ทุกชาติตั้งแต่อดีตกาลจะต้องมีกองทัพควบคู่การสถาปนาชาติเสมอมาเพราะเป็นกลไกสำคัญของรัฐ ซึ่งในอดีตกาลพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขของประเทศจะเป็นแม่ทัพ ดังนั้น กษัตริย์จึงแปลว่าทหารผู้ยิ่งใหญ่ เพราะกองทัพคือกลไกสำคัญของชาติในการป้องปรามศัตรู ปราบปรามศัตรู และขยายอาณาจักร ในปัจจุบันทฤษฏีว่าด้วยการสถาปนาและดำรงรัฐชาตินั้นบริบทสำคัญของรัฐธรรมนูญของทุกชาติจะต้องบรรจุหน้าที่สำคัญของรัฐไว้ว่า “รัฐจะต้องจัดตั้งกองทัพไว้เพื่อปกป้องรักษาเอกราช อำนาจอธิปไตย และบูรณภาพของชาติไว้อย่างสมบูรณ์แบบ” และยังต้องปกป้องสถาบันชาติอันประกอบด้วยชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ไว้ด้วยชีวิต
กองทัพประกอบด้วยผู้นำกองทัพ หน่วยทหาร และตัวทหารเอง ลดหลั่นกันลงไปตามสายการบังคับบัญชา และกองทัพจะดำรงอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยหลักการสำคัญยิ่ง คือ วินัย ซึ่งสามารถแยกลักษณะมุมมองในแง่ถ้อยคำได้ดังนี้ “วิ” แปลว่า “ดี” หรือ “ต่าง” และ “นัย” แปลว่า “ทาง” อันเป็นคำนาม หรือ “นำไป” อันเป็นคำกริยา เมื่อรวมถ้อยคำนี้แล้วแปลว่า เครื่องนำไปในทางที่ดี หรือผู้มีวินัยเป็นคนดี หรือแปลว่า เครื่องทำให้มีความต่าง
ส่วนวินัยทหาร หมายถึง การที่ทหารต้องประพฤติตามแบบธรรมเนียมทหาร โดยที่แบบธรรมเนียมทหารคือ บรรดากฎ ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง คำแนะนำ คำชี้แจง และสรรพหนังสือต่างๆ ที่ผู้บังคับบัญชาได้ออกหรือได้วางไว้เป็นหลักฐานให้ทหารปฏิบัติ ซึ่งรวมทั้งขนบธรรมเนียมและประเพณีอันดีของทหาร ทั้งที่เป็นและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
ทั้งนี้ ทั้งนั้น กองทัพมีกฎหมายทหารไว้ปกครองทหารโดยเฉพาะ เรียกว่าประมวลกฎหมายอาญาทหาร ที่สามารถนำมาใช้พิจารณาลงโทษทหารและพลเรือนหลายลักษณะความผิดต่างๆ นั้นอยู่ในข่ายความผิดอะไรบ้าง กรณีแรกเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญาทหารได้แก่การหมิ่นประมาท หรือขู่เข็ญจะทำร้ายทหารยาม ซึ่งมีผลใช้กับประชาชนทั่วไปได้ เช่น พวกคนเสื้อแดงที่ตระเวนไปตามค่ายทหาร และใช้วาจาก้าวร้าว ดูหมิ่น หรือข่มขู่ หรือทำร้ายทหารยามก็เข้าข่ายนี้ทันที ทหารละทิ้งหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบกองทัพ หรือตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย ทหารขัดคำสั่ง ทหารขัดขืนหรือละเลยไม่กระทำตามข้อบังคับ ทหารแสดงความอาฆาตหรือหมิ่นประมาทผู้บังคับบัญชาหรือผู้ใหญ่เหนือตน และทหารกำเริบ หมายถึงทหารที่ประพฤติปฏิบัติผิดวินัยรุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ยังมีกฎหมายทหารในรูปแบบของพระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยทหาร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2505 ตามมาตรา 5 ได้ตั้งประเด็นความผิดไว้ 9 ประการ เช่น ดื้อ ขัดขืน หลีกเลี่ยง หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาเหนือตน ก่อให้แตกความสามัคคีในคณะทหาร กล่าวคำเท็จ เป็นต้น
เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2495 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทให้กองทัพบก ในหนังสือที่ระลึกวันกองทัพบก 25 มกราคม พ.ศ. 2496 เมื่อ 57 ปีมาแล้ว ว่า “ทหารพึงสำนึกในเกียรติอันสูงสุดของตน ที่เป็นผู้มีหน้าที่คุ้มครองและรักษาไว้ซึ่งเอกราชของประเทศชาติ และอันอยู่ในสัตย์และวินัยของทหาร ตามนัยพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงร่วมการจัดระเบียบกองทัพบกให้เข้ารูปตามสมัยนิยม ที่ได้พระราชทานไว้ในคราวทรงรับคฑาทหารบก เมื่อ พ.ศ. 2446 ซึ่งมีพระราชดำรัสไว้ด้วยว่า ”ทหารเป็นผู้แปลกกว่าโจร ก็เพราะเป็นผู้มีความสัตย์ ถือมั่นในวินัยของทหาร คือ ใช้ศาสตราวุธในการรักษาชาติ ศาสนา และบ้านเมือง มีความกล้าหาญไม่คิดแต่ความยากและชีวิต” ดังนี้
“ฉะนั้น ขอทหารทั้งหลายจงสังวร และยืนอยู่ในคุณธรรมที่ว่านั้นให้จงมาก เพื่อความเจริญรุ่งเรืองแห่งกองทัพบกไทย”
นัยแห่งความสัตย์ก็คือ คำสาบานที่ทหารทุกคนได้กล่าวให้ไว้ต่อธงไชยเฉลิมพล อันเป็นสัญลักษณ์แทนชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ สรุปได้ว่า ทหารจักยอมตายเพื่ออิสรภาพและความสงบแห่งประเทศชาติ จะเชิดชูและรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า และจักเชื่อถือผู้บังคับบัญชาและปฏิบัติตามคำสั่งโดยเคร่งครัด ทั้งจักปกครองแด่ผู้ใต้บังคับบัญชาโดยยุติธรรม เป็นต้น
โรงเรียนนายร้อยทหารบกเชื่อว่าเกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1682 แต่ล้มเหลว ต่อมาพระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 มหาราช แห่งจักรวรรดิรัสเซีย ก่อตั้งโรงเรียนนายร้อยทหารบกรัสเซียขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1689หรือ พ.ศ. 2432 ซึ่งยังเป็นช่วงตอนปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระมหากษัตริย์องค์ที่ 27 แห่งราชอาณาจักรอยุธยา ต่อกับรัชสมัยของพระเพทราชาผู้ถูกจับตัว เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ คอนสแตนติน ฟอลคอน ชาวกรีก ประหารชีวิตและส่งกำลังทหารไปควบคุมหน่วยทหารฝรั่งเศสที่ประจำการ ณ ป้อมวิไชยประสิทธิ์
พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 มหาราช ตรัสถามเสนาธิการผู้ทรงวุฒิว่า “จะทำอย่างไร ให้กองทัพมีประสิทธิภาพเป็นเลิศ” บรรดาเสนาธิการผู้ทรงคุณวุฒิกราบถวายบังคมทูลว่า “ประการแรก ต้องสร้างกองทัพให้เป็นระบบ และดำรงรักษาและปรับปรุงกองทัพอย่างต่อเนื่องและด้วยการฝึกทหารอย่างทรหด ประการที่สอง ทหารต้องรับรู้และยอมรับตลอดจนเชื่อมั่นในพลานุภาพของกองทัพแห่งตน และประการสุดท้าย ทหารต้องเชื่อมั่นในผู้บังคับบัญชา”
จึงเกิดปรัชญาการฝึกนายทหารอย่างเป็นระบบ มีเอกภาพ มีเอกลักษณ์ และความรักหมู่คณะ เพื่อให้เกิดวินัย ความอดทน และเชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา เกิดขึ้นตั้งแต่นั้นมา และแพร่กระจายไปทั่วทวีปยุโรป เช่น โรงเรียนนายร้อยวูลลิชแห่งสหราชอาณาจักร เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1741 อันเป็นสถานศึกษาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเข้ารับการศึกษา ส่วนโรงเรียนนายร้อยแซนเฮิสต์แห่งสหราชอาณาจักรเช่นกัน เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1799 ที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นศิษย์เก่า
