7 สิงหาคม พ.ศ. 2508
ที่ชาวคอมมิวนิสต์เรียกว่า วันเสียงปืนแตก เป็นวันที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยใช้อาวุธโจมตีกองกำลังของรัฐบาลไทยเป็นครั้งแรก ที่ บ้านนาบัว ตำบลเรณูนคร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
กองกำลังของพรรคในชื่อเรียกขานว่า กองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย (ทปท.) ประกาศยุทธศาสตร์ “ต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ ใช้ชนบทล้อมเมือง และยึดเมือง”
และหลังจากวันเสียงปืนแตก พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ต่อสู้ด้วยอาวุธกับกองกำลังของรัฐบาลไทยมาตลอด จนกระทั่งปี พ.ศ. 2525 มีการเจรจากับรัฐบาลไทย เลิกต่อสู้กันด้วยอาวุธ ให้มาต่อสู้กันตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย
จากนั้นอุดมการณ์ทั้งซ้ายและขวาก็เปลี่ยนไปกระทั่งสมัคร สุนทรเวช หันมาสมาทานกับจาตุรนต์ ฉายแสง
44 ปีเศษนับแต่วันเสียงปืนแตกครั้งแรก และ 27 ปีให้หลังของการวางอาวุธหันหน้าเข้ามาพัฒนาชาติไทยของกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย (ทปท.)
3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล นายทหารแห่งกองทัพไทยร่วมกับ นายทหารนอกราชการ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี และทักษิณ นักโทษหนีคดีทุจริตคอร์รัปชันที่หันไปจับมือกับเขมรได้ประกาศตั้งกองทัพประชาชนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (กปช.) โดยมีมติให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ของกองทัพประชาชนนี้
กองทัพประชาชนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (กปช.)
คำเตือนแรกของกองทัพประชาชนแห่งชาติที่ทักษิณจัดตั้งขึ้นถึงรัฐบาลก็คือ ให้หันหน้ามาเจรจา ไม่เช่นนั้นจะดำเนินการขั้นแตกหักในปลายเดือนนี้
การประกาศตั้งกองทัพประชาชนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (กปช.) ดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงระริกระรี้ของอดีตมวลสมาชิกของกองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทยออกมาสร้างกระแสสังคมและเพ้อพกหาความหลังในอุดมการณ์อันรุ่งริ่งของพวกเขา
บอกตรงๆ ว่า เวลาผมเห็นพวกคอมมิวนิสต์ฝันค้างแล้ว ผมนึกถึงดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน ของมิเกล์ เด เซร์บันเตส ซาเบดร้าทุกครั้ง
นวนิยายเรื่องนี้ กล่าวถึงขุนนางต่ำศักดิ์ผู้สูงอายุ และไร้เรี่ยวแรงคนหนึ่งแห่งแคว้นลามันช่า ซึ่งปรารถนาที่จะเป็นยอดอัศวิน
เขาสร้างเกราะและหมวกจากกระดาษแข็ง นำม้าผอมโซตัวหนึ่งมาเป็นพาหนะคู่กาย จากนั้นจึงตั้งชื่อของตนใหม่ว่า ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า และตั้งหญิงสาวคนหนึ่งที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยว่า เป็นหญิงคู่กายของตัวเอง และตั้งนามใหม่ให้นางว่า ดุล์สิเนอา แห่งโตโบโซ่
จากนั้นเขาได้แต่งตั้งอัศวินสำรอง “ซานโช่ ปันซ่า” ชาวนาผู้หลงเชื่อว่าหากเป็นผู้ติดตามดอนกิโฆเต้ สักวันหนึ่งจะได้ครอบครองที่ดินอันมีน้ำล้อมรอบเป็นรางวัลตอบแทนจากนายของตนในการเดินทางครั้งนี้
ทั้งสองคนร่วมผจญภัยโดยต่อสู้กับศัตรูร้ายในความคิดของดอนกิโฆเต้ เช่น กังหันลมซึ่งดอนกิโฆเต้เข้าใจว่าเป็นยักษ์
