นางสาวชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ จะร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) กระทรวงอุตสาหกรรม ออกตรวจสอบปริมาณการใช้น้ำตาลของผู้ได้รับสิทธิ์ตามโควตาค. (โควตาส่งออก) ว่ามีการใช้สิทธิ์ตามที่ได้รับจริงหรือไม่ เพราะน้ำตาลภายในประเทศตึงตัว ซึ่งเชื่อว่าเป็นผลมาจากผู้ได้สิทธิ์โควตาค. หันมาใช้น้ำตาลโควตาก.(น้ำตาลภายในประเทศ) แทน และไม่ได้เกิดจากการขาดแคลน เพราะราคาส่งออกขณะนี้สูงกว่าราคาน้ำตาลภายในประเทศ
ทั้งนี้ ยืนยันว่าปริมาณน้ำตาลทรายสำหรับการบริโภคภายในเพียงพอต่อความต้องการแน่นอน ซึ่งกรมฯ ได้ออกตรวจสอบร้านค้าปลีกค้าส่ง (ยี่ปั๊วซาปั๊ว) และห้างค้าปลีก อย่างต่อเนื่อง ไม่พบปัญหาการกักตุนหรือขาดแคลน จึงขอประชาชนอย่าตื่นตกใจ โดยราคาขายปลีกน้ำตาลทรายภายในประเทศมีเพดานกำหนดขายไม่เกินกก.ละ 23.50 บาท
“ที่ผ่านมา ได้ตรวจสอบต่อเนื่อง และจนถึงขณะนี้ยังไม่พบปัญหาน้ำตาลขาดตลาดแคลน แต่ที่เกิดภาวะตึงตัวน่าจะมาจากผู้ใช้โควตาค. ไม่ยอมใช้น้ำตาลในสัดส่วนที่ได้จัดสรรไว้ให้ เพราะต้องซื้อในราคาตลาดโลก ซึ่งแพงกว่าราคาภายใน ดังนั้น หากตรวจสอบพบจะดำเนินการทันที”นางสาวชุติมากล่าว
นางสาวชุติมากล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) วันที่ 22 ก.พ. ที่มีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศในฐานะประธานคณะกรรมการน้ำตาลทราย จะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาออกมาตรการลงโทษผู้ใช้น้ำตาลโควตาค. ที่ไม่ใช้สิทธิที่จัดสรรไว้ โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการนั้นๆ ต้องถูกยกเลิกการได้รับสิทธิโควตาค.เป็นเวลา 5 ปีซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมดังกล่าวจะต้องซื้อน้ำตาลในประเทศตามราคาที่กำหนดไว้ และหากราคาน้ำตาลตลาดโลกถูกลง ก็จะไม่มีสิทธิ์ได้ใช้
พร้อมกันนี้ นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงกลาโหมเพื่อขอความร่วมมือให้ทหารตามแนวชายแดนที่ติดกับเพื่อนบ้าน กวดขันไม่ให้เกิดการลักลอบส่งออกน้ำตาลไปต่างประเทศเพื่อหวังส่วนต่างราคาภายในกับภายนอก
อย่างไรก็ตาม กรมฯ มีแผนจะเสนอขอปริมาณน้ำตาลทรายจากโควตางวดปกติปริมาณ 4 แสนกระสอบ หรือ 4 หมื่นตัน เตรียมไว้หากเกิดความจำเป็น หรือเกิดปัญหาการเข้าไม่ถึงน้ำตาลทราย ก็จะนำน้ำตาลส่วนนี้มาจัดสรรให้ทันที
