ASTVผู้จัดการรายวัน - ผบช.น.เร่งคดีปาอึบ้านนายกฯ พบหลักฐานใหม่จากภาพวงจรปิด คนร้ายทำงานเป็นทีมมีแลนด์โรเวอร์ขับคุมกัน จยย.คันก่อเหตุ นครบาล 2 สั่งขังดาบตำรวจเฝ้าบ้านนายกฯ ด้าน " อภิสิทธิ์" ย้ำทหารต้องเป็นเครื่องมือของรัฐบาลทำอะไรต้องถูกต้องตาม กม. เผยกำลังจับตาคนบางกลุ่มเคลื่อนไหว เตรียมสร้างสถานการณ์ความรุนแรง " เทพไท" ปูด นช.แม้ว "เล่นของ" จ้าง 3 ล้านปาสิ่งปฏิกูลใส่บ้านนายกฯ แก้เคล็ดให้หลุดเก้าอี้
วานนี้ (3 ก.พ.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนนำโดย พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง ผบก.น.5 พ.ต.อ.สมบัติ มิลินทจินดา ผกก.สส.บก.น.5 เพื่อคลี่คลายคดีคนร้าย ปาสิ่งปฏิกูลเข้าไปภายในบ้านของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยใช้เวลาในการประชุมประมาณ 1 ชั่วโมง
พล.ต.ท.สัณฐาน เปิดเผยหลังการประชุมว่า การคลี่คลายคดีมีความคืบหน้า ไปมากพอสมควร เนื่องจากฝ่ายสืบสวนได้หลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด ตามจุดต่างๆ ใกล้กับที่เกิดเหตุ ทำให้รู้การใช้เส้นทางของคนร้าย และไม่ได้มาเพียงคนเดียว มีรถที่ขับมาดูลาดเลา มาคอยคุ้มกันให้คนร้ายก่อเหตุ และหลังจากที่ลงมือเรียบร้อยแล้วก็มีการส่งสัญญาณกัน เบื้องต้นยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ว่ารถที่มาปฏิบัติการร่วมกับคนร้ายนั้นเป็นรถจักรยานยนต์ หรือรถยนต์ ส่วนรถแท็กซี่ที่พบในภาพวงจรปิดยังไม่พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนว่าผู้ที่มากับคนร้ายนั้นเป็นใครแต่มีมากกว่า 2 คนขึ้นไป
ทั้งนี้ตนไม่ได้กำชับอะไรกับฝ่ายสืบสวนเป็นพิเศษ เพียงแค่มอบหมายให้เร่ง รวบรวมหลักฐานให้ชัดเจน เพื่อติดตามตัวคนร้ายมาลงโทษให้ได้ สำหรับสาเหตุในครั้งนี้น่าจะเป็นเรื่องของการเมือง แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นกลุ่มใด แต่ตนคิดว่า ทุกคนคงทราบกันดี อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากหลักฐานที่ได้มาเพิ่มเติมน่าจะสามารถจับกุมตัวคนร้ายได้อย่างแน่นอน
**ยันคนร้ายทำงานเป็มทีม
ด้าน พ.ต.อ.สมบัติ กล่าวว่า สำหรับภาพจากกล้องวงจรปิดที่ได้มาเพิ่มเติม มีความชัดเจนมากกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะในส่วนของรถจักรยานยนต์ที่คนร้ายใช้ และยังได้ภาพมาอีกหลายจุด ซึ่งฝ่ายสืบสวนได้นำภาพวงจรปิดมาประมวลผลพบว่า คนร้ายมาจอดรถดูลาดเลา และไม่ได้มาก่อเหตุคนเดียว ซึ่งจะต้องนำวงจรปิดมาตรวจสอบอย่างละเอียดว่าในช่วงเวลาเกิดเหตุมีรถยนต์คันใดที่ต้องสงสัย โดยขับวนไปมาหลายครั้งบริเวณซอยบ้านท่านนายก ส่วนรถจักรยานยนต์ที่คนร้ายใช้เป็นพาหนะอาจจะต้องประสานให้แฟนพันธุ์แท้มาช่วย ตรวจสอบอีกครั้ง คาดว่าจะสามารถสรุปได้แน่นอนว่าเป็นรถจักรยานยนต์ยี่ห้อและรุ่นใด ส่วนแผ่นป้ายทะเบียนยังไม่มีความชัดเจน ในเร็วๆ นี้คดีน่าจะมีความกระจ่างจนสามารถจับตัวคนร้ายได้
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับรถที่ต้องสงสัยมากที่สุดที่ตรวจสอบพบจากภาพ ในกล้องวงจรปิด น่าจะป็นรถยนต์แลนด์โรเวอร์ ซึ่งขับนำรถจักรยานยนต์ที่ก่อเหตุมา หลังจากที่ลงมือเสร็จรถแลนด์โรเวอร์คันดังกล่าวได้ไปจอดอยู่ที่บริเวณลานจอดรถ ใกล้กับบ้านนายอภิสิทธ ส่วนรถแท็กซี่สีส้มที่ขับตามรถจักรยานยนต์คนร้ายมาจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ
**ขัง-ตั้งกก.สอบตร.เฝ้าบ้านนายกฯ
มีรายงานว่า หลังเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น และมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความ บกพร่องในการรักษาความปลอดภัย กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 โดย พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง ผบก.น.5 ได้มีคำสั่งให้ขังตำรวจยศดาบตำรวจ 1 นาย ที่ไปเข้าเวรรักษาความปลอดภัยบริเวณหน้าบ้านนายกรัฐมนตรี ขณะเกิดเหตุ เป็นเวลา 3 วัน ฐานบกพร่องต่อหน้าที่ ปล่อยให้คนร้าย ฉวยจังหวะปาถุงอุจจาระเข้าไปในบ้านพักของนายกรัฐมนตรี โดยระหว่างนั้น นายตำรวจคนดังกล่าวอ้างว่า ไปเข้าห้องน้ำ นอกจากนี้ ยังสั่งให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนนายดาบตำรวจคนดังกล่าวด้วย
**มาร์ค ปัดเลิกไว้วางใจ สุเทพ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธข่าวที่ว่า นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ บิดาให้เงิน 3 แสนบาทในการรักษาความปลอดภัยให้นายกรัฐมนตรี "ผมยังงงๆ" อยู่ใครพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ไม่น่าจะเป็นไปได้อยู่แล้ว ต้องไปถามท่าน"
ส่วนที่มีข่าวนายกรัฐมนตรีไม่ไว้ใจนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในการรักษาความปลอดภัยนั้น นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่าไม่มี นายสุเทพรับผิดชอบงาน ด้านนี้มา และทำงานมากับตนจึงทราบข้อจำกัดหลายอย่าง จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ส่วนที่มอบหน้าที่ให้ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองเลขาธิการนายกฯดูแลทีมรักษาความปลอดภัยใหันั้น เพราะ พล.ต.อ.ธานี ในฐานะ รองเลขาธิการนายกฯ จะต้องมาดูแลเรื่องนี้ด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่าคำสั่งดังกล่าวถูกมองว่า เป็นการลองของคนที่เข้ามาทำหน้าที่ ตรงนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อย่าไปเอาทุกเรื่องมาโยงกันหมด มันเป็นเรื่องที่เรา วางแผนและตั้งใจทำมาก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามยอมรับว่าจากหลายเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นจะต้องปรับระบบการรักษาความปลอดภัย ส่วนในการลงพื้นที่ของตนนั้น ปกติก็มีทีมดูแลอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความมั่นใจในระบบการรักษาความปลอดภัยในขณะนี้มากน้อยแค่ไหน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็มั่นใจ และตนก็ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ไม่รู้สึกหวั่นไหว ตนมีหน้าที่คิดเรื่องการทำงาน เรื่องนี้มีความรับผิดชอบของคนชัดเจน เมื่อถามว่า วันนี้กระทบความเป็นส่วนตัวของครอบครัวหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ความเป็นส่วนตัวกระทบมานานแล้วแต่ครอบครัวเขาก็ทราบว่า อยู่ในสถานการณ์บ้านเมืองอย่างนี้ก็มีเหตุเกิดขึ้นได้ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร
**วอน ปชช.อย่าเป็นเครื่องมือกลุ่มป่วน
ส่วนที่เคยบอกว่าความรุนแรงเริ่มเข้าสู่การเมืองมากขึ้นคิดว่าจะรุนแรงกว่าช่วง เม.ย.ปี 2552 หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เหตุการณ์เดือนเม.ย.ปีที่แล้ว ถือว่ารุนแรงมาก เราพยายามที่จะหยุดไม่ให้มันเดินหน้าหรือขยายตัวไปมากกว่านี้ คิดว่าทุกคนเข้าใจดีว่าขณะนี้ที่มีการเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้นว่ามันเพราะอะไร ฉะนั้นทุกคนคงพอจะเข้าใจว่า ทำไมช่วงนี้มีเหตุการณ์ มีข่าว ข้อมูลอะไรแปลกๆ ออกมาเป็นระยะๆ ส่วนสถานการณ์จะรุนแรงหรือไม่เป็นหน้าที่ของรัญบาลที่จะไม่ให้เกิด
