ASTVผู้จัดการรายวัน-"ลิ่วล้อแม้ว" สู่รู้ว่าองค์คณะพิพากษาไม่ครบ ตัดสินยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านส่อเลื่อน "เทือก" อัดฉีด 50 ล้านตรึงกำลังทั่วประเทศ ด้านปณิธาน แฉพิรุธเส้นทางเงินเข้าแกนนำแดงถ่อย ชี้หากถึงมือ "ฮาร์ดคอร์" จะอันตราย
เมื่อเวลา 10.45 น. วานนี้ (9 ก.พ.) ที่พรรคเพื่อไทย กลุ่มกรุงเทพ 50 นำโดย พ.ต.ท.กุลธน ประจวบเหมาะ สมาชิกพรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้ากลุ่มกรุงเทพ 50 แถลงว่า ทางกลุ่มฯ จะจัดเสวนาทิศทางประเทศไทยปี 2553 ในวันที่ 22 ก.พ. เวลา 18.00-22.00 น. ในรูปแบบโต๊ะจีน 200 โต๊ะ ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมมิราเคิลแกรนด์
ทั้งนี้ ได้เชิญนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นายคณิน บุญสุวรรณ อดีต ส.ส.ร. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา และนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เข้าร่วมเสวนาด้วย
"ไฮไลต์สำคัญของงานนี้คือ จะมีวีดิโอลิงค์จากต่างประเทศของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาร่วมเสวนาด้วย เพราะการจัดเสวนาจะมีขึ้นก่อนที่จะมีการตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท เพียง 4 วัน ดังนั้นเราจะได้รู้ถึงจิตใจของพ.ต.ท.ทักษิณในขณะนั้น ว่ารู้สึกอย่างไร" พ.ต.ท.กุลธน กล่าว
**ปูดองค์พิพากษาอาจไม่ครบ
ด้านนายพรศักดิ์ ศรีละมุล แกนนำกลุ่มกรุงเทพ 50 กล่าวว่า ไม่ว่าสถานการณ์ในขณะนั้นจะล่อแหลม หรือรุนแรงเพียงใด ใครจะทะเลาะกับใคร เราก็ยืนยันที่จะจัดเสวนาดังกล่าว เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ยืนยันว่าจะวีดิโอลิงค์เข้ามา หลายสิ่งหลายอย่างจะกระจ่างชัดในวันนั้น เชื่อว่าการตัดสินคดียึดทรัพย์ อาจเกิดเหตุการณ์องค์พิพากษาไม่ครบ ส่งผลให้ยื้อเวลาการตัดสินคดีออกไปเรื่อยๆได้
**ลิ่วล้อเพ้อ ยึดทรัพย์ได้ ก็เอาคืนได้
นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ในฐานะอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา กล่าวถึงกระแสข่าวที่บรรดา ส.ส.ในพรรคเพื่อไทย ต่างวิพากษ์วิจารณ์โดยเชื่อว่า ศาลฎีกาฯ จะพิพากษา ยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ของพ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งหมดว่า เรื่องนี้ต้องมองไปข้างหน้าแล้วไม่ใช่มองแค่วันที่ 26 ก.พ. ยึดก็ยึดไป เราก็ไปเอากลับคืนมาได้ โดยใช้มติมหาประชาชน ซึ่งหลังการเลือกตั้ง เมื่อพรรคเพื่อไทยชนะ เพราะจะมีคนสงสารพ.ต.ท.ทักษิณมาก เมื่อได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เราจะเอาทรัพย์สินคืนมาทั้งหมด แต่ไม่ใช่การออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะถ้าทำในรูปนี้ เท่ากับว่าเป็นการยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิด โดยกระบวนการมีแล้วเตรียมการไว้แล้ว
ด้านนายนิยม วรปัญญา ส.ส.ลพบุรี กล่าวว่า ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเอาไปได้อย่างไร ถ้ายึดไปก็เอากลับคืนมาได้ เพราะเคยมีตัวอย่างแล้ว เช่น จอมพลถนอม กิตติขจร และ จอมพลประภาส จารุเสถียร ที่ต่อมาภายหลังก็เอาทรัพย์สินคืนได้บางส่วน ซึ่งกระบวนการ ก็ทำได้หลายอย่าง แม้ศาลจะตัดสินไปแล้ว เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
**"แม้ว"ให้เสื้อแดงสามัคคีเพื่องานใหญ่
ด้านพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เขียนข้อความลงบนเว็บไซต์ทวิตเตอร์ดอทคอม เมื่อเวลา 11.15 น. วานนี้ ถึงกรณีความขัดแย้งระหว่าง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำกลุ่ม นปช. กับพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย และพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกว่า