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า การสำรวจสถานการณ์ซื้อขายปลีกน้ำตาลทรายในเขตกรุงเทพฯ พบว่าประสบปัญหาปริมาณตึงตัว และมีราคาขายปลีกสูงกว่าเพดานที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด 23.50 บาท โดยในร้านค้าปลีกสมัยใหม่และซูเปอร์มาร์เก็ต พบว่าได้จำกัดปริมาณซื้อ 12 ถุงต่อ 1 ครอบครัว ขณะที่บางสาขาไม่เหลือน้ำตาลทรายขาวบรรจุถุงวางขายตามชั้นเลย เหลือเพียงน้ำตาลทรายสีธรรมชาติ และน้ำตาลทรายชนิดพิเศษเท่านั้น เมื่อสอบถามพนักงานได้รับการชี้แจงว่า ช่วงนี้น้ำตาลทรายในสต็อกเหลือน้อย จึงจำกัดปริมาณซื้อเพื่อกระจายสินค้าไปถึงมือผู้บริโภคให้มากที่สุด และป้องกันไม่ให้เกิดการซื้อกักตุน หรือนำไปขายทำกำไรต่อ
ขณะที่การสำรวจร้านขายปลีกรายย่อย และร้านโชห่วย แม้ว่ามีน้ำตาลทรายขาววางจำหน่าย แต่ส่วนใหญ่ขาย กก.ละ 25 บาท เกินกว่าเพดานกำหนด เนื่องจากต้นทุนที่รับมาจากร้านยี่ปั๊ว ซาปั๊วเพิ่มสูงถึงกก.ละเกือบ 24 บาท จึงต้องบวกกำไรเพิ่มอีกเล็กน้อย อีกทั้งยังสั่งได้จำนวนจำกัด เพราะหากไม่นำมาขายเลยถูกลูกค้าบ่นกันมาก ส่วนตัวแทนร้านค้าส่ง ยี่ปั๊วะ ซาปั๊วชี้แจงว่าต้นทุนเพิ่มสูงตั้งแต่หน้าโรงงาน ทำให้ราคาขายส่งเพิ่มขึ้น โดยราคาขายส่งตอนนี้ตกกระสอบ 25 กก. อยู่ที่ 600 บาท หรือเฉลี่ย กก.ละ 24 บาท และปัจจุบันยังสั่งของได้ไม่มากเหมือนก่อน หากเมื่อก่อนซื้อ 20 กระสอบก็จะได้เลย แต่ตอนนี้ได้ของแค่ 5 กระสอบเท่านั้น อีกทั้งยังต้องมีการซื้อตั๋วล่วงหน้าด้วย ไม่ได้สั่งซื้อแล้วจะได้ของทันที
ทั้งนี้ ยืนยันว่าปริมาณน้ำตาลทรายสำหรับการบริโภคภายในเพียงพอต่อความต้องการแน่นอน ซึ่งกรมฯ ได้ออกตรวจสอบร้านค้าปลีกค้าส่ง (ยี่ปั๊วซาปั๊ว) และห้างค้าปลีก อย่างต่อเนื่อง ไม่พบปัญหาการกักตุนหรือขาดแคลน จึงขอประชาชนอย่าตื่นตกใจ โดยราคาขายปลีกน้ำตาลทรายภายในประเทศมีเพดานกำหนดขายไม่เกินกก.ละ 23.50 บาท
“ที่ผ่านมา ได้ตรวจสอบต่อเนื่อง และจนถึงขณะนี้ยังไม่พบปัญหาน้ำตาลขาดตลาดแคลน แต่ที่เกิดภาวะตึงตัวน่าจะมาจากผู้ใช้โควตาค. ไม่ยอมใช้น้ำตาลในสัดส่วนที่ได้จัดสรรไว้ให้ เพราะต้องซื้อในราคาตลาดโลก ซึ่งแพงกว่าราคาภายใน ดังนั้น หากตรวจสอบพบจะดำเนินการทันที”นางสาวชุติมากล่าว