จากนั้นบาทหลวงและกัลบก เพื่อนบ้านของดอนกิโฆเต้ จึงได้ออกติดตามและหาทางพาดอนกิโฆเต้กลับบ้านเพื่อจะได้รักษาอาการเสียจริตของเขา
เพราะว่าไปแล้ว แม้ยุคสมัยที่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์รุ่งสุดขีด ก็แทบพูดได้อย่างเต็มปากว่าอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ที่แท้จริงก็ยังเป็นได้แค่เรื่องเพ้อฝัน และไม่เคยเกิดขึ้นจริงในโลก แม้แต่สหภาพโซเวียต หลังการปฏิวัติ 1917 ก็เป็นเพียงความพยายามแค่การเปลี่ยนผ่านทุนนิยมเอกชนมาเป็นทุนนิยมโดยรัฐ แล้วประสบความล้มเหลว
และในปัจจุบันจีนก็ละทิ้งการสร้างระบบคอมมิวนิสต์ตามแนวทางของมาร์กซ์และเหมา แล้วหันมาเปิดประเทศด้วยระบบทุนนิยมกึ่งรัฐกึ่งเอกชน ซึ่งเห็นว่าน่าจะทำให้ประชาชนของเขามีความกินดีอยู่ดีมากกว่าแนวคิด “แรงงาน (มูลค่า) ส่วนเกิน” ที่ล้าหลัง
สิ่งสำคัญที่เราเห็นชัดเจนก็คือ ไม่ว่าการปฏิวัตินั้นจะอ้างว่าทำเพื่อชนชั้นใด แต่ภายหลังการสถาปนาอำนาจก็จะมีการสร้างชนชั้นนำชนชั้นผู้ปกครองขึ้นมาในหมู่ประชาชน ด้วยอำนาจ อิทธิพล และอภิสิทธิ์ที่เหนือกว่า
กระนั้นการปลุกผีคอมมิวนิสต์แบบดอนกิโฆเต้ก็ไม่ได้เป็นภัยอะไรต่อความมั่นคง นอกจากเป็นเรื่องขำๆ ของกาลเวลา เพราะแม้แต่สังคมจะแตกแยกทางความคิดแค่ไหน ก็คงไม่มีใครหมุนเข็มนาฬิกาย้อนกลับไปแบบนั้น
แต่การประกาศตั้งกองทัพประชาชนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (กปช.)โดยทักษิณและลิ่วล้อมานั้น แม้ดูจะเป็นเรื่องเพ้อฝันไม่แพ้ไปกว่าพวกคิดรื้อฟื้นอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ แต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้กุมอำนาจรัฐไม่อาจนิ่งเฉยได้
เพราะพวกเขามีแนวคิดที่ซ่อนอยู่ภายใต้ขบวนการทวงคืนเงินทักษิณ และล้มกระบวนการยุติธรรมที่พิพากษาทักษิณว่า แนวทางเดียวที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จก็คือ การยึดครองอำนาจรัฐ และสถาปนารัฐไทยใหม่
เป้าหมายของพวกเขาจึงไม่เพียงแต่ต้องการโค่นล้มอำมาตยาธิปไตยที่พวกเขาตีวงแคบไว้อย่างชัดเจนว่า คือ องคมนตรีที่เป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ ดังนั้นกองทัพประชาชนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (กปช.)ที่พวกเขาจัดตั้งขึ้นจึงไม่เพียงแต่ต้องการทำสงครามกับกองทัพของรัฐบาลเท่านั้น
แต่มีคำหนึ่งที่พวกเขาพูดบนเวทีเสื้อแดงเสมอมาก็คือ การพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
อย่าลืมว่า ครั้งหนึ่งจักรภพ เพ็ญแข ผู้เรียกหาสงครามประชาชน เคยกล่าวว่า “ไม่เคยปรากฏมาก่อนที่ประชาชนจำนวนมากออกมาบอกว่า เราไม่ต้องการการอุปถัมภ์ของท่านอีกต่อไป เราต้องการประชาธิปไตย มิใช่คนที่มาตบหลังเรา ไม่ใช่คนที่บอกเราว่า เราจะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นเล็กน้อย แต่คุณต้องสำนึกในบุญคุณของเรา ถึงเวลาแล้วที่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงควรเป็นสิทธิระดับชาติของประชาชน”
อย่าลืมว่า ทุกวันนี้ขบวนการโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ได้เติบใหญ่รุนแรงมากขึ้น ทั้งเว็บไซต์ การเผยแพร่เอกสารใต้ดิน ซีดี และการเติบใหญ่นี้เกิดขึ้นจากการละเลยเมินเฉยของรัฐบาลที่ปล่อยให้สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกโจมตีทั้งที่มีเครื่องมือเครื่องไม้มากมาย