"ขอขอบคุณคนเสื้อแดงที่เป็นห่วงความขัดแย้ง และได้โทรมาหาผมกันเยอะ ตอนนี้คงเบาใจกันบ้าง เพราะต่างคนต่างลดฐิติลง งานใหญ่รออยู่ต้องเป็นหนึ่งเดียว"
ต่อมาเมื่อเวลา 16.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เขียนข้อความลงบนเว็บไซต์ ทวิตเตอร์ดอทคอม โต้ตอบกับผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งว่า
"ภายใต้รัฐบาลนี้อย่าหวังความแฟร์ อย่าหวังความสมานฉันท์ โอกาสที่อำมาตย์ ช่วยปล้นอำนาจให้ ทำได้ไม่บ่อย จึงต้องมีคติ อยู่ให้นาน กินให้ไว"
ด้านพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน ว่า ไม่มีอะไรเลย หางเครื่องก็ไม่มี จบเรื่องแล้ว เรียบร้อยดีทุกคน เขาคุยกันแล้วเมื่อวันที่ 8 ก.พ. ตอนนี้ทุกคนก็มีความรักระหว่างกันเหมือนเดิมทุกอย่าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทั้ง 2 ฝ่ายจะทำงานร่วมกันได้หรือไม่ พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า แน่นอนที่สุด ไม่ต้องห่วง สำหรับกรณีที่ระบุว่า มีการคุยกันแล้วนั้น เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ต่อสายมาเคลียร์ปัญหาใช่หรือไม่ พล.อ.ชวลิต ไม่ยอมตอบคำถามดังกล่าว
**มอบอำนาจผู้ว่าฯกำราบม็อบแดง
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง กล่าวถึงมาตรการดูแลความเรียบร้อยใน 38 จังหวัดทั่วประเทศ ที่มีความล่อแหลมต่อต่อการก่อความวุ่นวาย ของกลุ่มเสื้อแดงว่า ได้สั่งการไปยังจังหวัดต่างๆ ให้ติดตาม ตรวจสอบ ดูแลสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และหากมีกรณีที่การข่าวเห็นว่าจะเกิดอันตรายกับสถานที่ราชการ ก็ให้ผู้ว่าฯมีอำนาจที่จะสั่งใช้กำลัง ทั้งตำรวจ ทหาร และพลเรือน เพื่อเฝ้าดูแล ระวัง รักษาสถานที่ราชการ และดูแลรักษาความเรียบร้อยในจังหวัด และให้รายงานให้ทราบได้ตลอดเวลา ซึ่งผู้ว่าฯ ทั้ง 38 จังหวัดจะมีอำนาจเด็ดขาดในการสั่งการเจ้าหน้าที่ได้ทั้งหมด ในฐานะที่เป็น ผอ.กอ.รมน.จังหวัด
"ที่เราต้องดำเนินการอย่างนี้ ก็เพราะกลุ่มเสื้อแดง หรือแกนนำหลายคนออกมาพูดจาปลุกระดมในพื้นที่ต่างๆ แล้วประกาศว่า เมื่อถึงวันเวลานั้น เวลานี้ ก็จะไปยึดศาลากลางจังหวัด ให้เอาน้ำมันไปด้วย ไม่ใช่การต่อสู้ตามระบอบวิถีทางประชาธิปไตย ใช้ความรุนแรง ใช้กำลัง สร้างสถานการณ์ให้เกิดการจลาจล เพื่อให้เกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐ กับกลุ่มคนเหล่านี้ แล้วจะได้เอาไปเป็นข้ออ้างในการขยายผล ทำสิ่งที่เขาเรียกว่า สงครามประชาชน แต่ขอประชาชนอย่ากังวลใจ เพราะผมเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่เขาต่อต้าน เขาไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง ไม่ว่าใครจะทำก็ตาม และยืนยันว่า ได้กำชับเจ้าหน้าที่ไม่ให้ใช้ความรุนแรงเด็ดขาด ต้องเข้มแข็ง ต้องเป็นหลักให้ประชาชนให้ได้ ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดเหตุร้ายเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาในสมัยรัฐบาลก่อน รัฐบาลนี้ จะพยายามไม่ให้เกิดเหตุอย่างนั้น" รองนายกฯ กล่าว
**ตั้งด่านสกัดก่อนทะลักเข้ากรุง
นายสุเทพ กล่าวด้วยว่ากำลังเจ้าหน้าที่ที่จะดูแลความสงบเรียบร้อยนั้นไม่ได้ส่งไปจากกทม. แต่เป็นการผสมกำลังกันขึ้นในจังหวัด โดยมีตำรวจของแต่ละจังหวัดเป็นกำลังหลัก นอกนั้นก็อยู่ที่ดุลพินิจของผู้ว่าฯ ที่จะใช้กำลังฝ่ายใดมาเสริม ถ้าจังหวัดนั้นมีหน่วยทหารอยู่ ก็ขอกำลังเสริมได้ หากกำลังหลักที่มีอยู่ไม่เพียงพอ
เมื่อถามว่าใน กทม.มีการตั้งจุดสกัดไว้ถึง 200 จุด จะทำให้เห็นว่า สถานการณ์ส่อเค้าความรุนแรงหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า เราจำเป็นต้องเข้มงวดเพราะเราเคยเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วในช่วงเดือนเม.ย. ปีที่ผ่านมา ซึ่งหลักการของตนก็คือ จะต้องดำเนินการเพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ได้รับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