นางสาวชุติมากล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) วันที่ 22 ก.พ. ที่มีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศในฐานะประธานคณะกรรมการน้ำตาลทราย จะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาออกมาตรการลงโทษผู้ใช้น้ำตาลโควตาค. ที่ไม่ใช้สิทธิที่จัดสรรไว้ โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการนั้นๆ ต้องถูกยกเลิกการได้รับสิทธิโควตาค.เป็นเวลา 5 ปีซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมดังกล่าวจะต้องซื้อน้ำตาลในประเทศตามราคาที่กำหนดไว้ และหากราคาน้ำตาลตลาดโลกถูกลง ก็จะไม่มีสิทธิ์ได้ใช้
พร้อมกันนี้ นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงกลาโหมเพื่อขอความร่วมมือให้ทหารตามแนวชายแดนที่ติดกับเพื่อนบ้าน กวดขันไม่ให้เกิดการลักลอบส่งออกน้ำตาลไปต่างประเทศเพื่อหวังส่วนต่างราคาภายในกับภายนอก
อย่างไรก็ตาม กรมฯ มีแผนจะเสนอขอปริมาณน้ำตาลทรายจากโควตางวดปกติปริมาณ 4 แสนกระสอบ หรือ 4 หมื่นตัน เตรียมไว้หากเกิดความจำเป็น หรือเกิดปัญหาการเข้าไม่ถึงน้ำตาลทราย ก็จะนำน้ำตาลส่วนนี้มาจัดสรรให้ทันที
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า การสำรวจสถานการณ์ซื้อขายปลีกน้ำตาลทรายในเขตกรุงเทพฯ พบว่าประสบปัญหาปริมาณตึงตัว และมีราคาขายปลีกสูงกว่าเพดานที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด 23.50 บาท โดยในร้านค้าปลีกสมัยใหม่และซูเปอร์มาร์เก็ต พบว่าได้จำกัดปริมาณซื้อ 12 ถุงต่อ 1 ครอบครัว ขณะที่บางสาขาไม่เหลือน้ำตาลทรายขาวบรรจุถุงวางขายตามชั้นเลย เหลือเพียงน้ำตาลทรายสีธรรมชาติ และน้ำตาลทรายชนิดพิเศษเท่านั้น เมื่อสอบถามพนักงานได้รับการชี้แจงว่า ช่วงนี้น้ำตาลทรายในสต็อกเหลือน้อย จึงจำกัดปริมาณซื้อเพื่อกระจายสินค้าไปถึงมือผู้บริโภคให้มากที่สุด และป้องกันไม่ให้เกิดการซื้อกักตุน หรือนำไปขายทำกำไรต่อ
ขณะที่การสำรวจร้านขายปลีกรายย่อย และร้านโชห่วย แม้ว่ามีน้ำตาลทรายขาววางจำหน่าย แต่ส่วนใหญ่ขาย กก.ละ 25 บาท เกินกว่าเพดานกำหนด เนื่องจากต้นทุนที่รับมาจากร้านยี่ปั๊ว ซาปั๊วเพิ่มสูงถึงกก.ละเกือบ 24 บาท จึงต้องบวกกำไรเพิ่มอีกเล็กน้อย อีกทั้งยังสั่งได้จำนวนจำกัด เพราะหากไม่นำมาขายเลยถูกลูกค้าบ่นกันมาก ส่วนตัวแทนร้านค้าส่ง ยี่ปั๊วะ ซาปั๊วชี้แจงว่าต้นทุนเพิ่มสูงตั้งแต่หน้าโรงงาน ทำให้ราคาขายส่งเพิ่มขึ้น โดยราคาขายส่งตอนนี้ตกกระสอบ 25 กก. อยู่ที่ 600 บาท หรือเฉลี่ย กก.ละ 24 บาท และปัจจุบันยังสั่งของได้ไม่มากเหมือนก่อน หากเมื่อก่อนซื้อ 20 กระสอบก็จะได้เลย แต่ตอนนี้ได้ของแค่ 5 กระสอบเท่านั้น อีกทั้งยังต้องมีการซื้อตั๋วล่วงหน้าด้วย ไม่ได้สั่งซื้อแล้วจะได้ของทันที