที่ได้รับส่วนลดหรือเงินแบ่งจากการเก็บส่วยน้อยจึงเกิดความไม่พอใจ ไม่ต่างกับทหารตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในยุคปัจจุบัน
แท้ที่จริงทั้งผีบุญทั้งรัฐบาลไม่ว่าจะยุคใดสมัยใดต่างก็แอบอ้างว่าจะปลดทุกข์สร้างสุขให้ปวงราษฎร ความไม่พอใจที่รัฐบาลดีแต่พูดแต่ไม่เห็นทำอะไรให้บ้านเมืองดีขึ้น ก็เป็นเหตุให้ขบวนการผีบุญเติบโตขึ้น ถึงแม้ว่าผีบุญสมัยนั้นจะมิใช่อัศวินการตลาดและเจ้าพ่อเทคโนโนโลยีสื่อสาร ก็ยังทำให้ขบวนการผีบุญขยายตัวได้รวดเร็วถึงปานนั้น นี่เป็นผีบุญยุคดิจิตอลมีพลังมากกว่าไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนเท่า การไม่รู้จักตัดลมแต่ต้นไฟ บ้านเมืองจึงตกอยู่ในสภาพอย่างนี้
เตช บุนนาคสรุปว่า “เป็นโชคดีของรัฐบาลด้วยที่ผู้มีบุญมิได้สู้รบแบบกองโจร แต่บังอาจที่จะต่อสู้ซึ่งๆ หน้า ทำให้ทหารมีโอกาสใช้อาวุธทันสมัยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้ พวกผีบุญจึงไม่มีทางต่อสู้ เพราะมิได้จัดทัพเป็นหมวด เป็นกองและไม่มีอาวุธเทียบเท่ากับทหาร”
รัฐบาลปัจจุบันจะไม่โชคดีเหมือนครั้งนั้น นอกจากเขาประกาศจะสู้แบบกองโจรแล้ว เขายังสู้แบบ Asymmetric War ซึ่งปราบยากกว่าการรบแบบกองโจรหลายเท่า ซ้ำเขายังมีทีวีให้ผู้ชำนัญการจากกองทัพบกไทยมานัดหมาย และแนะนำการจัดกองทัพประชาชนเป็นหมวด เป็นกอง และวิธีการสู้กับกองทัพแห่งชาติเสียอีก
ผมจึงต้องถามว่า จะรอให้นองเลือดเสียก่อน จึงจะป้องกันหรืออย่างไร
ความปกติสุขของบ้านเมืองไม่ต้องพูดถึง เพราะแม้แต่ชีวิตของนายกรัฐมนตรี ชีวิตรัฐบุรุษและประธานองคมนตรี ยังสามารถสาปแช่งและวางแผนประทุษร้ายกันได้อย่างเปิดเผยในหน้าจอโทรทัศน์
ประเทศไทยที่เราเคยรู้จักและเติบโตมาจนแก่เฒ่าด้วยความมั่นใจและภูมิใจไม่มีเสียแล้ว เป็นอดีตเสียแล้ว
กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ในปี 2547 นี่เอง ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีผู้เข้มแข็ง ตำรวจสันติบาลที่ทำงานอย่างเคร่งครัด ได้เข้าไปตรวจสอบและข่มขู่ผู้ถ่ายทำภาพยนตร์คณะหนึ่ง โดยอ้างว่า “อาจมีการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงต่อรัฐ”
เป็นภาพยนตร์ล้อเลียนการเมืองชื่อว่า “ยอดชายนายโอ๊กอ๊าก” ลูกชายของ “เจ้าสัวรักสิน”
ทักษิณให้เหตุผลว่า “ต้องระวัง ถ้าทำให้ผู้นำประเทศเป็นตัวตลก ประเทศก็เป็นตัวตลกไปด้วย” การกระทำเช่นนี้เป็นภัยต่อความมั่นคงต่อรัฐ
ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีรัฐบาลที่บำเพ็ญขันติบารมี แม้กระทั่งองค์พระมหากษัตริย์ถูกล่วงละเมิดครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนถูกทำลาย แม้แต่นายกรัฐมนตรีและเลขาธิการถูกประทุษร้าย แม้แต่สื่อถูกระดมสังหารด้วยอาวุธสงครามกลางใจเมืองที่ทหารรักษาการอยู่เต็มอัตราศึก แม้แต่สำนักงานผู้บัญชาการทหารบกถูกยิงด้วยระเบิดทำลาย ฯลฯ ยังหามีผู้ใดเล็งเห็นและรับผิดชอบ “ป้องปราม” “ภัยพิบัติที่ชัดแจ้ง อันอาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ” ไม่
การ “ป้องกัน” ด้วยการตั้งด่าน และบริหารวิกฤตด้วยวิธี “ตั้งคณะกรรมการ” นั้นเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตน แตกตื่นเอิกเกริก ไร้ผลป้องกันการก่อการร้ายแบบ Asymmetricไม่ได้ สร้างความไม่สะดวกให้กับประชาชน เสียภาพลักษณ์ของประเทศ มีวิธีที่ประหยัดและได้ผลยิ่งกว่าคือการจับกุมและคุมขังชั่วคราวผู้ที่เคยมีพฤติกรรมบ่อนทำลายและยังกำเริบประกาศแผนการอยู่อย่างโจ่งแจ้งทุกวัน
จะบำเพ็ญขันติบารมีกันไปถึงไหน หรือว่ายังแยกไม่ออกระหว่างประชาธิปไตยกับคณะอนาธิปไตย หรือโดนนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนที่ไหนขู่เสียจนหงอ
เมื่อเร็วๆ นี้รัฐบาลเยอรมนีอดรนทนไม่ได้ถึงกับยอมเสียมารยาทถามรัฐบาลว่าจะเอายังไงกับข่าวลือรัฐประหาร ในการสัมมนาคณะทูตจากยุโรปเมื่อเร็วๆ นี้ที่จุฬาฯ ได้ยินมาว่าเอกอัครราชทูตจากบางประเทศมหาอำนาจบอกว่า การกระทำเยี่ยงพลตรีขัตติยะ ถ้าเป็นในประเทศของเขา รับรองว่าติดคุกทหารไปแล้วภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะต้องติดคุกหัวโต ไม่มีทางรอดแน่ๆ
จะรอให้นองเลือดเสียก่อน จึงจะป้องกันงั้นหรือ
การนองเลือดครั้งนี้จะน่ากลัวที่สุด และจะไม่หยุดลงง่ายๆ จนกว่าอะไรต่ออะไรจะวินาศสันตะโรไปตามๆ กัน
หากตั้งใจอ่านแค่ประมวลกฎหมายอาญาให้ดีๆ ก็จะแน่ใจได้ว่ามีบุคคลคณะหนึ่ง ต่างกรรมต่างวาระอย่างต่อเนื่อง ได้ก่อการอันเข้าข่ายกบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักรมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว
การกระทำของบุคคลคณะนี้ เหมือนกับหรือนับได้ว่าเป็นการก่อการร้ายนานาชาติ ซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหญ่ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ แต่น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก ขบวนการเสื้อแดงของไทยในปัจจุบันยังมีลักษณะคล้ายกับขบวนการสมัยโบราณที่เราเรียกว่า ขบถผีบุญภาคอีสาน ร.ศ. 121 หรือระหว่างปี พ.ศ. 2444-2445 อีกด้วย