เราไปห้ามคนที่อยากจะทำไม่ได้ มันเป็นความอยากของเขาที่จะทำ แต่ผม มาขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งผมมั่นใจว่า ต้องการเห็นบ้านเมือง หลุดพ้นจากเรื่องแบบนี้ว่าต้องช่วยกัน ซึ่งทุกคนช่วยได้ การช่วยคือการอย่าไปยอมรับ และอย่าไปเป็นเหยื่อของความพยายามที่จะเคลื่อนไหวให้เกิดความวุ่นวายขึ้น ในบ้านเมือง และสังคมต้องอย่าไปตื่นตระหนกข่าวสารต่างๆ ต้องกลั่นกรอง เพราะหลายเรื่องคนหลายคนที่มาพูดสิ่งนั้นสิ่งนี้จะเกิด พูดมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วไม่จริง ก็ไม่ควรที่จะไปหวั่นไหวกับคำพูดของคนเหล่านี้
ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดว่าหลังการตัดสินคดียึดทรัพย์สถานการณ์การเคลื่อนไหวจะคลี่คลายลงหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคิดว่า การเคลื่อนไหว ก่อนการตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเข้มข้น แต่ตอบไมได้ว่า หลังการตัดสินจะคลี่คลายได้ช้าเร็วแค่ไหน แต่ตนคิดว่ามันมีความพยายามที่จะโหมการเคลื่อนไหวมากคือ ช่วงก่อนการตัดสิน
**เผยเกาะติดกลุ่มคนส่อก่อเหตุรุนแรง
เมื่อถามว่า ที่เคยพูดว่า สถานการณ์จะลากยาวไปเดือนมี.ค.นิดๆ ตอนนี้ยังคิดอย่างนั้นหรือเปล่า นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ใช่ตนยังคิดอย่างนั้น เมื่อถามว่า ด้านการข่าวมีรายงานให้ต้องระมัดระวังอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีเป็นระยะๆ ในแง่ของการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ก็ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นห่วงเรื่องกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่มีการพูดถึงกันหลายครั้งหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีข่าวมาก และมีการติดตามการเคลื่อนไหว ของบางกลุ่ม ที่คาดว่าจะมีการชุมนุมและอาจมีความพยายามให้เกิดความวุ่นวายขึ้น เราก็พยายามก็ไม่ให้ไปสู่จุดนั้น เมื่อถามว่า ที่บอกว่าติดตามการเคลื่อนไหว ของคนบางกลุ่มขยายความได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นการเคลื่อนไหว ที่คิดว่าไม่ปกติหรืออาจจะมีส่วนในการทำให้เกิดความวุ่นวาย
ผู้สื่อข่าวถามว่าที่ว่ามีการติดตามกลุ่มการเคลื่อนไหว พอจะบอกได้หรือไม่ว่า กลุ่มไหน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอไม่ลงรายละเอียด เป็นเรื่องที่ทางเจ้าหน้าที่เขาจะติดตาม เมื่อถามว่าตอนนี้มีความพยายามที่จะสร้างภาพว่าประเทศอยู่ในอนาธิปไตย กฎหมายใช่ไม่ได้ประเทศอ่อนแอ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เวลานี้กฎหมายก็ใช้อยู่ แต่รัฐบาลใช้กฎหมายภายใต้ขอบเขต เช่นเกิดเหตุขึ้นเราก็ไปขออัยการ ขอศาล ให้ถอนประกัน ให้ออกหมายจับ ถ้าท่านให้เราก็ดำเนินการ ถ้าท่านไม่ให้เราก็เคารพศาล ประเทศที่ปกครองด้วยนิติรัฐก็ต้องเป็นแบบนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่าเพียงพอต่อการดูแลสถานการณ์หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าก็ต้องเพียงพอ เราต้องไม่คิดถึงอำนาจนอกระบบที่จะเข้ามาจัดการ ไม่เช่นนั้นสังคมจะไม่สามารถก้าวพ้นได้ เพราะถ้าฝ่ายหนึ่งใช้สิ่งนอกระบบได้ มันก็ไม่มีที่สิ้นสุด ทุกฝ่ายก็จะใช้ นั่นแหล่ะที่จะเป็นตัวทำลายสังคม ดังนั้นรัฐบาลต้องใช้อำนาจภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย
ส่วนจะนำกฎหมายความมั่นคงมาใข้กับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง หรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราจะใช้กฎหมายตามความจำเป็น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่ผ่านมาก็เป็นบทพิสูจน์ ก่อนหน้านี้บางฝ่ายกล่าวหาว่า เราใช้ทุกครั้งพร่ำเพรื่อจริงๆ ไม่ใช่ เขาก็มีการเคลื่อนไหวกัน ใน 3-4 รอบแล้วในช่วงที่ผ่านมา ในพื้นที่กทม. แต่ในการข่าว ถ้าเราพบว่ามันไม่มีอะไร เราก็ไม่ประกาศ จะประกาศก็ต่อเมื่อมันมีความเสี่ยง และมีความจำเป็นที่ต้องใช้อำนาจ
**ถามปฏิวัติแล้วแบบรับผลพวงไหวหรือ
ต่อข้อถามว่าในภาวะที่มีความพยายามสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้น มั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่เกิดลักษณะการฉวยโอกาสของทหารเพื่อเข้ามาแสวงหาอำนาจ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าวันนี้สังคมน่าจะมองเห็นและแม้กระทั่งกองทัพเองก็ต้องมองเห็นว่าถ้าบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะนอกรัฐธรรมนูญ อะไรจะเกิดขึ้น ในแง่ความเชื่อมั่นของชาวโลกที่จะมีต่อไทย ดังนั้นมันง่ายที่จะพูดถึงเรื่องปฏิวัติ แต่ปฏิวัติแล้วแม้สมมติว่าสำเร็จถามว่าผลพวงที่ตามมาตรงนี้ใครจะแบกรับได้ ดังนั ตนคิดว่าทุกคนน่าจะตระหนักตรงนี้ดี และถามว่าจะปฏิวัติเพื่ออะไร ส่วนใครก็วิเคราะห์กันบอกว่าเพื่อไม่ให้เหตุการณ์มันวุ่นวาย คำถามที่ตามมาก็คือว่าถ้าไม่ปฏิวัติทำไมเราดูแลแก้ปัญหาความวุ่นวายไม่ได้ในเมื่อกองทัพก็ต้องเป็นเครื่องมือของรัฐบาล และรัฐบาลก็มีนโนบายชัดแจ้งต้องการให้มีการกระทำที่ถูกกฎหมาย
ประการที่สอง ถามว่า ถ้าปฏิวัติแล้วคิดว่าจะไม่วุ่นวายหนักขึ้นเพราะมีเงื่อนไขใหม่ของการปฏิวัติหรือ ตนมองไม่เห็นว่า จะมีความพยายามที่จะปฏิวัติรัฐประหารกันไปทำไมเพราะมันจะมีแต่ความวุ่นวาย มีเงื่อนไขความขัดแย้งเพิ่มขึ้น และตนก็นึกไม่ออกว่าใครที่คิดว่าตัวเองจะแบกรับกับผลพวงที่ตามมาได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า 1 ปีที่ทำงานร่วมกับกองทัพมา นโยบายหลายเรื่องได้รับความร่วมมือและช่วงเหตุการณ์เดือนเม.ย.มา การปรับเปลี่ยนนโยบายภาคใต้ ในหลาย ๆ เรื่อง ได้รับการตอบสนองในทางที่ดี ความคิดบางเรื่องอาจจะยังมองไม่ตรงกันบ้าง ซึ่งเป็นปกติธรรมดา แต่ทุกคนก็ทำหน้าที่ของตัวเอง
เมื่อถามว่าเหมือนมีความพยายามเสี้ยมให้เกิดความแตกแยกในกองทัพ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มันอยู่ที่ข้อเท็จจริง เวลานี้กระบวนการเสี้ยมมันเสี้ยมหมด ในพรรคก็จะให้แตกแยก ระหว่างพรรคก็จะให้แตกแยก รัฐบาลกับองค์กรนั้นก็จะให้แตกแยกกัน ทั้งนี้ต้องดูที่ข้อเท็จจริง ในส่วนของรัฐบาลเองเราค่อนข้างหนักแน่นพอสมควร ไม่หวั่นไหว ไปกับกระแสที่จะทำให้เกิดความหวาดระแวง ตนก็ไม่มีความหวาดระแวง
ผู้สื่อข่าวถามว่าประเทศไทยจะหนีการปฏิวัติได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยู่ที่คนไทย ถ้าอยากจะหนีก็หนีกันได้ เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่าจะสามารถบริหารประเทศได้โดยที่ไม่มีการปฏิวัติเข้ามา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้ามีการปฏิวัติตนก็ไม่บริหารอยู่แล้ว ดังนั้นตนมีหน้าที่ในการบริหารประเทศ และประคับประคองระบอบประชาธิปไตยให้ผ่านสถานการณ์นี้ให้ได้
