การเมืองใหม่ยุรัฐบาลใช้หลักฐาน “แผนที่กูเกิล เอิร์ธ”ฟ้องศาลโลกใหม่ ทวงคืนประสาทพระวิหาร อ้างเป็นเทคโนโลยีใหม่ ผิดหวังกับรัฐบาลไม่ออกแถลงการณ์โต้กัมพูชาให้ถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ทับซ้อน
วานนี้ (7 ก.พ.) ที่พรรคการเมืองใหม่ ถนนพระสุเมรุ ย่านสะพานวันชาติ นายสำราญ รอดเพชร โฆษกพรรค นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรค และนายประพันธ์ คูณมี ผอ.พรรค ร่วมแถลงข่าวท่าทีพรรคการเมืองใหม่ประจำสัปดาห์ถึงกรณีสภาล่มซ้ำซากว่า รัฐสภา โดยเฉพาะในส่วนของสภาผู้แทนราษฎรจะต้องทบทวนการทำงานของตน ด้วยความสำนึกต่อหน้าที่ที่รับผิดชอบ คำนึงเงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนที่มาจากภาษีของประชาชน กรณีสภาล่ม ไม่ครบองค์ประชุมบ่อยครั้ง นอกจากทำให้การขับเคลื่อนงานด้านนิติบัญญัติสะดุดแล้ว ยังทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาหรือสิ้นหวังต่อระบบรัฐสภา ที่หลายฝ่ายพยายามบอกว่าเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย
พรรคการเมืองใหม่ขอเรียกร้องให้ทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร กำหนดเป็นข้อบังคับหรือระเบียบให้ชัดเจนเรื่องการขาดการประชุม เช่น ขาดการประชุมโดยไม่มีใบลากิจหรือลาป่วยหรือมีเหตุผลอันสมควร หากเกิน 3-5 ครั้งต้องพ้นสภาพความเป็นสมาชิกรัฐสภา
นายสำราญ กล่าวถึงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า พรรคการเมืองใหม่ขอสนับสนุนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและองค์กรแนวร่วม ได้ร่วมกันแสดงตนยื่นหนังสือขอถอดถอน 102 ส.ส.ที่ร่วมกันยื่นญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยอาศัยรัฐธรรมนูญมาตรา 122 (มาตรา 122 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยโดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำใด ๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์)
น่าเชื่อว่าหากยังคงเดินหน้ากรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองทั้งในและนอกสภา เพราะสุดท้ายแล้วการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่จำกัดอยู่แค่มาตรา 94และมาตรา 190 ประการสำคัญ การยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 มาตราของพรรคร่วมรัฐบาลเป็นเพียงลับ ลวง พรางทางการเมือง ที่ใช้เป็นเกมกดดัน ต่อรองกับพรรคแกนนำรัฐบาลเป็นหลัก
“นายพิภพ ธงไชย ตัวแทนพันธมิตรฯ ได้ยื่นถอดถอน 102 ส.ส. การยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 มาตราของพรรคร่วมรัฐบาลเป็นเพียงลับ ลวง พรางทางการเมือง ที่ใช้เป็นเกมกดดันต่อรองกับพรรคแกนนำรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เป็นหลัก สุดท้ายน่าจะมีวาระซ่อนเร้น จะทำให้การเมืองวุ่นวาย เนื่องจากมีร่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญของนายแพทย์เหวง โตจิราการที่ยื่นรอไว้ก่อนหน้านี้ ” นายสำราญ กล่าว
นายสำราญ กล่าวถึงสถานการณ์รัฐบาล –คนเสื้อแดง ว่ากรณีพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณีและพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล “เสธ.แดง” ประกาศที่จะตั้งกองทัพประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยจะให้พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผบ.สูงสุด ซึ่งต่อมามีการปฏิเสธไปแล้วนั้น นอกเหนือจะเป็นความตลกขบขันแล้วกรณีดังกล่าวยังเป็นความเหิมเกริมไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ความเหมาะควร
ขณะที่ความขัดแย้งระหว่างพล.อ.พัลลภ,พล.ต..ขัตติยะ กับกลุ่มนปช.โดยเฉพาะกับ 3เกลอ “วีระ จตุพร-ณัฐวุฒิ” เป็นเรื่องจริง แต่ไม่ยากที่คนเหล่านี้จะปรับความเข้าใจกันได้ตราบใดที่พวกเขายังรับใช้ทักษิณด้วยกัน สถานการณ์จากนี้ไปมีโอกาสที่จะเกิดความาตึงเครียด รุนแรงได้ ทั้งก่อนและหลังวันที่ 26 ก.พ. แต่ถ้าจะเกิดความรุนแรงในระดับเผาบ้านเผาเมือง น่าจะเป็นหลัง 26 ก.พ.