เมื่อ 2-3 วันมานี้เพิ่งได้ยิน รัฐมนตรีน้องเดียว สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ว่าจะใช้สื่อของรัฐเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน และจำเป็นที่จะต้องมีรายการที่มีเนื้อหาปกป้องสถาบัน โดยวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการบิดเบือน จนนำไปสู่การสร้างสถานการณ์ทางการเมือง
ฟังผิวเผินก็คิดว่า ดี และปลอบใจตัวเองว่า ถึงช้าไปก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
แต่พอฟังแล้วจับใจความได้ว่า เนื้อหาที่สื่อของรัฐจะเสนอคือ เรื่องที่ถูกโจมตีว่า 2 มาตรฐานระหว่างการดำเนินคดีพันธมิตรฯ และคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และการดำเนินคดีกับกลุ่มคนเสื้อแดง
ก็เห็นชัดว่า เป้าหมายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ยังคงตีกรอบอยู่แค่ว่าจะทำให้คนเสื้อแดงเข้าใจว่า รัฐบาลไม่ได้เป็นพวกเดียวกับพันธมิตรฯ เหมือนที่รัฐบาลชุดนี้พยายามทำอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่กองทัพทักษิณมองข้ามชอตนั้นไปแล้ว
ฟังแล้วอดสงสารน้องเดียวเด็กอัจฉริยะแห่งเกมทศกัณฐ์ไม่ได้ที่ถูกนำชื่อมาเรียกขานรัฐมนตรีสาทิตย์ เพราะคิดได้แค่นี้ในวันที่ทักษิณประกาศตั้งกองกำลังเพื่อทำสงครามประชาชนกับรัฐบาล และสถาบันพระมหากษัตริย์ถูกสั่นคลอนมากที่สุด
surawhisky@hotmail.com
ที่ชาวคอมมิวนิสต์เรียกว่า วันเสียงปืนแตก เป็นวันที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยใช้อาวุธโจมตีกองกำลังของรัฐบาลไทยเป็นครั้งแรก ที่ บ้านนาบัว ตำบลเรณูนคร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
กองกำลังของพรรคในชื่อเรียกขานว่า กองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย (ทปท.) ประกาศยุทธศาสตร์ “ต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ ใช้ชนบทล้อมเมือง และยึดเมือง”
และหลังจากวันเสียงปืนแตก พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ต่อสู้ด้วยอาวุธกับกองกำลังของรัฐบาลไทยมาตลอด จนกระทั่งปี พ.ศ. 2525 มีการเจรจากับรัฐบาลไทย เลิกต่อสู้กันด้วยอาวุธ ให้มาต่อสู้กันตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย
จากนั้นอุดมการณ์ทั้งซ้ายและขวาก็เปลี่ยนไปกระทั่งสมัคร สุนทรเวช หันมาสมาทานกับจาตุรนต์ ฉายแสง
44 ปีเศษนับแต่วันเสียงปืนแตกครั้งแรก และ 27 ปีให้หลังของการวางอาวุธหันหน้าเข้ามาพัฒนาชาติไทยของกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย (ทปท.)
3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล นายทหารแห่งกองทัพไทยร่วมกับ นายทหารนอกราชการ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี และทักษิณ นักโทษหนีคดีทุจริตคอร์รัปชันที่หันไปจับมือกับเขมรได้ประกาศตั้งกองทัพประชาชนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (กปช.) โดยมีมติให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ของกองทัพประชาชนนี้
กองทัพประชาชนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (กปช.)
