xs
xsm
sm
md
lg

“สองมาตรฐาน” ตัวจริง

เผยแพร่:   โดย: เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง


ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต


ถามว่า สังคมไทยมีการปฏิบัติแบบสองมาตรฐานอยู่จริงมั๊ย ?
ตอบได้ทันทีว่า จริง!

ถามว่า การปฏิบัติแบบสองมาตรฐานในสังคมไทย เป็นเรื่องที่ชอบ เห็นด้วย หรือสนับสนุนมั๊ย ?

ตอบได้ทันทีอีกเหมือนกันว่า ไม่ชอบ ไม่สนับสนุน และอยากจะให้เลิกมากที่สุดคนหนึ่ง!

แต่ถ้าถามว่า การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ภายใต้การนำของทักษิณ ชินวัตร ที่หยิบยกเอาเรื่องสองมาตรฐานมาเป็นข้ออ้างเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ เป็นสิ่งถูกต้อง ชอบธรรม มีเหตุมีผล ควรสนับสนุน หรือไม่?

คำตอบยืนยันชัดเจนได้ยิ่งกว่าเดิมว่า ไม่ถูกต้อง ไร้ความชอบธรรม ไร้เหตุผล และสมควรถูกต่อต้านโดยประชาชนผู้ที่รักความเป็นธรรมในสังคมอย่างยิ่ง!

การอ้างเรื่องสองมาตรฐานมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในขณะนี้ เป็นการฉวยโอกาสเพื่อเอาเปรียบสังคมอย่างน่าละอายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

1) “สองมาตรฐาน”
หรือ “Double standard” หมายความว่า การแสดงท่าทีหรือปฏิบัติแตกต่างกันกับบุคคลสองคนหรือสองกลุ่มที่กระทำทุกอย่างเหมือนกัน

พูดง่ายๆ ว่า เลือกปฏิบัติ

เช่น พฤติกรรมเหมือนกัน กระทำเหมือนกัน ภายใต้เงื่อนไข องค์ประกอบ และกฎหมาย กฎ กติตา ข้อบังคับแบบเดียวกันทุกอย่าง แต่ถ้าถูกปฏิบัติแตกต่างกัน ถูกชี้ถูกชี้ผิดแตกต่างกัน ถูกต่อต้านหรือยอมรับแตกต่างกัน อย่างนี้ ก็จะเรียกได้ว่า ถูกปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน เป็นต้น

2) ที่ผ่านมา กรณีชาย-หญิง กระทำเหมือนกัน แต่ผู้หญิงถูกปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน ก็มีอยู่มาก
เช่น

ผู้ชาย หากก่อนแต่งงาน ผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับหญิงมาเยอะ ก็จะถูกอธิบายว่า “มีประสบการณ์” แต่ถ้าผู้หญิงผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาเยอะ กลับถูกตราหน้าว่า “ร่าน” หรือเป็น “หญิงชั่ว มั่วผู้ชาย”

หรือ ผู้ชายที่แต่งงานแล้ว หากออกไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอื่นนอกบ้าน เช่น ซื้อบริการทางเพศ หรือไปอาบอบนวด ก็จะบอกตัวเองว่า “ไปกินข้าวนอกบ้าน” – “ไปเปลี่ยนบรรยากาศ” แต่ถ้าผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ไปมีกิ๊ก หรือมีความสัมพันธ์นอกบ้าน กลับจะถูกตราหน้าว่า “นังแพศยา” – “คบชู้สู่ชาย” หรือ “นังวันทอง-กากี”

เรื่องนี้มีการปฏิบัติกันตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน การปฏิบัติสองมาตรฐานเช่นนี้ ก็ยังมีอยู่มาก ตั้งแต่ระดับชาวบ้าน ผู้มีอิทธิพล ข้าราชการ ไปจนถึงนักการเมือง