ทั้งนี้พรรคการเมืองใหม่ เห็นว่า โดยสรุปพ.ต.ท.ทักษิณยังคงเคลื่อนไหวกดดันและคั่วไพ่หลายหน้าเช่นเดิม ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุชัยชนะ จะมีความพยายามเดินเกมในสภาเพื่อเปลี่ยนขั้วรัฐบาล ผลักประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน ถึงขั้นมีบางฝ่ายเสนอว่าจะให้พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ (พรรคชาติไทยพัฒนา) เป็นนายกรัฐมนตรีกดดันทั้งในสภา นอกสภา ให้นายกฯตัดสินใจยุบสภา กดดันจนสถานการณ์จลาจล นองเลือด เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งนี้น้ำหนักโดยรวมน่าจะอยู่ที่การกดดันป่วนทั้งในและนอกสภาเพื่อให้นายกฯ “ยุบสภา”
พรรคการเมืองใหม่ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเข้มแข็งเด็ดขาดในการใช้มาตรการทางกฎหมาย ใช้สื่อของรัฐชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องสำคัญ ๆที่ถูกบิดเบือน ไม่ควรปล่อยให้สถานการณ์ให้เป็นไปในลักษณะ “เลี้ยงสถานการณ์”เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจนมากเกินไป เพราะจะทำให้ประชาชนสองฝ่ายเกิดการเผชิญหน้ากันโดยไม่จำเป็น
**แนะรัฐบอกความจริงประชาชน
นายสำราญ กล่าวอีกว่า มีโอกาสที่จะเกิดความตึงเครียด รุนแรง ทั้งก่อนและหลังวันที่ 26 ก.พ.ที่จะมีการตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ความรุนแรงในระดับเผาบ้านเผาเมืองน่าจะเกิดขึ้นหลังวันที่ 26 ก.พ.โดยเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเคลื่อนไหวกดดันโดยคั่วไพ่หลายหน้าเช่นเดิมเพื่อให้บรรลุชัยชนะ ทั้งการเดินเกมในสภาและนอกสภา โดยในสภามีความพยายามที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล ผลักประชาธิปัตย์กลับไปเป็นฝ่ายค้าน
“น้ำหนักโดยรวมน่าจะอยู่ที่การกดดัน พรรคจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเข้มแข็ง เด็ดขาดในการใช้มาตรการทางกฎหมาย ใช้สื่อของรัฐชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องสำคัญ ที่ถูกบิดเบือน ไม่ควรปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปในลักษณะเลี้ยงสถานการณ์ เพื่อเรียกร้องความเห็นใจมากเกินไป เพราะจะทำให้ประชาชน 2 ฝ่าย เผชิญหน้ากันโดยไม่จำเป็น” นายสำราญ กล่าว
ด้านนายสุริยะใส กล่าวว่า เห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีที่เชื่อว่า ไม่น่าจะมีเงื่อนไขให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังมีเงื่อนไขความรุนแรงอยู่ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้วันหนึ่งอาจจะกลายเป็นเงื่อนไขการปฏิวัติได้ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลอย่าประมาทในการข่าวและควบคุมสถานการณ์ให้ได้ ส่วนภาพความขัดแย้งของ พล.อ.พัลลภ กับแกนนำเสื้อแดงนั้น เชื่อว่า เป็นเพียงความขัดแย้งในการชิงการนำเท่านั้น คงไม่ขยายวงขัดแย้งไปมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม การปฏิเสธในเรื่องจัดตั้งกองทัพประชาชนฯ ไม่น่าจะเป็นการปฏิเสธที่แท้จริง เพราะแนวทางการตั้งโรงเรียนการเมือง หรือการตั้งกองทัพแดงต่างเป็นความต้องการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น แต่ต้องออกมาปฏิเสธเพราะ พล.อ.พัลลภ และ พล.ต.ขัตติยะ ทำให้ข่าวรั่วไหลออกมาก่อนเท่านั้น