"ต่อไปนี้ถ้าผมเห็นว่ามันจะเกิดเหตุ ผมจะไม่รอให้คนมา เราจะเอากำลังของเราออกมาก่อน เราจะรักษาพื้นที่ รักษาบ้านเมืองของเราก่อน" นายสุเทพกล่าว
**ทหารพร้อมสนับสนุนตำรวจ
พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวว่า กองทัพพร้อมสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการรับมือการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงใน 38 จังหวัด ตามที่รัฐบาลได้ประเมินว่า จะมีการตั้งกองกำลังติดอาวุธ และเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายในช่วงก่อนและหลังการตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น ซึ่งขณะนี้ทางตำรวจยังไม่ได้ร้องขอกำลังสนับสนุนจากทหาร โดยในเบื้องต้นคงเป็นหน้าที่ของตำรวจ ทหารจะเข้าไปร่วมได้ก็ต่อเมื่อมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง หรือได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน
"การที่รัฐบาลออกมาตรการรับมือเช่นนี้ ก็เพื่อเป็นการ ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ โดยยอมรับว่า กรุงเทพฯ และปริมณฑล ถือเป็นพื้นที่เสี่ยง เพราะหลายครั้งมักเกิดเหตุความวุ่นวาย แต่ยืนยันว่าไม่ใช่การสกัดกั้นคนเสื้อแดง ที่จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ และปริมณฑลแต่อย่างใด"
**12-19 ก.พ.เคลื่อนกำลังไปฝึกซ้อม
รายงานจากกองทัพบกแจ้งว่า ในวันที่ 14–19 ก.พ. นี้ กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน จะทำการเคลื่อนกำลังทหารพร้อมยุทโธปกรณ์ ไปทำการฝึกภาคสนามประจำปี โดยจะเคลื่อนย้ายออกจากที่ตั้งหน่วยทหารในพื้นที่ดอนเมือง และเขตดุสิต กรุงเทพฯ ในวันที่ 14 ก.พ.53 เวลา 05.00 น. ใช้การเดินทางโดยรถไฟ และรถยนต์ เพื่อไปยังพื้นที่ จ.ลพบุรี และจะเคลื่อนย้ายกลับในวันที่ 19 ก.พ.53 นอกจากนี้ในช่วง 12 -14 ก.พ.53 กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ จะทำการเคลื่อนย้ายทหาร พร้อมยุทโธปกรณ์กลับจากการฝึกภาคสนาม จาก จ.กาญจนบุรี กลับเข้าสู่ที่ตั้งหน่วย ในกรุงเทพฯ
**"ปทีป"สั่งรับมือม็อบแดง
พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีกลุ่มเสื้อแดง จะเดินทางมาชุมนุมที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติในวันนี้ ( 10 ก.พ.) ว่า ยังไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่ากลุ่มเสื้อแดงจะมาเรียกร้องอะไร อย่างไรก็ตาม เราได้เตรียมกำลังไว้แล้วโดยมีกองบัญชาการตำรวจสันติบาลดูภายใน และกองบัญชาการตำรวจนครบาลดูแลรอบนอก พร้อมทั้งเตรียมการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร และเฝ้าระวังไม่ให้มีมือที่ 3 มาก่อความวุ่นวาย ตนเองเชื่อว่า จะไม่มีเหตุรุนแรงใดๆ นอกจากนั้นยังกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ปล่อยให้กลุ่มเสื้อแดงเข้ามาบริเวณด้านในสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยเด็ดขาด ให้ชุมนุมได้บริเวณภายนอกเท่านั้น
**พบพิรุธเส้นทางเงินแกนนำแดง
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประเมินว่า กลุ่มเสื้อแดงได้วางแผนการเคลื่อนไหวเป็นสองจังหวะ คือจังหวะแรกสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่จนทำให้ไม่สามารถพิพากษาคดียึดทรัพย์ในวันที่ 26 ก.พ.ได้ แต่ขณะนี้เสื้อแดงรู้ตัวแล้วว่า 26 ก.พ.เร็วเกินไป ทำตามเป้าหมายไม่ได้ จึงประเมินกันใหม่ว่าจะเคลื่อนไหวหากผลการตัดสินไม่เป็นที่พอใจ ดังนั้นเสื้อแดงจึงจะชุมนุมกันตั้งแต่ก่อน และหลัง 26 ก.พ.