อดีตนายกฯ บางคนชอบเลี้ยงดูนักร้อง ไปตีกอล์ฟ ไปมัลดีฟด์ ไปคาราโอเกะ, บางคนพาผู้หญิงเข้าม่านรูด ซื้อตู้เย็นให้, บางคนเห็นแก่ตัว มองบ้านใหญ่ไม่แจ่มใส ก็หันไปลุ่มหลงหมวยบ้านเล็กจากต่างแดน เป็นต้น

3) ที่ผ่านมา กรณีเจ้านาย-ลูกน้อง หรือผู้มีอำนาจกับผู้ใต้บังคับบัญชา กระทำเหมือนกัน แต่ถูกปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน ก็มีอยู่เยอะ เช่น

เจ้านาย หากมาทำงานสาย ไม่ตรงตามกฎของบริษัท ก็จะถูกอธิบายว่า “ท่านมีภารกิจรัดตัว” หรือ “ท่านทำงานนอกเวลา” แต่ถ้าลูกน้องมาทำงานสาย หรือออกไปนอกออฟฟิศในเวลางาน กลับจะถูกเพ่งเล็งเล่นงานทันทีว่า “ไร้ระเบียบวินัย” หรือ “ไม่บริหารจัดการเวลาให้ดี”

หรือ บุคลากรในโรงงาน ที่ถูกกำหนดให้ใส่เครื่องแบบ หรือยูนิฟอร์มเป็นสีต่างๆ กันไป เช่น ฝ่ายธุรการสีเขียว ฝ่ายช่างสีส้ม ฝ่าย รปภ.ก็ใส่อีกแบบหนึ่ง เป็นต้น ถ้าลูกน้องคนไหนไม่ใส่เครื่องแบบมา ก็จะถูกเล่นงาน หรือถูกเพ่งเล็งว่า “ไม่ทำตัวเป็นเอกภาพหนึ่งเดียวกัน” - “ไม่มีวินัย” แต่ถ้าเจ้านายไม่แต่งยูนิฟอร์ม โดยแต่งกายแบบสากล ก็จะถูกอธิบายว่า “ดูภูมิฐาน” – “เป็นหน้าเป็นตาของบริษัท”

หรือ บุคคลากรในโรงพยาบาล ก็จะเห็นว่า เจ้าหน้าที่พยาบาล และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ต่างถูกบังคับให้ต้องแต่งยูนิฟอร์มของตนเอง โดยข้ออ้างเรื่อง “สะอาด” – “เรียบร้อย” ในขณะที่หมอ ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยแต่งยูนิฟอร์ม แต่ก็ไม่ถูกวิจารณ์เรื่อง “ไม่สะอาด” – “ไม่เรียบร้อย” เป็นต้น

4) กรณีบังคับใช้กฎจราจรบนท้องถนน ก็ปรากฏว่ามีการปฏิบัติแบบสองมาตรฐานร่ำไป

บ่อยครั้ง รถกะบะบรรทุกของ รถจักรยานยนต์ รถแท็กซี่ ทำผิดกฎจราจร ถูกจับ ถูกปรับ ในขณะที่รถเก๋งยุโรปคันหรูๆ ป้ายทะเบียนเลขสวยๆ หรือมีสติ๊กเกอร์อวดสังกัดติดกระจกหน้า ทำผิดกฎจราจรเหมือนกัน แต่ไม่ถูกจับ ไม่ถูกปรับ โดยจะถูกอธิบายว่า “ท่านเร่งรีบ” - “ขอสักครั้ง”

การกระทำสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้นในสังคมไทย

บางสมัย ลูกใครหนอขับรถสปอร์ตไปเที่ยวถามคนอื่นตามผับตามบาร์ว่า “มึงรู้มั๊ย กูลูกใคร?” และถึงขั้นว่า ยิงตำรวจตาย ก็ไม่ติดคุก