“ผมยังเชื่อว่า แนวทางการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ไม่ใช่แนวทางสันติวิธี แต่จะใช้ความรุนแรง ขอให้จับตาการจัดระเบียบการนำในแกนนำเสื้อแดง โอกาสที่จะยึดอำนาจการนำจากแกนนำเสื้อแดงสามเกลอ ไปยังสองนายพลเป็นไปได้สูง สามเกลอเป็นแค่สีสันสงครามเท่านั้น โดยได้ปฏิเสธแล้วว่า ช่วงสงกรานต์พวกเขาล้มเหลว” นายสุริยะใส
นายประพันธ์ กล่าวว่า สำหรับกรณีชายแดนไทย-กัมพูชา จะเห็นได้ว่า ขณะนี้สมเด็จฮุนเซ็น กำลังใช้เลห์กลเพื่อชิงความได้เปรียบทางสากลมากดดันในการประชุมมรดกโลกที่จะถึงนี้ ดังนั้นตนผิดหวังกับรัฐบาลไทยที่ไม่มีการออกแถลงการณ์มาตอบโต้เพื่อให้กัมพูชาถอนกำลังทหารหรือชุมนุมออกจากพื้นที่ทับซ้อนเลย รัฐบาลควรทำมากกว่าการพูด ขณะเดียวกันยังขอให้รัฐบาลนำหลักฐานใหม่ที่เป็นแผนที่ใน เวปไซด์กูเกิล เอิร์ธ มาใช้ฟ้องร้องกรณีปราสาทเขาพระวิหาร เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่ ที่แตกต่างจาก 50 ปีที่แล้ว
**ปัด“สนธิ”ใช้มาตรฐานเดียวยื่นฎีกา
นายประพันธ์ คูณมี ผอ.พรรคกรเมืองใหม่ แถลงชี้แจง กรณีถวายฎีกาขอความเป็นธรรมของนายสนธิ ลิ้มทองกุล หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ว่า จากการที่นายสนธิ เห็นว่า เขาถูกกลั่นแกล้งยัดเยียดข้อ กล่าวหาโดยไม่เป็นธรรมจากเจ้าพนักงานสอบสวน กรณีนำเรื่องการปราศรัย ของนางดา ตอร์ปิโด หรือ...อันเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ต่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และรัชทายาท มาบอกกล่าวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี และอัยการได้มีคำสั่งฟ้องโดยไม่ชอบด้วยเจตนาด้วยการให้นายสนธิได้รับโทษโดยไม่เป็นธรรม
ทั้งนี้ เมื่อได้รับความเดือดร้อนไม่เป็นธรรม นายสนธิจึงได้ยื่นถวายฎีกา เพื่อขอพระราชทานความเป็นธรรมต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2552 ไปยัง ราชเลขาธิการ (นายอาสา สารสิน) และสำนักราชเลขาธิการราชเลขาธิการ อันถือได้ว่าเป็นฎีการ้องทุกข์ขอความเป็นธรรม จากการถูกกดขี่ข่มเหงและปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ไม่ชอบด้วยกฎหมายจากตำรวจ จากพนักงานอัยการ การถวายฎีกาไม่ใช่การถวายฎีกาพระราชทานอภัยโทษแต่อย่างใด เพราะนายสนธิยังไม่ได้ถูกฟ้อง และไม่มีคำพิพากษาลงโทษ
“การที่คนเสื้อแดงและสื่อเอาไปเสนอว่าเป็นการดำเนินการสองมาตรฐาน ถือเป็นเรื่องที่คลาดเคลื่อน กรณีของนายสนธิ เป็นการยื่นฎีการ้องทุกข์เพื่อขอความเป็นธรรมไม่ใช่การขออภัยโทษ เพราะปกติราษฎรมีสิทธิที่จะยื่นถวายฎีกา เช่น เดียวกับที่พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียเวส และคุณหญิง กัลยา โสภณพานิช เคยยื่นฎีการ้องทุกข์ขอความเป็นธรรมมาแล้ว และนายสนธิก็เป็นผู้ลงนามฎีการ้องทุกข์ด้วยตัวเอง ไม่ได้ไปขอให้ใครมาร่วมลงชื่อ”