วินัยทหารมีความสำคัญ เพราะชนะหรือแพ้อยู่ที่วินัยทหารแม้ว่าเป็นขั้นพื้นฐาน เช่น การสั่งยิงของหมู่ปืนเล็ก หากขาดวินัยแล้วจะเกิดผลเสียหลายประการ เช่น ขาดอำนาจการทำลาย เพราะทหารไม่เชื่อฟังผู้บังคับบัญชา แต่ยิงส่งเดชไม่ถูกข้าศึกและทำให้ไม่ประหยัดกระสุนปืน
ดังนั้น วินัยทหารจึงเป็นพื้นฐานของการชนะ และการแพ้ศึก ทำให้สายการบังคับบัญชาของทหารง่าย มีระดับการบังคับบัญชาเป็นชั้นเป็นช่อ มีตัวตายตัวแทน ไม่ซับซ้อน เพราะมีขอบเขตอำนาจหน้าที่ชัดเจน มีพื้นที่รับผิดชอบชัดเจน
การกระทำของ พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ที่ได้ขายตัว ขายอาชีพ ขายศักดิ์ศรี และเกียรติภูมิของตัวเพื่อเงิน อำนาจ และความหลงตัวเองว่าเลอเลิศกว่าคนอื่น ให้กับทักษิณที่ต้องการปกป้องเงินที่ได้โกงชาติบ้านเมืองมา
ขณะนี้ เสธ.แดง กำลังใช้แผนทำลายกองทัพ ด้วยการแสดงความกระด้างกระเดื่อง ให้ร้ายผู้บังคับบัญชา และใช้มวลชนกดดัน ข่มขู่กองทัพ และโฆษณาชวนเชื่อหน่วยทหารให้ไขว้เขว เช่น ในวันนี้ที่ 4 กุมภาพันธ์ ใช้กำลังคนเสื้อแดงราว 50 คน ไปออกันที่หน้ากองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ บางกระบือ ซึ่ง เสธ.แดง มีที่พักอยู่แล้วพูดจาว่ากล่าวเรื่องไม่เป็นเรื่องแต่ต้องการเพียงเป็นข่าว
แผนทำลายกองทัพนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์หนึ่งในสงครามการเมืองที่ทักษิณกำลังดำเนินกลยุทธ์อยู่ แผนนี้มีความสลับซับซ้อนพอสมควร แต่ในชั้นต้นวิเคราะห์ว่า “แผนแดงกำเริบ” กำลังใช้หลักอารยะขัดขืน แต่หลักนี้กระทำได้ยากในหมู่ทหาร แต่หากมีตัวล่อเพื่อให้เกิดประโยชน์ตรงเมื่อมีการลดหย่อนหรือเลือกปฏิบัติ หรือกระทำการฟ้องร้องลงโทษช้าแล้ว หลักอารยะขัดขืนก็อาจจะเกิดขึ้นในกองทัพเพราะทหารที่มีความประพฤติไม่ค่อยดีอยู่แล้วเอาเป็นตัวอย่าง
อำนาจเงินย่อมซื้อคนได้ทุกระดับ ตั้งแต่พลทหาร ยันพลเอก และคนที่ เสธ.แดง กำลังประสานซื้อตัวอยู่ ก็ให้เพียงหลีกเลี่ยงไม่ขัดคำสั่ง หรือการไม่ปฏิบัติอย่างเข้มแข็ง เช่น การลาป่วยการเมืองหลายๆ คนพร้อมกัน เช่น ถ้าจ่ากองร้อยเกือบทั้งหมดป่วยการเมืองเพราะอำนาจเงิน หรือผู้บังคับหมวดเกือบทั้งหมดในกรมทหารราบป่วยการเมือง กลไกการบังคับบัญชาจะถูกตัดตอน หน่วยทหารย่อมขาดพลานุภาพในการดำเนินกลยุทธ์ทุกรูปแบบ
ดังนั้น การใช้คนเสื้อแดงแสดงพลังกดดันค่ายทหารก็ด้วยสาเหตุหลัก 2 ประการ คือ ยั่วยุให้ทหารกระทำการรุนแรงตอบโต้ แล้วคนเสื้อแดงก็จะใช้เป็นข้ออ้างโต้ตอบจนเกิดสงครามย่อย ทหารกับประชาชน ซึ่งสามารถพัฒนาได้ เพราะขณะนี้ พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี ออกข่าวการสถาปนากองทัพแดง ซึ่งอุปโลกน์ให้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นแม่ทัพ บัญชาการเหมือนครั้งวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 แม้ว่า พลเอกชวลิต จะปฏิเสธอย่างไรก็ตาม โมเมนตัมสงครามจิตวิทยาก็แพร่กระจายไปทั่วทหารเสื้อแดงปลายแถวแถบอีสานเรียบร้อยแล้วว่า “พ่อใหญ่จะเป็นแม่ทัพนำรบเอง”