เปรียบเทียบขบวนการเสื้อแดงกับผู้ก่อการร้ายสากล เดี๋ยวนี้ไทยติดอันดับ 9 ของโลกในความล่อแหลมจากการก่อการร้าย เหตุผลที่ฟังขึ้นว่าขบวนการเสื้อแดงเป็นขบวนการก่อการร้ายสากล เพราะว่ามีลักษณะสำคัญดังต่อไปนี้
1. มีฐานปฏิบัติการในต่างประเทศและภายในประเทศ
2. มีผู้บงการที่หลบหนีซุกซ่อนและผู้สนับสนุนที่เป็นผู้นำต่างประเทศ
3. ก่อสงครามนอกกำหนดและหลากวิธีที่ทหารเรียกว่า Asymmetric Warfare คือผู้ก่อการร้ายเป็นผู้กำหนดเป้า เลือกใช้อาวุธ เลือกเวลาและจุดที่โจมตีโดยผู้ป้องกันตกเป็นฝ่ายรับและเสียเปรียบ ถึงแม้จะมีกำลังพลมากกว่าและอาวุธดีกว่า
4. ทำสงครามข่าวสาร-ข่าวลือ หลอกลวงหรือข่มขู่ประชาชน ทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล
5. เป้าหมายสุดท้ายคือการล้มล้างรัฐบาลและเปลี่ยนระบบการปกครอง
ลักษณะของขบวนการขบถผีบุญภาคอีสาน
ผมขอเล่าเพียงย่อๆ ท่านที่สนใจโปรดอ่าน “ขบถ ร.ศ. 121” โดย เตช บุนนาค หรือเฉพาะบท “ขบถผู้มีบุญภาคอีสาน ร.ศ. 121” ก็ได้
ผมสอบถามดร.เตช บุนนาค อดีตปลัดและรมว.กระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะนักวิชาการผู้เป็นเอตทัคคะเรื่องการก่อกบถสมัยรัชกาลพระปิยมหาราช ได้ความรู้ย่อๆ ว่าดังนี้
ขบวนการผีบุญมีลักษณะ
1. มีหัวหน้าตั้งตัวเป็นผู้วิเศษ สามารถปลดเปลื้องยุคเข็ญและความทุกข์ยากของราษฎร และนำความสุขถาวรมาให้ได้
2. มีราษฎรที่ยากจนขาดความรู้และหลงใหลงมงาย
3. ยกตัวเปรียบเทียบผู้เป็นใหญ่ และท้าทายล้มล้างอำนาจศูนย์การปกครอง และความยึดมั่นเชื่อถือในสถาบันดั้งเดิม
เปรียบเทียบขบวนการเสื้อแดงกับขบถผีบุญภาคอีสาน
ผมบอกแล้วว่ามหัศจรรย์จริงๆ ที่ยุคเทคโนโลยีปฏิวัติมันย้อนยุคไปเหมือนขบถสมัยโบราณได้อย่างไร หรือว่าความโลภโมโทสันตัณหาความทยานอยากของมนุษย์มันครองโลกทุกยุคทุกสมัยเหมือนกันหมด จึงได้ทำสิ่งที่คล้ายคลึงกันยุคแล้วยุคเล่า ผมจะเปรียบเทียบข้อความที่ลอกมาจากดร.เตช จะเป็นตัวทึบขีดเส้นใต้
1. ผู้วิเศษโบราณที่จะลงมาดับยุคเข็ญ คืออ้ายมั่นองค์สาตรทอง หรือท้าวธัมมิกราชผีบุญ (คือผู้มีบุญ) ผู้วิเศษยุคปัจจุบัน จะเสด็จฯ มาปราบความยากจนคือพระเจ้าแม้วมูลเมือง
2. อ้ายมั่นยกพวก 1,000 คนเข้าปล้นและเผาเมืองเขมราฐและโขงเจียม จะยกเอาอุบลฯ เป็นที่ตั้งตัวหรือเมืองหลวง อ้ายมูลเมืองประกาศตั้งบ้านที่อุดรธานีหรืออาจจะเอาขอนแก่นเป็นเมืองหลวง
3.ฐานกำลังผีบุญ ร.ศ. 121 กับฐานเสียงผีบุญ ร.ศ. 218 เหมือนกันคือ หนองคาย อุดรธานี ขอนแก่น นครพนม มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ สกลนคร อุบลราชธานี ศรีษะเกษ และสุรินทร์