ขณะเดียวกัน การถวายฎีการ้องทุกข์ขอความเป็นธรรม เป็นสิทธิของราษฎรในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท สามารถกระทำได้ด้วยตนเองอันเป็นไปตามราชประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุขตามประเพณีการปกครองของไทยเมือ่ได้ถวายฎีกาแล้ว ก็สุดแท้แต่พระราชวินิจฉัยจากพระมหากษัตริย์ที่จะโปรดพิจารณา
นายประพันธ์ กล่าวว่า กรณีนายสนธิ จึงแตกต่างโดนสิ้นเชิงกับการถวายฎีการ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมิได้เป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์และกระทรวงยุติธรรม ไม่ชอบโดยประเพณีการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
“นายสนธิ ลิ้มทองกุล พร้อมเข้าต่อสู้คดีทุกเมื่อไม่เคยหลบหนีหาก พนักงานอัยการ เรียกตัวส่งฟ้องเมื่อใดก็พร้อม รายงานตัวต่อสู้คดี ด้วยเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมชั้นศาล ขอให้พนักงานอัยการปฏิบัติตามความยุติธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหาทุกคนโดยเท่าเทียมกัน ด้วยอย่าเลือกปฏิบัติ”นายประพันธ์กล่าว
วานนี้ (7 ก.พ.) ที่พรรคการเมืองใหม่ ถนนพระสุเมรุ ย่านสะพานวันชาติ นายสำราญ รอดเพชร โฆษกพรรค นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรค และนายประพันธ์ คูณมี ผอ.พรรค ร่วมแถลงข่าวท่าทีพรรคการเมืองใหม่ประจำสัปดาห์ถึงกรณีสภาล่มซ้ำซากว่า รัฐสภา โดยเฉพาะในส่วนของสภาผู้แทนราษฎรจะต้องทบทวนการทำงานของตน ด้วยความสำนึกต่อหน้าที่ที่รับผิดชอบ คำนึงเงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนที่มาจากภาษีของประชาชน กรณีสภาล่ม ไม่ครบองค์ประชุมบ่อยครั้ง นอกจากทำให้การขับเคลื่อนงานด้านนิติบัญญัติสะดุดแล้ว ยังทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาหรือสิ้นหวังต่อระบบรัฐสภา ที่หลายฝ่ายพยายามบอกว่าเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย
พรรคการเมืองใหม่ขอเรียกร้องให้ทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร กำหนดเป็นข้อบังคับหรือระเบียบให้ชัดเจนเรื่องการขาดการประชุม เช่น ขาดการประชุมโดยไม่มีใบลากิจหรือลาป่วยหรือมีเหตุผลอันสมควร หากเกิน 3-5 ครั้งต้องพ้นสภาพความเป็นสมาชิกรัฐสภา
นายสำราญ กล่าวถึงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า พรรคการเมืองใหม่ขอสนับสนุนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและองค์กรแนวร่วม ได้ร่วมกันแสดงตนยื่นหนังสือขอถอดถอน 102 ส.ส.ที่ร่วมกันยื่นญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยอาศัยรัฐธรรมนูญมาตรา 122 (มาตรา 122 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยโดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำใด ๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์)