ในส่วนรัฐบาลก็ยังคงเตรียมมาตรการรับมือไว้ 3 ระดับ 1.ในช่วงก่อนตัดสินสถานการณ์ยังปกติ ครม.ให้จัดเตรียมกำลังตำรวจ ทหาร พลเรือน จุดละ 3-5 กองร้อย หากมีการล้อมศาลากลางจังหวัด ก็สามารถเข้ามาควบคุมได้ทันที ไม่โกลาหลเหมือนช่วงเดือนเม.ย. 52
ระดับที่ 2 สถานการณ์เริ่มไม่ปกติใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง มีการตั้งด่านตรวจค้นอาวุธ เป็นจุดๆ และระดับที่ 3 คือใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้อำนาจทหารเข้าควบคุมสถานการณ์ ซึ่งเป็นขั้นที่รุนแรงที่สุด
" ตอนนี้ ครม.อนุมัติงบประมาณงวดแรกประมาณ 50 ล้านบาท ให้ฝ่ายกำลังจัดเตรียมเจ้าหน้าที่ประจำหน่วย เมื่อเกิดจลาจล ก็สามารถออกจากหน่วยมาปฎิบัติหน้าที่ได้ทันที และหลังจากที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ต้องเพิ่มเบี้ยเลี้ยงให้อีก จะไม่ปล่อยให้เป็นเหมือนเดือน เม.ย.52 ที่ทหารไม่ได้เบี้ยเลี้ยง แต่ละคนหิวข้าว ตาลาย ออกมาทำงาน เพราะเป็นไปได้ว่า ในการชุมนุมครั้งนี้ คนเสื้อแดงทั้ง 38 จังหวัด จะชุมนุมคู่ขนานกันไปกับที่กรุงเทพฯ เพราะเสื้อแดงจะไม่เดินทางไปชุมนุมไกลๆได้เป็นเวลานาน" โฆษกรัฐบาล กล่าว
นายปณิธาน กล่าวว่า ขณะนี้หน่วยความมั่นคงกำลังจับตาสัญญาณที่ส่งออกมาจากกลุ่มเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ เพราะมีทิศทางที่จะใช้ความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะบางกลุ่มที่มีประสบการณ์ในการใช้อาวุธสงคราม รวมถึงใช้อาวุธที่ทำเอง
"ขณะนี้หน่วยความมั่นคงได้พบเงินจำนวนมากผิดปกติ ถูกโอนจาก 2-3 เส้นทางทั้งต่างประเทศ และในประเทศ เข้าบัญชีบุคคลแกนนำระดับสูงของเสื้อแดง ซึ่งมีหน้าที่ประสานงานกับกลุ่มต่างๆ ซึ่งก็ต้องแกะรอยกันต่อไปว่า เมื่อเงินจำนวนนี้ถูกส่งผ่านไปอยู่ในมือของกลุ่มผู้ที่ใช้ความรุนแรง ก็จะประเมินได้ว่าสถานการณ์จะรุนแรงขึ้น"
ผู้สื่อข่าวถามว่า เส้นทางเงินมาจากในเอเชีย และตะวันออกกลาง ใช่หรือไม่ นายปณิธาน ไม่ตอบ แต่บอกว่า ที่นักข่าวยกตัวอย่างมาทั้ง 2-3 ทาง ก็ครบแล้วมั้ง อีกส่วนหนึ่งคือโอนจากกลุ่มทุนในประเทศ และยังมีที่ลักลอบขนเงินเข้ามาตามช่องทางปกติ ด้วยลักษณะการโอนนั้นเป็นการโอนไปโอนมา หน่วยความมั่นคงกำลังตรวจสอบอยู่
**แดงถ่อยร้าวเพราะช่วงชิงการนำ
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ กล่าวว่า เหตุที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ออกมาขวาง พล.อ.พัลลภ กับ เสธ.แดง อาจเป็นเพราะต้องการรักษาการผูกขาดการนำมวลชนเสื้อแดงโดย 3 เกลอ เพราะบทบาทของนายพลทหาร ทั้ง 2 เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญ ทั้งในพรรคเพื่อไทย และในขบวนนปช. นอกจากนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า แกนนำนปช.หลายจังหวัด เริ่มสถาปนาตัวเอง เพื่อต่อสายตรงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มากขึ้น โดยเฉพาะบรรดา สส.พรรคเพื่อไทย บางส่วน
ฉะนั้นความขัดแย้งครั้งนี้จึงเป็นประเด็นการช่วงชิงการนำมากกว่าเรื่องอื่น เพราะใครนำมวลชนได้ ก็ต่อสายตรงถึงทักษิณได้ ซึ่งก็คงมีผลประโยชน์อื่นๆ ตามมา และไม่แปลกใจที่ เสธ.แดง กับ พล.อ.พัลลภ เล่นบทเงียบ ไม่ตอบโต้ เพราะนายพล 2 คน อาจเป็นพวกวัวสันหลังหวะ ที่ฝ่ายแกนนำ นปช. กุมความลับไว้ จึงเลือกที่จะนิ่งเงียบดีกว่า
**“พัลลภ”บอกผมยุติแล้ว
พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้เดินลงมาจากบริเวณชั้น 1 ของอาคารที่ทำการพรรค พร้อมทั้งรีบเดินไปขึ้นรถทันที เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ระบุว่า ปัญหาความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.พัลลภ กับนายจตุพร พรหมพันธุ์ จบแล้วนั้น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า “สำหรับตัวผม ผมยุติแล้ว” ส่วนจะยุติความเคลื่อนไหวของกองทัพประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติ หรือยุติความขัดแย้งกับนายจตุพรนั้น พล.อ.พัลลภ ปฏิเสธ ที่จะตอบคำถาม ก่อนเดินขึ้นรถออกจากพรรคไป