นอกจากการยั่วยุนี้แล้ว คนเสื้อแดงก็สามารถทำลายขวัญทหารได้ด้วยการกดดันลักษณะต่างๆ เพราะทหารระดับล่างจะเกิดความสับสนวุ่นวายใจ และไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งสิ้น เกิดช่องว่างในความคิด จิตสำนึกและอุดมการณ์ ซึ่งขบวนการจิตวิทยาลักษณะนี้ทำให้ทหารขัดคำสั่งหรือปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้เต็มที่ อันเป็นผลดีต่อกลุ่มคนเสื้อแดงในการสร้างสถานการณ์ขึ้นยึดอำนาจด้วยกำลังพลทั้งในสภาและนอกสภา
อย่างไรก็ดี การที่ผู้บังคับหน่วยทหารระดับกรมทหารราบหลายหน่วย ออกมาแสดงเจตนารมณ์ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และวินัยทหาร ซึ่งผู้เขียนคิดเช่นนั้นและคงไม่ใช่ออกมาปกป้อง พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.โดยตรง
การที่เน้นตรงว่า ผบ.หน่วยทั้งหลายออกมาปกป้องวินัยนั้น ก็คือการดักคอว่าแผนการยุยงให้ทหารขัดคำสั่งกำลังได้รับการตอบโต้แล้ว เพราะฝ่ายเสื้อแดงได้สำแดงให้เห็นว่านายทหารระดับพลตรีขัดคำสั่ง ผิดวินัยหลายกระทบ ผู้บังคับบัญชายังทำอะไรไม่ได้เต็มที่ ซึ่งเป็นผลเสียต่อการบังคับบัญชาของผู้บังคับหน่วยอย่างแน่นอน ทำให้ผู้บังคับหน่วยทั้งหลายออกมาแสดงศักยภาพและพลังเอกภาพการผู้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นการโต้ตอบ เสธ.แดงโดยตรง ทั้งยังแสดงความเป็นเอกภาพให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นในกองทัพบกเห็นว่าวินัยกองทัพยังดีอยู่
เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้บังคับบัญชรทุกระดับชั้นทุกเหล่าทัพจะต้องยึดถือวินัย กฎ ระเบียบ และแบบธรรมเนียมทหารอย่างเคร่งครัดในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะมิฉะนั้นแล้วอาจจะเป็นวาระล่มสลายของกองทัพก็เป็นได้ อย่าได้ประมาทกับข่าวสาร โดยเฉพาะว่าด้วยเรื่องกองทัพแดง เพราะเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยยอมวางอาวุธนั้น มิใช่เงื่อนไขของการยอมแพ้ แต่เพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย ยังคงมีกลุ่มอนาธิปไตยที่มีความเครียดแค้นที่คุกรุ่นอยู่ในใจ หรือความต้องการอำนาจรัฐเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมตามที่พวกเขาคิดว่าดีเลิศ และเชื่อว่าเมื่อพวกเขาได้อำนาจรัฐแล้ว การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นหลายมิติ ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะสายไปแล้ว ไม่มีตัวช่วยแล้ว เพราะกองทัพถูกกดไว้ หรือแก่นแท้ของกองทัพถูกทำลายไปแล้ว