น่าเชื่อว่าหากยังคงเดินหน้ากรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองทั้งในและนอกสภา เพราะสุดท้ายแล้วการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่จำกัดอยู่แค่มาตรา 94และมาตรา 190 ประการสำคัญ การยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 มาตราของพรรคร่วมรัฐบาลเป็นเพียงลับ ลวง พรางทางการเมือง ที่ใช้เป็นเกมกดดัน ต่อรองกับพรรคแกนนำรัฐบาลเป็นหลัก
“นายพิภพ ธงไชย ตัวแทนพันธมิตรฯ ได้ยื่นถอดถอน 102 ส.ส. การยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 มาตราของพรรคร่วมรัฐบาลเป็นเพียงลับ ลวง พรางทางการเมือง ที่ใช้เป็นเกมกดดันต่อรองกับพรรคแกนนำรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เป็นหลัก สุดท้ายน่าจะมีวาระซ่อนเร้น จะทำให้การเมืองวุ่นวาย เนื่องจากมีร่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญของนายแพทย์เหวง โตจิราการที่ยื่นรอไว้ก่อนหน้านี้ ” นายสำราญ กล่าว
นายสำราญ กล่าวถึงสถานการณ์รัฐบาล –คนเสื้อแดง ว่ากรณีพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณีและพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล “เสธ.แดง” ประกาศที่จะตั้งกองทัพประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยจะให้พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผบ.สูงสุด ซึ่งต่อมามีการปฏิเสธไปแล้วนั้น นอกเหนือจะเป็นความตลกขบขันแล้วกรณีดังกล่าวยังเป็นความเหิมเกริมไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ความเหมาะควร
ขณะที่ความขัดแย้งระหว่างพล.อ.พัลลภ,พล.ต..ขัตติยะ กับกลุ่มนปช.โดยเฉพาะกับ 3เกลอ “วีระ จตุพร-ณัฐวุฒิ” เป็นเรื่องจริง แต่ไม่ยากที่คนเหล่านี้จะปรับความเข้าใจกันได้ตราบใดที่พวกเขายังรับใช้ทักษิณด้วยกัน สถานการณ์จากนี้ไปมีโอกาสที่จะเกิดความาตึงเครียด รุนแรงได้ ทั้งก่อนและหลังวันที่ 26 ก.พ. แต่ถ้าจะเกิดความรุนแรงในระดับเผาบ้านเผาเมือง น่าจะเป็นหลัง 26 ก.พ.
ทั้งนี้พรรคการเมืองใหม่ เห็นว่า โดยสรุปพ.ต.ท.ทักษิณยังคงเคลื่อนไหวกดดันและคั่วไพ่หลายหน้าเช่นเดิม ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุชัยชนะ จะมีความพยายามเดินเกมในสภาเพื่อเปลี่ยนขั้วรัฐบาล ผลักประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน ถึงขั้นมีบางฝ่ายเสนอว่าจะให้พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ (พรรคชาติไทยพัฒนา) เป็นนายกรัฐมนตรีกดดันทั้งในสภา นอกสภา ให้นายกฯตัดสินใจยุบสภา กดดันจนสถานการณ์จลาจล นองเลือด เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งนี้น้ำหนักโดยรวมน่าจะอยู่ที่การกดดันป่วนทั้งในและนอกสภาเพื่อให้นายกฯ “ยุบสภา”
พรรคการเมืองใหม่ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเข้มแข็งเด็ดขาดในการใช้มาตรการทางกฎหมาย ใช้สื่อของรัฐชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องสำคัญ ๆที่ถูกบิดเบือน ไม่ควรปล่อยให้สถานการณ์ให้เป็นไปในลักษณะ “เลี้ยงสถานการณ์”เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจนมากเกินไป เพราะจะทำให้ประชาชนสองฝ่ายเกิดการเผชิญหน้ากันโดยไม่จำเป็น