เมื่อเวลา 10.45 น. วานนี้ (9 ก.พ.) ที่พรรคเพื่อไทย กลุ่มกรุงเทพ 50 นำโดย พ.ต.ท.กุลธน ประจวบเหมาะ สมาชิกพรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้ากลุ่มกรุงเทพ 50 แถลงว่า ทางกลุ่มฯ จะจัดเสวนาทิศทางประเทศไทยปี 2553 ในวันที่ 22 ก.พ. เวลา 18.00-22.00 น. ในรูปแบบโต๊ะจีน 200 โต๊ะ ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมมิราเคิลแกรนด์
ทั้งนี้ ได้เชิญนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นายคณิน บุญสุวรรณ อดีต ส.ส.ร. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา และนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เข้าร่วมเสวนาด้วย
"ไฮไลต์สำคัญของงานนี้คือ จะมีวีดิโอลิงค์จากต่างประเทศของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาร่วมเสวนาด้วย เพราะการจัดเสวนาจะมีขึ้นก่อนที่จะมีการตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท เพียง 4 วัน ดังนั้นเราจะได้รู้ถึงจิตใจของพ.ต.ท.ทักษิณในขณะนั้น ว่ารู้สึกอย่างไร" พ.ต.ท.กุลธน กล่าว
**ปูดองค์พิพากษาอาจไม่ครบ
ด้านนายพรศักดิ์ ศรีละมุล แกนนำกลุ่มกรุงเทพ 50 กล่าวว่า ไม่ว่าสถานการณ์ในขณะนั้นจะล่อแหลม หรือรุนแรงเพียงใด ใครจะทะเลาะกับใคร เราก็ยืนยันที่จะจัดเสวนาดังกล่าว เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ยืนยันว่าจะวีดิโอลิงค์เข้ามา หลายสิ่งหลายอย่างจะกระจ่างชัดในวันนั้น เชื่อว่าการตัดสินคดียึดทรัพย์ อาจเกิดเหตุการณ์องค์พิพากษาไม่ครบ ส่งผลให้ยื้อเวลาการตัดสินคดีออกไปเรื่อยๆได้
**ลิ่วล้อเพ้อ ยึดทรัพย์ได้ ก็เอาคืนได้
นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ในฐานะอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา กล่าวถึงกระแสข่าวที่บรรดา ส.ส.ในพรรคเพื่อไทย ต่างวิพากษ์วิจารณ์โดยเชื่อว่า ศาลฎีกาฯ จะพิพากษา ยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ของพ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งหมดว่า เรื่องนี้ต้องมองไปข้างหน้าแล้วไม่ใช่มองแค่วันที่ 26 ก.พ. ยึดก็ยึดไป เราก็ไปเอากลับคืนมาได้ โดยใช้มติมหาประชาชน ซึ่งหลังการเลือกตั้ง เมื่อพรรคเพื่อไทยชนะ เพราะจะมีคนสงสารพ.ต.ท.ทักษิณมาก เมื่อได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เราจะเอาทรัพย์สินคืนมาทั้งหมด แต่ไม่ใช่การออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะถ้าทำในรูปนี้ เท่ากับว่าเป็นการยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิด โดยกระบวนการมีแล้วเตรียมการไว้แล้ว
ด้านนายนิยม วรปัญญา ส.ส.ลพบุรี กล่าวว่า ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเอาไปได้อย่างไร ถ้ายึดไปก็เอากลับคืนมาได้ เพราะเคยมีตัวอย่างแล้ว เช่น จอมพลถนอม กิตติขจร และ จอมพลประภาส จารุเสถียร ที่ต่อมาภายหลังก็เอาทรัพย์สินคืนได้บางส่วน ซึ่งกระบวนการ ก็ทำได้หลายอย่าง แม้ศาลจะตัดสินไปแล้ว เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
**"แม้ว"ให้เสื้อแดงสามัคคีเพื่องานใหญ่
ด้านพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เขียนข้อความลงบนเว็บไซต์ทวิตเตอร์ดอทคอม เมื่อเวลา 11.15 น. วานนี้ ถึงกรณีความขัดแย้งระหว่าง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำกลุ่ม นปช. กับพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย และพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกว่า