** "เทือก" ไม่รู้ปรับทีม รปภ.นายกฯ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าไม่ได้ยินข่าวการปรับทีมรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรี เพราะไม่เคยมีใครพูดกับตนในเรื่องนี้ แต่เท่าที่ดู ในส่วนที่เป็นความรับผิดชอบของตนนั้น ยังเหมือนเดิม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหลายยังทำหน้าที่เหมือนเดิม
"กรณีที่เกิดขึ้นเป็นช่วงที่พลั้งเผลอ ฝ่ายที่คิดจะทำการอะไร เขาคงจ้องอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่แว้บไปเท่านั้น และเป็นช่วงเที่ยง เรื่องนี้ผมก็ได้กำชับไปแล้วว่า ต่อไปนี้เวลาใครจะลุกไปไหน ไปทานข้าวก็ต้องมีคนแทน 100 % ไม่ใช่ว่า เราไปเข้มงวด เพราะในสถานการณ์แบบนี้บรรดาบุคคลสำคัญเราก็ต้องช่วยกันดูแลรักษาให้ดี ผมเชื่อว่ากรณที่เกิดขึ้นที่บ้านนายกฯ ทำให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตื่นตัวมากขึ้น และผมก็กำชับให้เขาปฎิบัติด้วยความรัดกุมมากขึ้น ก็คงจะดีขึ้น"
ส่วนที่มีข่าวว่าบิดานายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่งงถึงกับจ้างทีม รปภ.ส่วนตัวให้นายกรัฐมนตรีนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ บิดาของนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้คุยกับตน สำหรับ รภป.นายกรัฐมนตรีที่ตนจัดให้ดูแลคิดว่าดูแลได้ดี และเพียงพอ และตัวนายกรัฐมนตรี ก็เชื่อมั่น แต่ส่วนที่บ้านเป็นเรื่องของฝ่ายตำรวจ เขาดำเนินการ พอดีช่วงนี้อยู่ที่ช่วงรอยต่อ แต่คิดว่าหลังจากนี้คงเรียบร้อย
นายสุเทพ กล่าวว่าไม่ทราบว่ามีการแต่งตั้ง พล.ต.อ.ธานี มาดูแลเรื่อง รปภ. นายกรัฐมนตรี เพราะพล.ต.อ.ธานี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตน ส่วนจะทำให้เกิดความซ้ำซ้อน ในการทำงานนั้น คงไม่มีอะไรเป็นปัญหา เรื่องของเลขาธิการนายกฯ หรือรองเลขาธิการนายกฯ นั้นไม่ได้ขึ้นกับตน และตนต้องสารภาพว่า ตนไม่ทราบจริงๆ ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง
**ยันปาอึเรื่องการเมืองไม่มีประเด็นอื่น
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากมีการเพิ่มกำลังดูแลบ้านนายกรัฐมนตรี พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. จะต้องรายงานให้ทราบหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ผบช.น. ต้องดูแลทั้งนครบาล เมื่อเกิดเหตุอะไรขึ้นก็ต้องรับผิดชอบทั้งหมด และการมาเข้าพบ ตนได้สอบว่าเหตุที่เกิดขึ้น เกิดอย่างไร ที่ไหน เวลาอะไร ตำรวจที่อยู่ตรงนั้นไปไหน ก็รายงานมาตามที่เป็นข่าว ว่าเกิดช่วงเที่ยง เป็นช่วงรอยต่อระหว่างคนที่มาแทน กับคนที่จะไปทานข้าว ตนก็กำชับไปว่าต่อไปจะต้องใช้ระบบแตะมือ และที่กล่าวว่า เหตุการณ์เช่นนี้ เคยเกิดขึ้นมาบ้างแล้วนั้นเรื่องนี้ตนไม่ได้รับรายงาน
"ก็พยายามจะดูแล ลำบากนิดหน่อยเพราะในขณะที่ต้องจัดการดูแล ความปลอดภัยให้กับบ้านท่านนายกฯ ก็ต้องดูแลไม่ให้พี่น้องประชาชนที่สัญจรไปมาเดือดร้อนด้วย"