ความเด็ดขาดในการจัดการโทษทางวินัยของ พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล จะเป็นหนทางหนึ่งที่ยุติความกังขาของสาธารณชนในความเด็ดขาดเรื่องวินัยทหารได้อย่างสมบูรณ์แบบ หรือแม้ไม่ผิดก็ต้องบอกสังคมด้วย และเมื่อพลตรีขัตติยะ ไม่ได้เป็นทหารแล้ว บทบาทในการชักนำกองทัพไปในทางลบก็ยุติไปด้วย จึงเป็นเรื่องที่กองทัพบกต้องเอาจริงเอาจัง รวดเร็ว เด็ดขาด มิฉะนั้นแล้วจะเกิด เสธ.แดง อีกหลายคน เพราะเงินแปรธาตุในจิตสำนึกคนได้
nidd.riddhagni@gmail.com
กองทัพประกอบด้วยผู้นำกองทัพ หน่วยทหาร และตัวทหารเอง ลดหลั่นกันลงไปตามสายการบังคับบัญชา และกองทัพจะดำรงอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยหลักการสำคัญยิ่ง คือ วินัย ซึ่งสามารถแยกลักษณะมุมมองในแง่ถ้อยคำได้ดังนี้ “วิ” แปลว่า “ดี” หรือ “ต่าง” และ “นัย” แปลว่า “ทาง” อันเป็นคำนาม หรือ “นำไป” อันเป็นคำกริยา เมื่อรวมถ้อยคำนี้แล้วแปลว่า เครื่องนำไปในทางที่ดี หรือผู้มีวินัยเป็นคนดี หรือแปลว่า เครื่องทำให้มีความต่าง
ส่วนวินัยทหาร หมายถึง การที่ทหารต้องประพฤติตามแบบธรรมเนียมทหาร โดยที่แบบธรรมเนียมทหารคือ บรรดากฎ ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง คำแนะนำ คำชี้แจง และสรรพหนังสือต่างๆ ที่ผู้บังคับบัญชาได้ออกหรือได้วางไว้เป็นหลักฐานให้ทหารปฏิบัติ ซึ่งรวมทั้งขนบธรรมเนียมและประเพณีอันดีของทหาร ทั้งที่เป็นและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
ทั้งนี้ ทั้งนั้น กองทัพมีกฎหมายทหารไว้ปกครองทหารโดยเฉพาะ เรียกว่าประมวลกฎหมายอาญาทหาร ที่สามารถนำมาใช้พิจารณาลงโทษทหารและพลเรือนหลายลักษณะความผิดต่างๆ นั้นอยู่ในข่ายความผิดอะไรบ้าง กรณีแรกเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญาทหารได้แก่การหมิ่นประมาท หรือขู่เข็ญจะทำร้ายทหารยาม ซึ่งมีผลใช้กับประชาชนทั่วไปได้ เช่น พวกคนเสื้อแดงที่ตระเวนไปตามค่ายทหาร และใช้วาจาก้าวร้าว ดูหมิ่น หรือข่มขู่ หรือทำร้ายทหารยามก็เข้าข่ายนี้ทันที ทหารละทิ้งหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบกองทัพ หรือตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย ทหารขัดคำสั่ง ทหารขัดขืนหรือละเลยไม่กระทำตามข้อบังคับ ทหารแสดงความอาฆาตหรือหมิ่นประมาทผู้บังคับบัญชาหรือผู้ใหญ่เหนือตน และทหารกำเริบ หมายถึงทหารที่ประพฤติปฏิบัติผิดวินัยรุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ยังมีกฎหมายทหารในรูปแบบของพระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยทหาร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2505 ตามมาตรา 5 ได้ตั้งประเด็นความผิดไว้ 9 ประการ เช่น ดื้อ ขัดขืน หลีกเลี่ยง หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาเหนือตน ก่อให้แตกความสามัคคีในคณะทหาร กล่าวคำเท็จ เป็นต้น
เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2495 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทให้กองทัพบก ในหนังสือที่ระลึกวันกองทัพบก 25 มกราคม พ.ศ. 2496 เมื่อ 57 ปีมาแล้ว ว่า “ทหารพึงสำนึกในเกียรติอันสูงสุดของตน ที่เป็นผู้มีหน้าที่คุ้มครองและรักษาไว้ซึ่งเอกราชของประเทศชาติ และอันอยู่ในสัตย์และวินัยของทหาร ตามนัยพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงร่วมการจัดระเบียบกองทัพบกให้เข้ารูปตามสมัยนิยม ที่ได้พระราชทานไว้ในคราวทรงรับคฑาทหารบก เมื่อ พ.ศ. 2446 ซึ่งมีพระราชดำรัสไว้ด้วยว่า ”ทหารเป็นผู้แปลกกว่าโจร ก็เพราะเป็นผู้มีความสัตย์ ถือมั่นในวินัยของทหาร คือ ใช้ศาสตราวุธในการรักษาชาติ ศาสนา และบ้านเมือง มีความกล้าหาญไม่คิดแต่ความยากและชีวิต” ดังนี้
“ฉะนั้น ขอทหารทั้งหลายจงสังวร และยืนอยู่ในคุณธรรมที่ว่านั้นให้จงมาก เพื่อความเจริญรุ่งเรืองแห่งกองทัพบกไทย”
นัยแห่งความสัตย์ก็คือ คำสาบานที่ทหารทุกคนได้กล่าวให้ไว้ต่อธงไชยเฉลิมพล อันเป็นสัญลักษณ์แทนชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ สรุปได้ว่า ทหารจักยอมตายเพื่ออิสรภาพและความสงบแห่งประเทศชาติ จะเชิดชูและรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า และจักเชื่อถือผู้บังคับบัญชาและปฏิบัติตามคำสั่งโดยเคร่งครัด ทั้งจักปกครองแด่ผู้ใต้บังคับบัญชาโดยยุติธรรม เป็นต้น
โรงเรียนนายร้อยทหารบกเชื่อว่าเกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1682 แต่ล้มเหลว ต่อมาพระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 มหาราช แห่งจักรวรรดิรัสเซีย ก่อตั้งโรงเรียนนายร้อยทหารบกรัสเซียขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1689หรือ พ.ศ. 2432 ซึ่งยังเป็นช่วงตอนปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระมหากษัตริย์องค์ที่ 27 แห่งราชอาณาจักรอยุธยา ต่อกับรัชสมัยของพระเพทราชาผู้ถูกจับตัว เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ คอนสแตนติน ฟอลคอน ชาวกรีก ประหารชีวิตและส่งกำลังทหารไปควบคุมหน่วยทหารฝรั่งเศสที่ประจำการ ณ ป้อมวิไชยประสิทธิ์
พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 มหาราช ตรัสถามเสนาธิการผู้ทรงวุฒิว่า “จะทำอย่างไร ให้กองทัพมีประสิทธิภาพเป็นเลิศ” บรรดาเสนาธิการผู้ทรงคุณวุฒิกราบถวายบังคมทูลว่า “ประการแรก ต้องสร้างกองทัพให้เป็นระบบ และดำรงรักษาและปรับปรุงกองทัพอย่างต่อเนื่องและด้วยการฝึกทหารอย่างทรหด ประการที่สอง ทหารต้องรับรู้และยอมรับตลอดจนเชื่อมั่นในพลานุภาพของกองทัพแห่งตน และประการสุดท้าย ทหารต้องเชื่อมั่นในผู้บังคับบัญชา”
จึงเกิดปรัชญาการฝึกนายทหารอย่างเป็นระบบ มีเอกภาพ มีเอกลักษณ์ และความรักหมู่คณะ เพื่อให้เกิดวินัย ความอดทน และเชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา เกิดขึ้นตั้งแต่นั้นมา และแพร่กระจายไปทั่วทวีปยุโรป เช่น โรงเรียนนายร้อยวูลลิชแห่งสหราชอาณาจักร เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1741 อันเป็นสถานศึกษาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเข้ารับการศึกษา ส่วนโรงเรียนนายร้อยแซนเฮิสต์แห่งสหราชอาณาจักรเช่นกัน เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1799 ที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นศิษย์เก่า