"ขอขอบคุณคนเสื้อแดงที่เป็นห่วงความขัดแย้ง และได้โทรมาหาผมกันเยอะ ตอนนี้คงเบาใจกันบ้าง เพราะต่างคนต่างลดฐิติลง งานใหญ่รออยู่ต้องเป็นหนึ่งเดียว"
ต่อมาเมื่อเวลา 16.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เขียนข้อความลงบนเว็บไซต์ ทวิตเตอร์ดอทคอม โต้ตอบกับผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งว่า
"ภายใต้รัฐบาลนี้อย่าหวังความแฟร์ อย่าหวังความสมานฉันท์ โอกาสที่อำมาตย์ ช่วยปล้นอำนาจให้ ทำได้ไม่บ่อย จึงต้องมีคติ อยู่ให้นาน กินให้ไว"
ด้านพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน ว่า ไม่มีอะไรเลย หางเครื่องก็ไม่มี จบเรื่องแล้ว เรียบร้อยดีทุกคน เขาคุยกันแล้วเมื่อวันที่ 8 ก.พ. ตอนนี้ทุกคนก็มีความรักระหว่างกันเหมือนเดิมทุกอย่าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทั้ง 2 ฝ่ายจะทำงานร่วมกันได้หรือไม่ พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า แน่นอนที่สุด ไม่ต้องห่วง สำหรับกรณีที่ระบุว่า มีการคุยกันแล้วนั้น เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ต่อสายมาเคลียร์ปัญหาใช่หรือไม่ พล.อ.ชวลิต ไม่ยอมตอบคำถามดังกล่าว
**มอบอำนาจผู้ว่าฯกำราบม็อบแดง
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง กล่าวถึงมาตรการดูแลความเรียบร้อยใน 38 จังหวัดทั่วประเทศ ที่มีความล่อแหลมต่อต่อการก่อความวุ่นวาย ของกลุ่มเสื้อแดงว่า ได้สั่งการไปยังจังหวัดต่างๆ ให้ติดตาม ตรวจสอบ ดูแลสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และหากมีกรณีที่การข่าวเห็นว่าจะเกิดอันตรายกับสถานที่ราชการ ก็ให้ผู้ว่าฯมีอำนาจที่จะสั่งใช้กำลัง ทั้งตำรวจ ทหาร และพลเรือน เพื่อเฝ้าดูแล ระวัง รักษาสถานที่ราชการ และดูแลรักษาความเรียบร้อยในจังหวัด และให้รายงานให้ทราบได้ตลอดเวลา ซึ่งผู้ว่าฯ ทั้ง 38 จังหวัดจะมีอำนาจเด็ดขาดในการสั่งการเจ้าหน้าที่ได้ทั้งหมด ในฐานะที่เป็น ผอ.กอ.รมน.จังหวัด
"ที่เราต้องดำเนินการอย่างนี้ ก็เพราะกลุ่มเสื้อแดง หรือแกนนำหลายคนออกมาพูดจาปลุกระดมในพื้นที่ต่างๆ แล้วประกาศว่า เมื่อถึงวันเวลานั้น เวลานี้ ก็จะไปยึดศาลากลางจังหวัด ให้เอาน้ำมันไปด้วย ไม่ใช่การต่อสู้ตามระบอบวิถีทางประชาธิปไตย ใช้ความรุนแรง ใช้กำลัง สร้างสถานการณ์ให้เกิดการจลาจล เพื่อให้เกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐ กับกลุ่มคนเหล่านี้ แล้วจะได้เอาไปเป็นข้ออ้างในการขยายผล ทำสิ่งที่เขาเรียกว่า สงครามประชาชน แต่ขอประชาชนอย่ากังวลใจ เพราะผมเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่เขาต่อต้าน เขาไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง ไม่ว่าใครจะทำก็ตาม และยืนยันว่า ได้กำชับเจ้าหน้าที่ไม่ให้ใช้ความรุนแรงเด็ดขาด ต้องเข้มแข็ง ต้องเป็นหลักให้ประชาชนให้ได้ ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดเหตุร้ายเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาในสมัยรัฐบาลก่อน รัฐบาลนี้ จะพยายามไม่ให้เกิดเหตุอย่างนั้น" รองนายกฯ กล่าว
**ตั้งด่านสกัดก่อนทะลักเข้ากรุง
นายสุเทพ กล่าวด้วยว่ากำลังเจ้าหน้าที่ที่จะดูแลความสงบเรียบร้อยนั้นไม่ได้ส่งไปจากกทม. แต่เป็นการผสมกำลังกันขึ้นในจังหวัด โดยมีตำรวจของแต่ละจังหวัดเป็นกำลังหลัก นอกนั้นก็อยู่ที่ดุลพินิจของผู้ว่าฯ ที่จะใช้กำลังฝ่ายใดมาเสริม ถ้าจังหวัดนั้นมีหน่วยทหารอยู่ ก็ขอกำลังเสริมได้ หากกำลังหลักที่มีอยู่ไม่เพียงพอ
เมื่อถามว่าใน กทม.มีการตั้งจุดสกัดไว้ถึง 200 จุด จะทำให้เห็นว่า สถานการณ์ส่อเค้าความรุนแรงหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า เราจำเป็นต้องเข้มงวดเพราะเราเคยเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วในช่วงเดือนเม.ย. ปีที่ผ่านมา ซึ่งหลักการของตนก็คือ จะต้องดำเนินการเพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ได้รับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