นายสุเทพ ย้ำว่าเหตุที่เกิดขึ้นไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องอื่น ตนคิดว่า เป็นเรื่องการเมืองปกติ แต่ก็ต้องทำให้ดีขึ้น เมื่อถามว่าเจ้าหน้าที่ออกมากล่าวว่ากับพยานหลักฐานเองก็ไม่มีความชัดเจนที่จะระบุถึงคนทำได้ นายสุเทพ กล่าวว่า ก็ลำบาก แต่ก็ต้องพยายามใช้วิชาการของตำรวจ ตอนที่ผ่านจุดตรงนี้อาจจะใส่หมวกกันน็อกมิดชิด กล้องอาจจะไม่ชัด แต่ปากทางเข้าออก อาจจะชัด
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะไม่ให้ฝ่ายนิติวิทยาศาสตร์ เข้ามาช่วยตรวจหรือ นายสุเทพ กล่าวว่า เรื่องวิธีการที่เจ้าหน้าที่จะทำงานนั้น ให้เป็นอิสระ แต่จะไม้ล้มเลิกง่ายๆ
**แม้วใช้เล่นของจ้าง 3 ล.ปาอึ
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบเหตุปาอุจาระบ้านนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้นจริงจากบุคคลกลุ่มหนึ่ง แต่น่าแปลกใจที่คนจากพรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช.หรือกลุ่มคนเสื้อแดง พยายามออกมาสร้างเรื่อง ป้ายสีมายังรัฐบาลว่ารัฐบาลทำเองหรือไม่ จึงขอยืนยันว่า คนในรัฐบาลไม่มีใครที่มีจิตใจใฝ่ต่ำ ต้องออกมาสร้างสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อเรียกร้องความสนใจ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล และทำให้รัฐบาลได้รับความเสียหาย จึงไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ ที่ต้องกระทำ เพื่อสร้างเรื่องขอความเห็นใจ
ผมคิดว่าการก่อเหตุดังกล่าวสังคมไทยโดยรวมรับไม่ได้กับพฤติกรรมต่ำช้า ป่าเถื่อนเช่นนี้ จึงทำให้มีคะแนนสงสารในตัวนายกฯ เพิ่มมากขึ้น ที่สุดคนเหล่านี้ ก็พยายามปฏิเสธความรับผิดชอบว่าไม่ใช่ฝีมือของพวกกลุ่มนปช. โดยโยนไปว่า เป็นมือที่สาม มือที่สองเป็นคนทำ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาดูแล้วเหมือนกับเหตุการณ์ ช่วงสงกรานต์เลือดเมื่อเดือน เม.ย. 2552 ที่กลุ่มนปช.นัดชุมนุม และมีคนกลุ่มหนึ่ง ไปเผารถเมล์ ยิงชาวบ้านย่านนางเลิ้ง และยิงมัสยิดในซอยกิ่งเพชร ซึ่งคนเหล่านี้ ก็ปฏิเสธความรับผิดชอบ โดยโยนว่าเป็นมือที่สาม หรือพวกแดงเทียมบ้าง ทั้งหมดเป็นพฤติกรรมถาวรของคนเหล่านี้ที่ทำแล้วโยนความผิดให้ผู้อื่น
นายเทพไท กล่าวว่าถ้าสมาชิกพรรคเพื่อไทย หรือคนเสื้อแดงต้องการ รู้ความจริงก็น่าจะไปถามพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ที่หลงงมงายในเรื่องไสยศาสตร์ว่า มีการจ้างคนในวงเงิน 3 ล้านบาท ให้ไปปาสิ่งปฏิกูลใส่บ้านนายกฯ เพื่อให้แก้เคล็ด ทางการเมืองจริงหรือไม่ และจริงหรือไม่ที่มีบางคนถึงกับไปปรึกษาหมอดูว่า จะให้ทำอย่างไรให้นายกฯ อภิสิทธิ์ลงจากเก้าอี้ให้ได้ และมีคำแนะนำจากหมอดูว่า ต้องเอาสิ่งปฏิกูลไปปาบ้านนายกฯ เพื่อแก้เคล็ดให้นายกฯ หลุดจากเก้าอี้นี้ ถ้าอยากรู้เรื่องนี้จริงๆ ขอให้ไปถามตัวพ.ต.ท.ทักษิณที่ดูไบ จะได้คำตอบที่ดีกว่า” นายเทพไทกล่าว
พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สูงสุด กล่าวว่า เรื่องที่มีคนปาสิ่งปฏิกูล เข้าไปในบ้านนายกรัฐมนตรี เมื่อก่อนก็เคยมีเกิดขึ้น ไม่ใช่มีเฉพาะวันนี้ ส่วนจะสั่งเพิ่มกำลังรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญหรือไม่ ในฐานะที่กองทัพไทยบังคับบัญชาศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.)นั้น ผมไม่เคยสั่งใครให้ทำอะไรเลย เป็นหน้าที่ของพนักงานที่มีหน้าที่ตามกฎหมาย ถ้าไม่เพียงพอก็มาคุยกัน คนมีหน้าที่ รปภ.บุคคลสำคัญ สถานที่ เอกสาร เขาก็จัดการ รปภ. ตามระเบียบที่มีอยู่แล้ว ระเบียบของการรักษาความปลอดภัยมี 100 % ไม่มี 80 % 70 % 10 % และเมื่อมี 100 % ก็ไม่มี 150%.