วินัยทหารมีความสำคัญ เพราะชนะหรือแพ้อยู่ที่วินัยทหารแม้ว่าเป็นขั้นพื้นฐาน เช่น การสั่งยิงของหมู่ปืนเล็ก หากขาดวินัยแล้วจะเกิดผลเสียหลายประการ เช่น ขาดอำนาจการทำลาย เพราะทหารไม่เชื่อฟังผู้บังคับบัญชา แต่ยิงส่งเดชไม่ถูกข้าศึกและทำให้ไม่ประหยัดกระสุนปืน
ดังนั้น วินัยทหารจึงเป็นพื้นฐานของการชนะ และการแพ้ศึก ทำให้สายการบังคับบัญชาของทหารง่าย มีระดับการบังคับบัญชาเป็นชั้นเป็นช่อ มีตัวตายตัวแทน ไม่ซับซ้อน เพราะมีขอบเขตอำนาจหน้าที่ชัดเจน มีพื้นที่รับผิดชอบชัดเจน
การกระทำของ พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ที่ได้ขายตัว ขายอาชีพ ขายศักดิ์ศรี และเกียรติภูมิของตัวเพื่อเงิน อำนาจ และความหลงตัวเองว่าเลอเลิศกว่าคนอื่น ให้กับทักษิณที่ต้องการปกป้องเงินที่ได้โกงชาติบ้านเมืองมา
ขณะนี้ เสธ.แดง กำลังใช้แผนทำลายกองทัพ ด้วยการแสดงความกระด้างกระเดื่อง ให้ร้ายผู้บังคับบัญชา และใช้มวลชนกดดัน ข่มขู่กองทัพ และโฆษณาชวนเชื่อหน่วยทหารให้ไขว้เขว เช่น ในวันนี้ที่ 4 กุมภาพันธ์ ใช้กำลังคนเสื้อแดงราว 50 คน ไปออกันที่หน้ากองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ บางกระบือ ซึ่ง เสธ.แดง มีที่พักอยู่แล้วพูดจาว่ากล่าวเรื่องไม่เป็นเรื่องแต่ต้องการเพียงเป็นข่าว
แผนทำลายกองทัพนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์หนึ่งในสงครามการเมืองที่ทักษิณกำลังดำเนินกลยุทธ์อยู่ แผนนี้มีความสลับซับซ้อนพอสมควร แต่ในชั้นต้นวิเคราะห์ว่า “แผนแดงกำเริบ” กำลังใช้หลักอารยะขัดขืน แต่หลักนี้กระทำได้ยากในหมู่ทหาร แต่หากมีตัวล่อเพื่อให้เกิดประโยชน์ตรงเมื่อมีการลดหย่อนหรือเลือกปฏิบัติ หรือกระทำการฟ้องร้องลงโทษช้าแล้ว หลักอารยะขัดขืนก็อาจจะเกิดขึ้นในกองทัพเพราะทหารที่มีความประพฤติไม่ค่อยดีอยู่แล้วเอาเป็นตัวอย่าง
อำนาจเงินย่อมซื้อคนได้ทุกระดับ ตั้งแต่พลทหาร ยันพลเอก และคนที่ เสธ.แดง กำลังประสานซื้อตัวอยู่ ก็ให้เพียงหลีกเลี่ยงไม่ขัดคำสั่ง หรือการไม่ปฏิบัติอย่างเข้มแข็ง เช่น การลาป่วยการเมืองหลายๆ คนพร้อมกัน เช่น ถ้าจ่ากองร้อยเกือบทั้งหมดป่วยการเมืองเพราะอำนาจเงิน หรือผู้บังคับหมวดเกือบทั้งหมดในกรมทหารราบป่วยการเมือง กลไกการบังคับบัญชาจะถูกตัดตอน หน่วยทหารย่อมขาดพลานุภาพในการดำเนินกลยุทธ์ทุกรูปแบบ
ดังนั้น การใช้คนเสื้อแดงแสดงพลังกดดันค่ายทหารก็ด้วยสาเหตุหลัก 2 ประการ คือ ยั่วยุให้ทหารกระทำการรุนแรงตอบโต้ แล้วคนเสื้อแดงก็จะใช้เป็นข้ออ้างโต้ตอบจนเกิดสงครามย่อย ทหารกับประชาชน ซึ่งสามารถพัฒนาได้ เพราะขณะนี้ พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี ออกข่าวการสถาปนากองทัพแดง ซึ่งอุปโลกน์ให้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นแม่ทัพ บัญชาการเหมือนครั้งวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 แม้ว่า พลเอกชวลิต จะปฏิเสธอย่างไรก็ตาม โมเมนตัมสงครามจิตวิทยาก็แพร่กระจายไปทั่วทหารเสื้อแดงปลายแถวแถบอีสานเรียบร้อยแล้วว่า “พ่อใหญ่จะเป็นแม่ทัพนำรบเอง”