"ต่อไปนี้ถ้าผมเห็นว่ามันจะเกิดเหตุ ผมจะไม่รอให้คนมา เราจะเอากำลังของเราออกมาก่อน เราจะรักษาพื้นที่ รักษาบ้านเมืองของเราก่อน" นายสุเทพกล่าว
**ทหารพร้อมสนับสนุนตำรวจ
พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวว่า กองทัพพร้อมสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการรับมือการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงใน 38 จังหวัด ตามที่รัฐบาลได้ประเมินว่า จะมีการตั้งกองกำลังติดอาวุธ และเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายในช่วงก่อนและหลังการตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น ซึ่งขณะนี้ทางตำรวจยังไม่ได้ร้องขอกำลังสนับสนุนจากทหาร โดยในเบื้องต้นคงเป็นหน้าที่ของตำรวจ ทหารจะเข้าไปร่วมได้ก็ต่อเมื่อมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง หรือได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน
"การที่รัฐบาลออกมาตรการรับมือเช่นนี้ ก็เพื่อเป็นการ ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ โดยยอมรับว่า กรุงเทพฯ และปริมณฑล ถือเป็นพื้นที่เสี่ยง เพราะหลายครั้งมักเกิดเหตุความวุ่นวาย แต่ยืนยันว่าไม่ใช่การสกัดกั้นคนเสื้อแดง ที่จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ และปริมณฑลแต่อย่างใด"
**12-19 ก.พ.เคลื่อนกำลังไปฝึกซ้อม
รายงานจากกองทัพบกแจ้งว่า ในวันที่ 14–19 ก.พ. นี้ กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน จะทำการเคลื่อนกำลังทหารพร้อมยุทโธปกรณ์ ไปทำการฝึกภาคสนามประจำปี โดยจะเคลื่อนย้ายออกจากที่ตั้งหน่วยทหารในพื้นที่ดอนเมือง และเขตดุสิต กรุงเทพฯ ในวันที่ 14 ก.พ.53 เวลา 05.00 น. ใช้การเดินทางโดยรถไฟ และรถยนต์ เพื่อไปยังพื้นที่ จ.ลพบุรี และจะเคลื่อนย้ายกลับในวันที่ 19 ก.พ.53 นอกจากนี้ในช่วง 12 -14 ก.พ.53 กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ จะทำการเคลื่อนย้ายทหาร พร้อมยุทโธปกรณ์กลับจากการฝึกภาคสนาม จาก จ.กาญจนบุรี กลับเข้าสู่ที่ตั้งหน่วย ในกรุงเทพฯ
**"ปทีป"สั่งรับมือม็อบแดง
พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีกลุ่มเสื้อแดง จะเดินทางมาชุมนุมที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติในวันนี้ ( 10 ก.พ.) ว่า ยังไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่ากลุ่มเสื้อแดงจะมาเรียกร้องอะไร อย่างไรก็ตาม เราได้เตรียมกำลังไว้แล้วโดยมีกองบัญชาการตำรวจสันติบาลดูภายใน และกองบัญชาการตำรวจนครบาลดูแลรอบนอก พร้อมทั้งเตรียมการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร และเฝ้าระวังไม่ให้มีมือที่ 3 มาก่อความวุ่นวาย ตนเองเชื่อว่า จะไม่มีเหตุรุนแรงใดๆ นอกจากนั้นยังกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ปล่อยให้กลุ่มเสื้อแดงเข้ามาบริเวณด้านในสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยเด็ดขาด ให้ชุมนุมได้บริเวณภายนอกเท่านั้น
**พบพิรุธเส้นทางเงินแกนนำแดง
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประเมินว่า กลุ่มเสื้อแดงได้วางแผนการเคลื่อนไหวเป็นสองจังหวะ คือจังหวะแรกสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่จนทำให้ไม่สามารถพิพากษาคดียึดทรัพย์ในวันที่ 26 ก.พ.ได้ แต่ขณะนี้เสื้อแดงรู้ตัวแล้วว่า 26 ก.พ.เร็วเกินไป ทำตามเป้าหมายไม่ได้ จึงประเมินกันใหม่ว่าจะเคลื่อนไหวหากผลการตัดสินไม่เป็นที่พอใจ ดังนั้นเสื้อแดงจึงจะชุมนุมกันตั้งแต่ก่อน และหลัง 26 ก.พ.