คำเตือนแรกของกองทัพประชาชนแห่งชาติที่ทักษิณจัดตั้งขึ้นถึงรัฐบาลก็คือ ให้หันหน้ามาเจรจา ไม่เช่นนั้นจะดำเนินการขั้นแตกหักในปลายเดือนนี้
การประกาศตั้งกองทัพประชาชนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (กปช.) ดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงระริกระรี้ของอดีตมวลสมาชิกของกองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทยออกมาสร้างกระแสสังคมและเพ้อพกหาความหลังในอุดมการณ์อันรุ่งริ่งของพวกเขา
บอกตรงๆ ว่า เวลาผมเห็นพวกคอมมิวนิสต์ฝันค้างแล้ว ผมนึกถึงดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน ของมิเกล์ เด เซร์บันเตส ซาเบดร้าทุกครั้ง
นวนิยายเรื่องนี้ กล่าวถึงขุนนางต่ำศักดิ์ผู้สูงอายุ และไร้เรี่ยวแรงคนหนึ่งแห่งแคว้นลามันช่า ซึ่งปรารถนาที่จะเป็นยอดอัศวิน
เขาสร้างเกราะและหมวกจากกระดาษแข็ง นำม้าผอมโซตัวหนึ่งมาเป็นพาหนะคู่กาย จากนั้นจึงตั้งชื่อของตนใหม่ว่า ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า และตั้งหญิงสาวคนหนึ่งที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยว่า เป็นหญิงคู่กายของตัวเอง และตั้งนามใหม่ให้นางว่า ดุล์สิเนอา แห่งโตโบโซ่
จากนั้นเขาได้แต่งตั้งอัศวินสำรอง “ซานโช่ ปันซ่า” ชาวนาผู้หลงเชื่อว่าหากเป็นผู้ติดตามดอนกิโฆเต้ สักวันหนึ่งจะได้ครอบครองที่ดินอันมีน้ำล้อมรอบเป็นรางวัลตอบแทนจากนายของตนในการเดินทางครั้งนี้
ทั้งสองคนร่วมผจญภัยโดยต่อสู้กับศัตรูร้ายในความคิดของดอนกิโฆเต้ เช่น กังหันลมซึ่งดอนกิโฆเต้เข้าใจว่าเป็นยักษ์
จากนั้นบาทหลวงและกัลบก เพื่อนบ้านของดอนกิโฆเต้ จึงได้ออกติดตามและหาทางพาดอนกิโฆเต้กลับบ้านเพื่อจะได้รักษาอาการเสียจริตของเขา
เพราะว่าไปแล้ว แม้ยุคสมัยที่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์รุ่งสุดขีด ก็แทบพูดได้อย่างเต็มปากว่าอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ที่แท้จริงก็ยังเป็นได้แค่เรื่องเพ้อฝัน และไม่เคยเกิดขึ้นจริงในโลก แม้แต่สหภาพโซเวียต หลังการปฏิวัติ 1917 ก็เป็นเพียงความพยายามแค่การเปลี่ยนผ่านทุนนิยมเอกชนมาเป็นทุนนิยมโดยรัฐ แล้วประสบความล้มเหลว
และในปัจจุบันจีนก็ละทิ้งการสร้างระบบคอมมิวนิสต์ตามแนวทางของมาร์กซ์และเหมา แล้วหันมาเปิดประเทศด้วยระบบทุนนิยมกึ่งรัฐกึ่งเอกชน ซึ่งเห็นว่าน่าจะทำให้ประชาชนของเขามีความกินดีอยู่ดีมากกว่าแนวคิด “แรงงาน (มูลค่า) ส่วนเกิน” ที่ล้าหลัง
สิ่งสำคัญที่เราเห็นชัดเจนก็คือ ไม่ว่าการปฏิวัตินั้นจะอ้างว่าทำเพื่อชนชั้นใด แต่ภายหลังการสถาปนาอำนาจก็จะมีการสร้างชนชั้นนำชนชั้นผู้ปกครองขึ้นมาในหมู่ประชาชน ด้วยอำนาจ อิทธิพล และอภิสิทธิ์ที่เหนือกว่า
กระนั้นการปลุกผีคอมมิวนิสต์แบบดอนกิโฆเต้ก็ไม่ได้เป็นภัยอะไรต่อความมั่นคง นอกจากเป็นเรื่องขำๆ ของกาลเวลา เพราะแม้แต่สังคมจะแตกแยกทางความคิดแค่ไหน ก็คงไม่มีใครหมุนเข็มนาฬิกาย้อนกลับไปแบบนั้น
แต่การประกาศตั้งกองทัพประชาชนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (กปช.)โดยทักษิณและลิ่วล้อมานั้น แม้ดูจะเป็นเรื่องเพ้อฝันไม่แพ้ไปกว่าพวกคิดรื้อฟื้นอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ แต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้กุมอำนาจรัฐไม่อาจนิ่งเฉยได้