**แนะรัฐบอกความจริงประชาชน
นายสำราญ กล่าวอีกว่า มีโอกาสที่จะเกิดความตึงเครียด รุนแรง ทั้งก่อนและหลังวันที่ 26 ก.พ.ที่จะมีการตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ความรุนแรงในระดับเผาบ้านเผาเมืองน่าจะเกิดขึ้นหลังวันที่ 26 ก.พ.โดยเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเคลื่อนไหวกดดันโดยคั่วไพ่หลายหน้าเช่นเดิมเพื่อให้บรรลุชัยชนะ ทั้งการเดินเกมในสภาและนอกสภา โดยในสภามีความพยายามที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล ผลักประชาธิปัตย์กลับไปเป็นฝ่ายค้าน
“น้ำหนักโดยรวมน่าจะอยู่ที่การกดดัน พรรคจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเข้มแข็ง เด็ดขาดในการใช้มาตรการทางกฎหมาย ใช้สื่อของรัฐชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องสำคัญ ที่ถูกบิดเบือน ไม่ควรปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปในลักษณะเลี้ยงสถานการณ์ เพื่อเรียกร้องความเห็นใจมากเกินไป เพราะจะทำให้ประชาชน 2 ฝ่าย เผชิญหน้ากันโดยไม่จำเป็น” นายสำราญ กล่าว
ด้านนายสุริยะใส กล่าวว่า เห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีที่เชื่อว่า ไม่น่าจะมีเงื่อนไขให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังมีเงื่อนไขความรุนแรงอยู่ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้วันหนึ่งอาจจะกลายเป็นเงื่อนไขการปฏิวัติได้ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลอย่าประมาทในการข่าวและควบคุมสถานการณ์ให้ได้ ส่วนภาพความขัดแย้งของ พล.อ.พัลลภ กับแกนนำเสื้อแดงนั้น เชื่อว่า เป็นเพียงความขัดแย้งในการชิงการนำเท่านั้น คงไม่ขยายวงขัดแย้งไปมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม การปฏิเสธในเรื่องจัดตั้งกองทัพประชาชนฯ ไม่น่าจะเป็นการปฏิเสธที่แท้จริง เพราะแนวทางการตั้งโรงเรียนการเมือง หรือการตั้งกองทัพแดงต่างเป็นความต้องการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น แต่ต้องออกมาปฏิเสธเพราะ พล.อ.พัลลภ และ พล.ต.ขัตติยะ ทำให้ข่าวรั่วไหลออกมาก่อนเท่านั้น
“ผมยังเชื่อว่า แนวทางการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ไม่ใช่แนวทางสันติวิธี แต่จะใช้ความรุนแรง ขอให้จับตาการจัดระเบียบการนำในแกนนำเสื้อแดง โอกาสที่จะยึดอำนาจการนำจากแกนนำเสื้อแดงสามเกลอ ไปยังสองนายพลเป็นไปได้สูง สามเกลอเป็นแค่สีสันสงครามเท่านั้น โดยได้ปฏิเสธแล้วว่า ช่วงสงกรานต์พวกเขาล้มเหลว” นายสุริยะใส
นายประพันธ์ กล่าวว่า สำหรับกรณีชายแดนไทย-กัมพูชา จะเห็นได้ว่า ขณะนี้สมเด็จฮุนเซ็น กำลังใช้เลห์กลเพื่อชิงความได้เปรียบทางสากลมากดดันในการประชุมมรดกโลกที่จะถึงนี้ ดังนั้นตนผิดหวังกับรัฐบาลไทยที่ไม่มีการออกแถลงการณ์มาตอบโต้เพื่อให้กัมพูชาถอนกำลังทหารหรือชุมนุมออกจากพื้นที่ทับซ้อนเลย รัฐบาลควรทำมากกว่าการพูด ขณะเดียวกันยังขอให้รัฐบาลนำหลักฐานใหม่ที่เป็นแผนที่ใน เวปไซด์กูเกิล เอิร์ธ มาใช้ฟ้องร้องกรณีปราสาทเขาพระวิหาร เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่ ที่แตกต่างจาก 50 ปีที่แล้ว