ในส่วนรัฐบาลก็ยังคงเตรียมมาตรการรับมือไว้ 3 ระดับ 1.ในช่วงก่อนตัดสินสถานการณ์ยังปกติ ครม.ให้จัดเตรียมกำลังตำรวจ ทหาร พลเรือน จุดละ 3-5 กองร้อย หากมีการล้อมศาลากลางจังหวัด ก็สามารถเข้ามาควบคุมได้ทันที ไม่โกลาหลเหมือนช่วงเดือนเม.ย. 52
ระดับที่ 2 สถานการณ์เริ่มไม่ปกติใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง มีการตั้งด่านตรวจค้นอาวุธ เป็นจุดๆ และระดับที่ 3 คือใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้อำนาจทหารเข้าควบคุมสถานการณ์ ซึ่งเป็นขั้นที่รุนแรงที่สุด
" ตอนนี้ ครม.อนุมัติงบประมาณงวดแรกประมาณ 50 ล้านบาท ให้ฝ่ายกำลังจัดเตรียมเจ้าหน้าที่ประจำหน่วย เมื่อเกิดจลาจล ก็สามารถออกจากหน่วยมาปฎิบัติหน้าที่ได้ทันที และหลังจากที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ต้องเพิ่มเบี้ยเลี้ยงให้อีก จะไม่ปล่อยให้เป็นเหมือนเดือน เม.ย.52 ที่ทหารไม่ได้เบี้ยเลี้ยง แต่ละคนหิวข้าว ตาลาย ออกมาทำงาน เพราะเป็นไปได้ว่า ในการชุมนุมครั้งนี้ คนเสื้อแดงทั้ง 38 จังหวัด จะชุมนุมคู่ขนานกันไปกับที่กรุงเทพฯ เพราะเสื้อแดงจะไม่เดินทางไปชุมนุมไกลๆได้เป็นเวลานาน" โฆษกรัฐบาล กล่าว
นายปณิธาน กล่าวว่า ขณะนี้หน่วยความมั่นคงกำลังจับตาสัญญาณที่ส่งออกมาจากกลุ่มเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ เพราะมีทิศทางที่จะใช้ความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะบางกลุ่มที่มีประสบการณ์ในการใช้อาวุธสงคราม รวมถึงใช้อาวุธที่ทำเอง
"ขณะนี้หน่วยความมั่นคงได้พบเงินจำนวนมากผิดปกติ ถูกโอนจาก 2-3 เส้นทางทั้งต่างประเทศ และในประเทศ เข้าบัญชีบุคคลแกนนำระดับสูงของเสื้อแดง ซึ่งมีหน้าที่ประสานงานกับกลุ่มต่างๆ ซึ่งก็ต้องแกะรอยกันต่อไปว่า เมื่อเงินจำนวนนี้ถูกส่งผ่านไปอยู่ในมือของกลุ่มผู้ที่ใช้ความรุนแรง ก็จะประเมินได้ว่าสถานการณ์จะรุนแรงขึ้น"
ผู้สื่อข่าวถามว่า เส้นทางเงินมาจากในเอเชีย และตะวันออกกลาง ใช่หรือไม่ นายปณิธาน ไม่ตอบ แต่บอกว่า ที่นักข่าวยกตัวอย่างมาทั้ง 2-3 ทาง ก็ครบแล้วมั้ง อีกส่วนหนึ่งคือโอนจากกลุ่มทุนในประเทศ และยังมีที่ลักลอบขนเงินเข้ามาตามช่องทางปกติ ด้วยลักษณะการโอนนั้นเป็นการโอนไปโอนมา หน่วยความมั่นคงกำลังตรวจสอบอยู่
**แดงถ่อยร้าวเพราะช่วงชิงการนำ
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ กล่าวว่า เหตุที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ออกมาขวาง พล.อ.พัลลภ กับ เสธ.แดง อาจเป็นเพราะต้องการรักษาการผูกขาดการนำมวลชนเสื้อแดงโดย 3 เกลอ เพราะบทบาทของนายพลทหาร ทั้ง 2 เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญ ทั้งในพรรคเพื่อไทย และในขบวนนปช. นอกจากนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า แกนนำนปช.หลายจังหวัด เริ่มสถาปนาตัวเอง เพื่อต่อสายตรงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มากขึ้น โดยเฉพาะบรรดา สส.พรรคเพื่อไทย บางส่วน
ฉะนั้นความขัดแย้งครั้งนี้จึงเป็นประเด็นการช่วงชิงการนำมากกว่าเรื่องอื่น เพราะใครนำมวลชนได้ ก็ต่อสายตรงถึงทักษิณได้ ซึ่งก็คงมีผลประโยชน์อื่นๆ ตามมา และไม่แปลกใจที่ เสธ.แดง กับ พล.อ.พัลลภ เล่นบทเงียบ ไม่ตอบโต้ เพราะนายพล 2 คน อาจเป็นพวกวัวสันหลังหวะ ที่ฝ่ายแกนนำ นปช. กุมความลับไว้ จึงเลือกที่จะนิ่งเงียบดีกว่า
**“พัลลภ”บอกผมยุติแล้ว
พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้เดินลงมาจากบริเวณชั้น 1 ของอาคารที่ทำการพรรค พร้อมทั้งรีบเดินไปขึ้นรถทันที เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ระบุว่า ปัญหาความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.พัลลภ กับนายจตุพร พรหมพันธุ์ จบแล้วนั้น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า “สำหรับตัวผม ผมยุติแล้ว” ส่วนจะยุติความเคลื่อนไหวของกองทัพประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติ หรือยุติความขัดแย้งกับนายจตุพรนั้น พล.อ.พัลลภ ปฏิเสธ ที่จะตอบคำถาม ก่อนเดินขึ้นรถออกจากพรรคไป