วานนี้ (3 ก.พ.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนนำโดย พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง ผบก.น.5 พ.ต.อ.สมบัติ มิลินทจินดา ผกก.สส.บก.น.5 เพื่อคลี่คลายคดีคนร้าย ปาสิ่งปฏิกูลเข้าไปภายในบ้านของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยใช้เวลาในการประชุมประมาณ 1 ชั่วโมง
พล.ต.ท.สัณฐาน เปิดเผยหลังการประชุมว่า การคลี่คลายคดีมีความคืบหน้า ไปมากพอสมควร เนื่องจากฝ่ายสืบสวนได้หลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด ตามจุดต่างๆ ใกล้กับที่เกิดเหตุ ทำให้รู้การใช้เส้นทางของคนร้าย และไม่ได้มาเพียงคนเดียว มีรถที่ขับมาดูลาดเลา มาคอยคุ้มกันให้คนร้ายก่อเหตุ และหลังจากที่ลงมือเรียบร้อยแล้วก็มีการส่งสัญญาณกัน เบื้องต้นยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ว่ารถที่มาปฏิบัติการร่วมกับคนร้ายนั้นเป็นรถจักรยานยนต์ หรือรถยนต์ ส่วนรถแท็กซี่ที่พบในภาพวงจรปิดยังไม่พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนว่าผู้ที่มากับคนร้ายนั้นเป็นใครแต่มีมากกว่า 2 คนขึ้นไป
ทั้งนี้ตนไม่ได้กำชับอะไรกับฝ่ายสืบสวนเป็นพิเศษ เพียงแค่มอบหมายให้เร่ง รวบรวมหลักฐานให้ชัดเจน เพื่อติดตามตัวคนร้ายมาลงโทษให้ได้ สำหรับสาเหตุในครั้งนี้น่าจะเป็นเรื่องของการเมือง แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นกลุ่มใด แต่ตนคิดว่า ทุกคนคงทราบกันดี อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากหลักฐานที่ได้มาเพิ่มเติมน่าจะสามารถจับกุมตัวคนร้ายได้อย่างแน่นอน
**ยันคนร้ายทำงานเป็มทีม
ด้าน พ.ต.อ.สมบัติ กล่าวว่า สำหรับภาพจากกล้องวงจรปิดที่ได้มาเพิ่มเติม มีความชัดเจนมากกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะในส่วนของรถจักรยานยนต์ที่คนร้ายใช้ และยังได้ภาพมาอีกหลายจุด ซึ่งฝ่ายสืบสวนได้นำภาพวงจรปิดมาประมวลผลพบว่า คนร้ายมาจอดรถดูลาดเลา และไม่ได้มาก่อเหตุคนเดียว ซึ่งจะต้องนำวงจรปิดมาตรวจสอบอย่างละเอียดว่าในช่วงเวลาเกิดเหตุมีรถยนต์คันใดที่ต้องสงสัย โดยขับวนไปมาหลายครั้งบริเวณซอยบ้านท่านนายก ส่วนรถจักรยานยนต์ที่คนร้ายใช้เป็นพาหนะอาจจะต้องประสานให้แฟนพันธุ์แท้มาช่วย ตรวจสอบอีกครั้ง คาดว่าจะสามารถสรุปได้แน่นอนว่าเป็นรถจักรยานยนต์ยี่ห้อและรุ่นใด ส่วนแผ่นป้ายทะเบียนยังไม่มีความชัดเจน ในเร็วๆ นี้คดีน่าจะมีความกระจ่างจนสามารถจับตัวคนร้ายได้
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับรถที่ต้องสงสัยมากที่สุดที่ตรวจสอบพบจากภาพ ในกล้องวงจรปิด น่าจะป็นรถยนต์แลนด์โรเวอร์ ซึ่งขับนำรถจักรยานยนต์ที่ก่อเหตุมา หลังจากที่ลงมือเสร็จรถแลนด์โรเวอร์คันดังกล่าวได้ไปจอดอยู่ที่บริเวณลานจอดรถ ใกล้กับบ้านนายอภิสิทธ ส่วนรถแท็กซี่สีส้มที่ขับตามรถจักรยานยนต์คนร้ายมาจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ
**ขัง-ตั้งกก.สอบตร.เฝ้าบ้านนายกฯ
มีรายงานว่า หลังเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น และมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความ บกพร่องในการรักษาความปลอดภัย กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 โดย พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง ผบก.น.5 ได้มีคำสั่งให้ขังตำรวจยศดาบตำรวจ 1 นาย ที่ไปเข้าเวรรักษาความปลอดภัยบริเวณหน้าบ้านนายกรัฐมนตรี ขณะเกิดเหตุ เป็นเวลา 3 วัน ฐานบกพร่องต่อหน้าที่ ปล่อยให้คนร้าย ฉวยจังหวะปาถุงอุจจาระเข้าไปในบ้านพักของนายกรัฐมนตรี โดยระหว่างนั้น นายตำรวจคนดังกล่าวอ้างว่า ไปเข้าห้องน้ำ นอกจากนี้ ยังสั่งให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนนายดาบตำรวจคนดังกล่าวด้วย