5) กรณีเล่นหวย

ถ้าเป็นหวยใต้ดิน 2 ตัว 3 ตัว ก็จะถูกมองว่า เป็นอบายมุข เป็นสิ่งเลวร้าย ในแต่ในยุครัฐบาลทักษิณกลับเป็นเจ้ามือทำหวย 2 ตัว 3 ตัว ออกขายกินเงินชาวบ้าน (รูปแบบสลากกินรวบ ไม่ต่างจากหวยใต้ดิน) โดยอธิบายว่า เป็นการหารายได้เข้ารัฐ เป็นประโยชน์ต่อกิจกรรมสาธารณกุศล ฯลฯ

พระพุทธศาสนาสอนว่า การพนันเป็นอบายมุข เป็นหนทางสู่ความฉิบหาย แต่พระบางรูปกลับใบ้หวย หรือซื้อหวย หรือบางรูปก็สนับสนุนให้รัฐบาลเป็นเจ้ามือหวยเสียเอง!

6) กรณีกล่าวหาระบบยุติธรรมมีสองมาตรฐาน หรือ “ยุติความเป็นธรรม” จะพูดลอยๆ แบบไม่รับผิดชอบไม่ได้

การจะเปรียบเทียบว่า คดีใด กับคดีใด เป็นสองมาตรฐานหรือไม่ จะต้องพิจารณาบนพื้นฐาน “ข้อเท็จจริง” - “ข้อกฎหมาย” และพิจารณาคำวินิจฉัยประกอบการพิพากษาในแต่ละคดีที่อาจจะมีพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริง และประเด็นข้อกฎหมายแตกต่างกันไป


ไม่ใช่ดูแค่ผลการตัดสิน

ไม่ใช่ว่า คนนี้ถูกดำเนินคดี ถูกศาลพิพากษาว่าผิด แต่อีกคนหนึ่งถูกดำเนินคดี ศาลพิพากษายกฟ้อง ดูเท่านี้ แล้วก็จะพาล กล่าวหาว่าศาลตัดสินสองมาตรฐานไม่ได้เด็ดขาด

การจะดูว่า ใครโกงหรือไม่โกง ผิดหรือไม่ผิด ดูกันที่พยานหลักฐานในสำนวนเท่านั้น

ถ้าผิดก็คือผิด

ไม่ใช่ไปดูว่าคนๆ นั้น ตลอดชีวิตมีคุณงาม ความดีความเลวเรื่องอื่นๆ อย่างไร

เพราะจะเอาความดีความเลวในเรื่องอื่นๆ หรือของคนอื่นๆ มาเกี่ยวข้องกับการพิจารณาความผิดความถูกที่อยู่ในสำนวนคดีไม่ได้


ในคดีต่างๆ ของทักษิณและพวก ตลอดจนคดีความที่อยู่ในความสนใจของสังคมในขณะนี้ก็เช่นกัน

สองมาตรฐานตัวจริง จึงอยู่ที่ว่า เมื่อศาลพิพากษาให้ตนเป้นฝ่ายชนะคดี ก็ป่าวประกาศ บอกคนอื่นว่า ศาลให้ความเป็นธรรม เคารพศาล เรียกร้องให้คนอื่นเคารพในคำตัดสินของศาล แต่ในคดีที่ศาลพิพากษาว่าตนเองผิด ต้องถูกลงโทษบ้าง กลับป่าวประกาศ ปลุกระดม กล่าวหาว่าศาลไม่ยุติธรรม แต่ยุติความเป็นธรรม ไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาล

มิหนำซ้ำ ยังมีลูกสมุนออกมาข่มขู่ คุกคามผู้พิพากษา กดดันสังคมในลักษณะว่า ถ้าตัดสินให้ฝ่ายทักษิณผิด บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ จะเกิดจลาจล จะถือว่าไม่เป็นธรรม

เสมือนว่า ต้องให้ทักษิณเป็นฝ่ายถูกเท่านั้น จึงจะเรียกว่ายุติธรรม อย่างนั้นหรือ?