เพราะพวกเขามีแนวคิดที่ซ่อนอยู่ภายใต้ขบวนการทวงคืนเงินทักษิณ และล้มกระบวนการยุติธรรมที่พิพากษาทักษิณว่า แนวทางเดียวที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จก็คือ การยึดครองอำนาจรัฐ และสถาปนารัฐไทยใหม่
เป้าหมายของพวกเขาจึงไม่เพียงแต่ต้องการโค่นล้มอำมาตยาธิปไตยที่พวกเขาตีวงแคบไว้อย่างชัดเจนว่า คือ องคมนตรีที่เป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ ดังนั้นกองทัพประชาชนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (กปช.)ที่พวกเขาจัดตั้งขึ้นจึงไม่เพียงแต่ต้องการทำสงครามกับกองทัพของรัฐบาลเท่านั้น
แต่มีคำหนึ่งที่พวกเขาพูดบนเวทีเสื้อแดงเสมอมาก็คือ การพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
อย่าลืมว่า ครั้งหนึ่งจักรภพ เพ็ญแข ผู้เรียกหาสงครามประชาชน เคยกล่าวว่า “ไม่เคยปรากฏมาก่อนที่ประชาชนจำนวนมากออกมาบอกว่า เราไม่ต้องการการอุปถัมภ์ของท่านอีกต่อไป เราต้องการประชาธิปไตย มิใช่คนที่มาตบหลังเรา ไม่ใช่คนที่บอกเราว่า เราจะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นเล็กน้อย แต่คุณต้องสำนึกในบุญคุณของเรา ถึงเวลาแล้วที่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงควรเป็นสิทธิระดับชาติของประชาชน”
อย่าลืมว่า ทุกวันนี้ขบวนการโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ได้เติบใหญ่รุนแรงมากขึ้น ทั้งเว็บไซต์ การเผยแพร่เอกสารใต้ดิน ซีดี และการเติบใหญ่นี้เกิดขึ้นจากการละเลยเมินเฉยของรัฐบาลที่ปล่อยให้สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกโจมตีทั้งที่มีเครื่องมือเครื่องไม้มากมาย
เมื่อ 2-3 วันมานี้เพิ่งได้ยิน รัฐมนตรีน้องเดียว สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ว่าจะใช้สื่อของรัฐเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน และจำเป็นที่จะต้องมีรายการที่มีเนื้อหาปกป้องสถาบัน โดยวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการบิดเบือน จนนำไปสู่การสร้างสถานการณ์ทางการเมือง
ฟังผิวเผินก็คิดว่า ดี และปลอบใจตัวเองว่า ถึงช้าไปก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
แต่พอฟังแล้วจับใจความได้ว่า เนื้อหาที่สื่อของรัฐจะเสนอคือ เรื่องที่ถูกโจมตีว่า 2 มาตรฐานระหว่างการดำเนินคดีพันธมิตรฯ และคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และการดำเนินคดีกับกลุ่มคนเสื้อแดง
ก็เห็นชัดว่า เป้าหมายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ยังคงตีกรอบอยู่แค่ว่าจะทำให้คนเสื้อแดงเข้าใจว่า รัฐบาลไม่ได้เป็นพวกเดียวกับพันธมิตรฯ เหมือนที่รัฐบาลชุดนี้พยายามทำอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่กองทัพทักษิณมองข้ามชอตนั้นไปแล้ว
ฟังแล้วอดสงสารน้องเดียวเด็กอัจฉริยะแห่งเกมทศกัณฐ์ไม่ได้ที่ถูกนำชื่อมาเรียกขานรัฐมนตรีสาทิตย์ เพราะคิดได้แค่นี้ในวันที่ทักษิณประกาศตั้งกองกำลังเพื่อทำสงครามประชาชนกับรัฐบาล และสถาบันพระมหากษัตริย์ถูกสั่นคลอนมากที่สุด
surawhisky@hotmail.com