xs
xsm
sm
md
lg

ยั่วรัฐประหารแห้ว อุนจิสังหารเข้าเป้าจับตาแผน"นองเลือดทั้งแผ่นดิน"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ท่ามกลางสถานการณ์ที่ค่อนข้างล่อแหลมในการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงก่อนที่วันพิพากษาในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านของ นช.ทักษิณ ชินวัตรที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 26 ก.พ.จะมาถึง สิ่งที่จำเป็นจะต้องวิเคราะห์ก็คือ แนวรบของแต่ละฝ่ายในขณะนี้มีการเตรียมสรรพกำลังกันอย่างไรเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบให้กับฝ่ายของตนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

แนวรบคนเสื้อแดง
ยั่วทหารก่อรัฐประหาร


แน่นอน กลุ่มแรกที่ต้องจับตาเป็นพิเศษก็คือ กลุ่มคนเสื้อแดงของนช.ทักษิณ ซึ่งเป็นที่รับรู้กันแล้วว่า ขณะนี้พวกเขากำลังเร่งเครื่องเพื่อปลุกเร้าสถานการณ์ของประเทศให้เข้าสู่มุมอับในทุกวิถีทาง ซึ่งแต่ละยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่พวกเขาใช้นั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า มุ่งหวังเพื่อให้เกิดความวุ่นวายและความรุนแรงในบ้านเมือง เพราะนั่นเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้พวกเขาชนะได้

แม้ปากของกลุ่มคนเสื้อแดงจะบอกว่า ต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหาร แต่พวกเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ลึกๆ แล้วพวกเขาคือกลุ่มที่ต้องการให้เกิดการรัฐประหารมากที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ เพราะทันทีที่เกิดการรัฐประหาร พวกเขาจะเกิดความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวปลุกระดมคนออกมาต่อการการรัฐประหารทันที ดังนั้น สรรพสาวกคนเสื้อแดงจึงปลุกกระแสเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องเริ่มตั้งแต่แดงตัวพ่ออย่าง นช.ทักษิณและลิ่วล้ออีกสารพัดสารพัน

จากนั้นก็ปฏิบัติการยั่วยุและล่อเสือออกจากถ้ำโดยใช้ยุทธวิธีขนคนเสื้อแดงไปม็อบป่วนตามสถานที่สำคัญๆ ของทหาร เช่น กองบัญชาการกองทัพบก กระทรวงกลาโหม รวมทั้งที่ตั้งของค่ายทหารในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ

ส่วนสาเหตุที่คนเสื้อแดงมุ่งเน้นโจมตี “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” แทนที่จะเป็น “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” เป็นเพราะกลุ่มคนเสื้อแดงรับรู้ดีว่า บุคลิกและนิสัยของ พล.อ.ประยุทธ์นั้นเป็นนายทหารที่เฉียบขาด ดุดันและพร้อมจะปฏิบัติการปกป้องศักดิ์ศรีของทหารเมื่อโดนดูถูกเหยียดหยาม ซึ่งแตกต่างจาก พล.อ.อนุพงษ์ที่จัดอยู่ในข่าย “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” มิฉะนั้นแล้วคงไม่บินไปสหรัฐฯ ในช่วงที่สถานการณ์บ้านเมืองกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเยี่ยงนี้

จากนั้น กลุ่มคนเสื้อแดงและแนวร่วมจึงงัด “สารพัดวิชามาร” ออกมาเพื่อทำลายภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและทหารว่าไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้ เริ่มจากคำข่มขู่ของ “พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล” หรือ “เสธ.แดง” ที่เตือนไปยังองค์คณะผู้พิพากษาศาล ป.ป.ช. และ คตส.ในการพิจารณาคดียึดทรัพย์ว่าให้ระวังแผนลอบฆ่า