7) กรณีการตั้งรัฐบาล


ฝ่ายทักษิณและเสื้อแดง อธิบายว่า รัฐบาลนายสมัครกับรัฐบาลนายสมชาย เป็นรัฐบาลที่จัดตั้งมาอย่างเป็นประชาธิปไตย รวบรวมเสียง ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งจนได้เสียงข้างมาก มีการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในสภา (ก่อนหน้านั้น ก็มีการล็อบบี้ คุยกับคนที่อยู่ดูไบ)

แต่ฝ่ายทักษิณและเสื้อแดง กลับอ้างว่า รัฐบาลปัจจุบันจัดตั้งมาโดยไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎรที่โหวตเลือกนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เป็นสภาชุดเดียวกัน หรือมาจากการเลือกตั้งครั้งเดียวกันกับที่ตั้งนายสมัครและนายสมชายเป็นนายกรัฐมนตรี

ที่สำคัญ ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีนั้น พรรคเพื่อไทยก็เสนอชื่อ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก แข่งกับนายอภิสิทธิ์ เพียงแต่แพ้โหวตในสภา

น่าสงสัยว่า ถ้า พล.ต.อ.ประชา ชนะโหวต ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทักษิณและคนเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวล้มล้างรัฐบาล โดยอ้างว่ามีที่มาไม่เป็นประชาธิปไตยหรือไม่

หรือแท้ที่จริงแล้ว... รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยในทัศนะของทักษิณและเสื้อแดง จะต้องเป็นฝ่ายพรรคพวกของตนเป็นรัฐบาลเท่านั้น จึงจะถือว่าเป็นประชาธิปไตย!

นี่จึงเป็นการปฏิบัติต่อรัฐบาลประชาธิปไตยอย่างสองมาตรฐานของทักษิณและคนเสื้อแดง!

8) คนเสื้อแดงเคลื่อนไหว พยายามชูประเด็นต่อต้านรัฐประหาร ต่อต้านอำมาตย์ แต่กลับจะเอาทักษิณ

ทั้งๆ ที่ ทักษิณคือคนที่ไม่มีประวัติชีวิตโดดเด่นเกี่ยวกับการต่อต้านรัฐประหารมาก่อนเลย ตรงกันข้าม กลับปรากฏว่า เคยวิ่งเต้นเข้าหาพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ แกนนำคณะรัฐประหาร รสช. จนกระทั่งได้สัมปทานผูกขาดดาวเทียม หากินจนร่ำรวย ถึงขั้นเคยพูดถึงบิ๊กจ็อดว่า “ถ้าไม่มีพี่ชายผมคนนี้ ก็ไม่มีวันนี้”

และจะด้วยธาตุแท้ของคนเยี่ยงนี้หรือไม่...
เมื่อแสดงบทผู้นำการต่อสู้ ทำการปลุกระดมชาวบ้านออกมาต่อสู้ โหมกระพือว่า “อย่ากลับบ้านมือเปล่า” – “มีแต่บุก ไม่มีถอย” – “ถ้าเสียงปืนแตก จะกลับมานำพี่น้องเดินเข้ากรุงเทพ” – “ชวนกันออกมาให้เยอะๆ” ฯลฯ แต่พฤติกรรมของทักษิณและครอบครัว กลับหอบหิ้ว พากันหลบหนีออกไปอยู่นอกประเทศ

ทิ้งประชาชนในยามคับขัน

เท่ากับว่า ทักษิณและแกนนำเสื้อแดงนั่นเอง ที่กำลังกระทำสองมาตรฐานอย่างประเจิดประเจ้อที่สุด!

9) เรื่องสองมาตรฐานในสังคมไทย ไม่ได้เพิ่งเป็นปัญหาในตอนนี้


แต่เป็นปัญหาสำคัญ ซึ่งพสกนิกรชาวไทยยังจำได้ดี ตั้งแต่ปี 2544 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัส ความบางตอนว่า

โดยความข้างต้น เป็นพระราชดำรัส พระราชทานในโอกาส 5 ธันวาคม 2544 ซึ่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) นำคณะผู้บริหารประเทศเข้าเฝ้า เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2544
กำลังโหลดความคิดเห็น