4. เครื่องมือปลุกระดมของผีบุญ ร.ศ. 121 คือหนังสือลายแทง และคำเล่าลือโจษจันกันปากต่อปาก เครื่องมือปลุกระดมของผีบุญ ร.ศ. 218 คือวิทยุชุมชน โทรทัศน์ หนังสือสีแดง การชุมนุมเดินขบวน รากหญ้า โรงเรียนฝึกอบรม และท่อน้ำเลี้ยงจากทั้งในและต่างประเทศ
5. ผู้นำผีบุญ ร.ศ.121 คือคนที่ “คิดหากินด้วยหลอกลวงราษฎร” เป็น “คนซึ่งเป็นบอบ้าเบาหรือผิดมนุษย์ธรรมดา หรือคนโง่งั่งแลคนโลภนักมักใหญ่” ผู้นำผีบุญ ร.ศ. 218 ตามคำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ “คิดตั้งตัวเป็นประธานาธิบดี” นายสุเทพถูกฟ้อง ศาลยกฟ้อง
6. ผู้สนับสนุนผีบุญและกลายเป็นผีบุญน้อย ร.ศ. 121 ไปด้วย มีพวก “ ขุนหมื่นพันทนาย” และ “คนที่ประสงค์หากินทางของเก่าๆ อันเวลานี้ไม่มีอำนาจ” ผีบุญรอง ร.ศ. 218 ได้แก่อดีตอำมาตย์หรือนายพลเกษียณที่ยังอาลัยตำแหน่ง เกียรติยศหรือเงินเดือนเพิ่มบำนาญเดือนละ 2-3 หมื่นก็ยังดี
7. ขบวนการผีบุญ ร.ศ.121 นั้นอาศัยความทุกข์ยากปากหมองของราษฎรในชนบทเป็นเชื้อเพลิง ประกอบด้วย “นายหมวดนายกอง คือกรมการชั้นผู้น้อย” ที่ได้รับส่วนลดหรือเงินแบ่งจากการเก็บส่วยน้อยจึงเกิดความไม่พอใจ ไม่ต่างกับทหารตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในยุคปัจจุบัน
แท้ที่จริงทั้งผีบุญทั้งรัฐบาลไม่ว่าจะยุคใดสมัยใดต่างก็แอบอ้างว่าจะปลดทุกข์สร้างสุขให้ปวงราษฎร ความไม่พอใจที่รัฐบาลดีแต่พูดแต่ไม่เห็นทำอะไรให้บ้านเมืองดีขึ้น ก็เป็นเหตุให้ขบวนการผีบุญเติบโตขึ้น ถึงแม้ว่าผีบุญสมัยนั้นจะมิใช่อัศวินการตลาดและเจ้าพ่อเทคโนโนโลยีสื่อสาร ก็ยังทำให้ขบวนการผีบุญขยายตัวได้รวดเร็วถึงปานนั้น นี่เป็นผีบุญยุคดิจิตอลมีพลังมากกว่าไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนเท่า การไม่รู้จักตัดลมแต่ต้นไฟ บ้านเมืองจึงตกอยู่ในสภาพอย่างนี้
เตช บุนนาคสรุปว่า “เป็นโชคดีของรัฐบาลด้วยที่ผู้มีบุญมิได้สู้รบแบบกองโจร แต่บังอาจที่จะต่อสู้ซึ่งๆ หน้า ทำให้ทหารมีโอกาสใช้อาวุธทันสมัยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้ พวกผีบุญจึงไม่มีทางต่อสู้ เพราะมิได้จัดทัพเป็นหมวด เป็นกองและไม่มีอาวุธเทียบเท่ากับทหาร”
รัฐบาลปัจจุบันจะไม่โชคดีเหมือนครั้งนั้น นอกจากเขาประกาศจะสู้แบบกองโจรแล้ว เขายังสู้แบบ Asymmetric War ซึ่งปราบยากกว่าการรบแบบกองโจรหลายเท่า ซ้ำเขายังมีทีวีให้ผู้ชำนัญการจากกองทัพบกไทยมานัดหมาย และแนะนำการจัดกองทัพประชาชนเป็นหมวด เป็นกอง และวิธีการสู้กับกองทัพแห่งชาติเสียอีก
ผมจึงต้องถามว่า จะรอให้นองเลือดเสียก่อน จึงจะป้องกันหรืออย่างไร