ตามต่อด้วยการประกาศบนเวทีคนเสื้อแดงที่ จ.ขอนแก่น ของนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ที่ขอให้คนเสื้อแดงที่จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ นำขวดไปคนละ 1 ใบ 1 ล้านคนจะได้ 1 ล้านใบ เมื่อไปถึงซื้อน้ำมันคนละ 1 ลิตร เพื่อต่อรองกับนายอภิสิทธิ์ให้คืนรัฐธรรมนูญปี 2540 ให้กับคนเสื้อแดง

ส่วนปฏิบัติการอุบาทว์ด้วยการปาอุจจาระและปลาร้าเข้าใส่บ้านของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีนั้น ก็ถือเป็นอีกบททดสอบหนึ่งที่ผู้ลงมือต้องการสร้างกระแสว่า ขณะนี้นั้นกระแสความไม่พอใจนายอภิสิทธิ์อยู่ในขั้นรุนแรง พยายามที่จะสร้างภาพว่าประเทศอยู่ในอนาธิปไตย กฎหมายใช้ไม่ได้ประเทศอ่อนแอ รวมข่มขู่ให้ระวังตัวว่า ขณะนี้ตกอยู่ในความไม่ปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ยังไม่สามารถจับมือใครดมได้ คนที่ต้องรับเคราะห์ไปจากอยุทธวิธีอุจจาระสังหารไปเรียบร้อยแล้วก็คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่โดนหางเลขให้พ้นไปจากการดูแลรักษาความปลอดภัยนายอภิสิทธิ์ โดยมีการแต่งตั้งให้ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ เข้ามาทำหน้าที่แทน

งานนี้ ต้องบอกว่า นายสุเทพซวยเพราะอุจจาระสังหารจริงๆ

แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น สถานการณ์ที่พลิกผันไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ยุทธวิธีต่างๆ ที่กลุ่มคนเสื้อแดงงัดขึ้นมาใช้ไม่ได้ผลในทางปฏิบัติ ทั้งเรื่องข่าวการลอบสังหาร ข่าวการทำรัฐประหารหรือแม้แต่การประกาศตั้งกองทัพประชาชนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า เนื่องจากไม่มีใครเอาด้วย

แนวรบอำมาตย์-อำนาจใหม่
ผนึกกำลังต้านคนเสื้อแดง


สำหรับแนวรบของกลุ่มอำมาตย์และกลุ่มอำนาจใหม่นั้น ดูเหมือนว่าจะมีกระแสความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจไปน้อย เพราะพวกเขาเริ่มจับกระแสการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงได้ว่า ม็อบที่จะเกิดขึ้นน่าจะมีสภาพไม่แตกต่างไปจากเหตุการณ์สงกรานต์เลือด แถมยังจะมีความรัดกุมและเป็นระบบมากกว่าครั้งที่ผ่านมาอีกต่างหาก

ดังนั้น พวกเขาจึงเฝ้าจับตามองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่วางตาและวางแผนเพื่อ “เด็ดยอด” ของชัยชนะเอาไว้ที่กลุ่มก๊วนของตนเองให้มากที่สุด

แน่นอน คนกลุ่มนี้ไม่ต้องการให้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะยุบสภาในเร็ววัน เพราะเขารู้ดีว่า ผลการเลือกตั้งครั้งใหม่จะออกมาเป็นอย่างไร พวกเขารู้ดีว่าพรรคเพื่อไทยของนช.ทักษิณจะยังคงสามารถกวาดเก้าอี้ส.ส.เอาไว้ได้มากที่สุดเหนือพรรคการเมืองอื่นๆ ซึ่งนั่นหมายถึงจุดเริ่มต้นของจุดจบในอำนาจของพวกเขาที่ดำรงอยู่ในทุกวันนี้

ด้วยเหตุดังกล่าว ทุกคนจึงจำต้องผนึกกำลังกันหนุนรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ต่อไปอย่างสุดความสามารถ