นอกจากการยั่วยุนี้แล้ว คนเสื้อแดงก็สามารถทำลายขวัญทหารได้ด้วยการกดดันลักษณะต่างๆ เพราะทหารระดับล่างจะเกิดความสับสนวุ่นวายใจ และไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งสิ้น เกิดช่องว่างในความคิด จิตสำนึกและอุดมการณ์ ซึ่งขบวนการจิตวิทยาลักษณะนี้ทำให้ทหารขัดคำสั่งหรือปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้เต็มที่ อันเป็นผลดีต่อกลุ่มคนเสื้อแดงในการสร้างสถานการณ์ขึ้นยึดอำนาจด้วยกำลังพลทั้งในสภาและนอกสภา
อย่างไรก็ดี การที่ผู้บังคับหน่วยทหารระดับกรมทหารราบหลายหน่วย ออกมาแสดงเจตนารมณ์ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และวินัยทหาร ซึ่งผู้เขียนคิดเช่นนั้นและคงไม่ใช่ออกมาปกป้อง พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.โดยตรง
การที่เน้นตรงว่า ผบ.หน่วยทั้งหลายออกมาปกป้องวินัยนั้น ก็คือการดักคอว่าแผนการยุยงให้ทหารขัดคำสั่งกำลังได้รับการตอบโต้แล้ว เพราะฝ่ายเสื้อแดงได้สำแดงให้เห็นว่านายทหารระดับพลตรีขัดคำสั่ง ผิดวินัยหลายกระทบ ผู้บังคับบัญชายังทำอะไรไม่ได้เต็มที่ ซึ่งเป็นผลเสียต่อการบังคับบัญชาของผู้บังคับหน่วยอย่างแน่นอน ทำให้ผู้บังคับหน่วยทั้งหลายออกมาแสดงศักยภาพและพลังเอกภาพการผู้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นการโต้ตอบ เสธ.แดงโดยตรง ทั้งยังแสดงความเป็นเอกภาพให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นในกองทัพบกเห็นว่าวินัยกองทัพยังดีอยู่
เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้บังคับบัญชรทุกระดับชั้นทุกเหล่าทัพจะต้องยึดถือวินัย กฎ ระเบียบ และแบบธรรมเนียมทหารอย่างเคร่งครัดในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะมิฉะนั้นแล้วอาจจะเป็นวาระล่มสลายของกองทัพก็เป็นได้ อย่าได้ประมาทกับข่าวสาร โดยเฉพาะว่าด้วยเรื่องกองทัพแดง เพราะเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยยอมวางอาวุธนั้น มิใช่เงื่อนไขของการยอมแพ้ แต่เพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย ยังคงมีกลุ่มอนาธิปไตยที่มีความเครียดแค้นที่คุกรุ่นอยู่ในใจ หรือความต้องการอำนาจรัฐเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมตามที่พวกเขาคิดว่าดีเลิศ และเชื่อว่าเมื่อพวกเขาได้อำนาจรัฐแล้ว การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นหลายมิติ ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะสายไปแล้ว ไม่มีตัวช่วยแล้ว เพราะกองทัพถูกกดไว้ หรือแก่นแท้ของกองทัพถูกทำลายไปแล้ว
ความเด็ดขาดในการจัดการโทษทางวินัยของ พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล จะเป็นหนทางหนึ่งที่ยุติความกังขาของสาธารณชนในความเด็ดขาดเรื่องวินัยทหารได้อย่างสมบูรณ์แบบ หรือแม้ไม่ผิดก็ต้องบอกสังคมด้วย และเมื่อพลตรีขัตติยะ ไม่ได้เป็นทหารแล้ว บทบาทในการชักนำกองทัพไปในทางลบก็ยุติไปด้วย จึงเป็นเรื่องที่กองทัพบกต้องเอาจริงเอาจัง รวดเร็ว เด็ดขาด มิฉะนั้นแล้วจะเกิด เสธ.แดง อีกหลายคน เพราะเงินแปรธาตุในจิตสำนึกคนได้
nidd.riddhagni@gmail.com