**ปัด“สนธิ”ใช้มาตรฐานเดียวยื่นฎีกา
นายประพันธ์ คูณมี ผอ.พรรคกรเมืองใหม่ แถลงชี้แจง กรณีถวายฎีกาขอความเป็นธรรมของนายสนธิ ลิ้มทองกุล หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ว่า จากการที่นายสนธิ เห็นว่า เขาถูกกลั่นแกล้งยัดเยียดข้อ กล่าวหาโดยไม่เป็นธรรมจากเจ้าพนักงานสอบสวน กรณีนำเรื่องการปราศรัย ของนางดา ตอร์ปิโด หรือ...อันเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ต่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และรัชทายาท มาบอกกล่าวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี และอัยการได้มีคำสั่งฟ้องโดยไม่ชอบด้วยเจตนาด้วยการให้นายสนธิได้รับโทษโดยไม่เป็นธรรม
ทั้งนี้ เมื่อได้รับความเดือดร้อนไม่เป็นธรรม นายสนธิจึงได้ยื่นถวายฎีกา เพื่อขอพระราชทานความเป็นธรรมต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2552 ไปยัง ราชเลขาธิการ (นายอาสา สารสิน) และสำนักราชเลขาธิการราชเลขาธิการ อันถือได้ว่าเป็นฎีการ้องทุกข์ขอความเป็นธรรม จากการถูกกดขี่ข่มเหงและปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ไม่ชอบด้วยกฎหมายจากตำรวจ จากพนักงานอัยการ การถวายฎีกาไม่ใช่การถวายฎีกาพระราชทานอภัยโทษแต่อย่างใด เพราะนายสนธิยังไม่ได้ถูกฟ้อง และไม่มีคำพิพากษาลงโทษ
“การที่คนเสื้อแดงและสื่อเอาไปเสนอว่าเป็นการดำเนินการสองมาตรฐาน ถือเป็นเรื่องที่คลาดเคลื่อน กรณีของนายสนธิ เป็นการยื่นฎีการ้องทุกข์เพื่อขอความเป็นธรรมไม่ใช่การขออภัยโทษ เพราะปกติราษฎรมีสิทธิที่จะยื่นถวายฎีกา เช่น เดียวกับที่พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียเวส และคุณหญิง กัลยา โสภณพานิช เคยยื่นฎีการ้องทุกข์ขอความเป็นธรรมมาแล้ว และนายสนธิก็เป็นผู้ลงนามฎีการ้องทุกข์ด้วยตัวเอง ไม่ได้ไปขอให้ใครมาร่วมลงชื่อ”
ขณะเดียวกัน การถวายฎีการ้องทุกข์ขอความเป็นธรรม เป็นสิทธิของราษฎรในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท สามารถกระทำได้ด้วยตนเองอันเป็นไปตามราชประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุขตามประเพณีการปกครองของไทยเมือ่ได้ถวายฎีกาแล้ว ก็สุดแท้แต่พระราชวินิจฉัยจากพระมหากษัตริย์ที่จะโปรดพิจารณา
นายประพันธ์ กล่าวว่า กรณีนายสนธิ จึงแตกต่างโดนสิ้นเชิงกับการถวายฎีการ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมิได้เป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์และกระทรวงยุติธรรม ไม่ชอบโดยประเพณีการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
“นายสนธิ ลิ้มทองกุล พร้อมเข้าต่อสู้คดีทุกเมื่อไม่เคยหลบหนีหาก พนักงานอัยการ เรียกตัวส่งฟ้องเมื่อใดก็พร้อม รายงานตัวต่อสู้คดี ด้วยเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมชั้นศาล ขอให้พนักงานอัยการปฏิบัติตามความยุติธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหาทุกคนโดยเท่าเทียมกัน ด้วยอย่าเลือกปฏิบัติ”นายประพันธ์กล่าว