แต่เมื่อใดก็ตาม ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ซวนเซจนหมดความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศต่อไป การช่วงชิงการทำรัฐประหารจึงเป็นหนึ่งในทางเลือกของทั้ง 2 กลุ่มเช่นกัน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาพวกเขาได้มีการเช็กกำลังพลและกำลังคนว่า พร้อมที่จะทำตามคำสั่งหรือไม่ และผลที่ออกมาก็คือ ทหารยังไม่มีกลุ่มไหนแตกแถว

อย่างไรก็ตาม ปัญหาก็คือ ขณะนี้แม้กำลังคนจะพร้อม แต่สถานการณ์ที่สุกงอมเพียงพอสำหรับการทำรัฐประหารนั้นยังไม่เกิด ดังนั้น พวกเขาจึงอยู่ระหว่างการรอและมีความเป็นไปได้สูงที่จะยั่วยุหรือไม่ก็สร้างสถานการณ์ให้กลุ่มคนเสื้อแดงก่อจลาจล รวมทั้งอาจสวมบทเป็น “มือที่3” แล้วโยนบาปว่ากลุ่มคนเสื้อแดงเป็นคนทำ จากนั้นก็อาศัยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอ้างความชอบธรรมในการล้อมปราบ รวมทั้งรัฐประหารยึดอำนาจรัฐโดยอ้างความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

“มาร์ค” ระดมขุนพลรับศึกเสื้อแดง

หลังจากที่นิ่งๆ เงียบๆ มาได้พักใหญ่กับยุทธศาสตร์ของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เตรียมจะเคลื่อนไหวในช่วงก่อนและหลังวันพิพากษายึดทรัพย์ นช.ทักษิณ ชินวัตรนั้น ในที่สุด “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีก็ได้กลิ่นของความไม่ชอบมาพากลที่จะเกิดขึ้นหนักขึ้นทุกวัน จนอดรนทนไม่ไหวที่จะต้องเรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ฉุกเฉินชนิดที่เรียกว่าแทบตั้งตัวไม่ทันทีเดียว

ทั้งนี้ ข่าวที่น่าเป็นห่วงยิ่งท่ามกลางสถานการณ์ที่ส่อเค้าว่าจะดุเดือดเลือดพล่านในขณะนี้คือ การ“นายฮุนเซน” นายกรัฐมนตรีกัมพูชามีกำหนดการเดินทางมาบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาบริเวณพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร และบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งหน่วยข่าวกรองยืนยันว่า นช.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะมาปรากฎตัวด้วย

ขณะที่ทางฝ่ายทหารเองก็ได้สำเหนียกกลิ่นอายของความรุนแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นเช่นกัน มิฉะนั้นแล้ว “พล.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด” โฆษกกองทัพบกคงไม่ออกมาเปิดเผยว่าได้ให้หน่วยงานทุกหน่วยงานของกองทัพกำหนดมาตรการในการดูแลรักษาความปลอดภัย ซึ่งวางแผนระดับปกติถึงขั้นรองรับเหตุรุนแรงที่จะเกิดขึ้น โดยให้กำลังพลเตรียมการในที่ตั้ง และออกมาต่อเมื่อได้รับการร้องขอจากตำรวจที่เป็นหน่วยปฏิบัติการตามปกติ

ขณะเดียวกันก็เตรียมเสนอให้นำ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และ พ.ร.ก.การบริหาราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน มาใช้ รวมทั้งหารือถึงมาตรการในการดูแลบุคคลสำคัญ พร้อมป้องกันการบิดเบือนข่าวสาร ติดตามการจัดรายการสถานีวิทยุชุมชน และตรวจสอบตามเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดการยั่วยุ โดยเน้นใช้การควบคุมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ส่วนในต่างจังหวัดมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดช่วยกันดูแลสอดส่อง

นี่คือสัญญาณอันตรายที่น่าเป็นห่วงยิ่งในเวลานี้                            

 

 
กำลังโหลดความคิดเห็น