**มาร์ค ปัดเลิกไว้วางใจ สุเทพ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธข่าวที่ว่า นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ บิดาให้เงิน 3 แสนบาทในการรักษาความปลอดภัยให้นายกรัฐมนตรี "ผมยังงงๆ" อยู่ใครพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ไม่น่าจะเป็นไปได้อยู่แล้ว ต้องไปถามท่าน"
ส่วนที่มีข่าวนายกรัฐมนตรีไม่ไว้ใจนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในการรักษาความปลอดภัยนั้น นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่าไม่มี นายสุเทพรับผิดชอบงาน ด้านนี้มา และทำงานมากับตนจึงทราบข้อจำกัดหลายอย่าง จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ส่วนที่มอบหน้าที่ให้ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองเลขาธิการนายกฯดูแลทีมรักษาความปลอดภัยใหันั้น เพราะ พล.ต.อ.ธานี ในฐานะ รองเลขาธิการนายกฯ จะต้องมาดูแลเรื่องนี้ด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่าคำสั่งดังกล่าวถูกมองว่า เป็นการลองของคนที่เข้ามาทำหน้าที่ ตรงนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อย่าไปเอาทุกเรื่องมาโยงกันหมด มันเป็นเรื่องที่เรา วางแผนและตั้งใจทำมาก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามยอมรับว่าจากหลายเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นจะต้องปรับระบบการรักษาความปลอดภัย ส่วนในการลงพื้นที่ของตนนั้น ปกติก็มีทีมดูแลอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความมั่นใจในระบบการรักษาความปลอดภัยในขณะนี้มากน้อยแค่ไหน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็มั่นใจ และตนก็ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ไม่รู้สึกหวั่นไหว ตนมีหน้าที่คิดเรื่องการทำงาน เรื่องนี้มีความรับผิดชอบของคนชัดเจน เมื่อถามว่า วันนี้กระทบความเป็นส่วนตัวของครอบครัวหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ความเป็นส่วนตัวกระทบมานานแล้วแต่ครอบครัวเขาก็ทราบว่า อยู่ในสถานการณ์บ้านเมืองอย่างนี้ก็มีเหตุเกิดขึ้นได้ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร
**วอน ปชช.อย่าเป็นเครื่องมือกลุ่มป่วน
ส่วนที่เคยบอกว่าความรุนแรงเริ่มเข้าสู่การเมืองมากขึ้นคิดว่าจะรุนแรงกว่าช่วง เม.ย.ปี 2552 หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เหตุการณ์เดือนเม.ย.ปีที่แล้ว ถือว่ารุนแรงมาก เราพยายามที่จะหยุดไม่ให้มันเดินหน้าหรือขยายตัวไปมากกว่านี้ คิดว่าทุกคนเข้าใจดีว่าขณะนี้ที่มีการเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้นว่ามันเพราะอะไร ฉะนั้นทุกคนคงพอจะเข้าใจว่า ทำไมช่วงนี้มีเหตุการณ์ มีข่าว ข้อมูลอะไรแปลกๆ ออกมาเป็นระยะๆ ส่วนสถานการณ์จะรุนแรงหรือไม่เป็นหน้าที่ของรัญบาลที่จะไม่ให้เกิด
เราไปห้ามคนที่อยากจะทำไม่ได้ มันเป็นความอยากของเขาที่จะทำ แต่ผม มาขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งผมมั่นใจว่า ต้องการเห็นบ้านเมือง หลุดพ้นจากเรื่องแบบนี้ว่าต้องช่วยกัน ซึ่งทุกคนช่วยได้ การช่วยคือการอย่าไปยอมรับ และอย่าไปเป็นเหยื่อของความพยายามที่จะเคลื่อนไหวให้เกิดความวุ่นวายขึ้น ในบ้านเมือง และสังคมต้องอย่าไปตื่นตระหนกข่าวสารต่างๆ ต้องกลั่นกรอง เพราะหลายเรื่องคนหลายคนที่มาพูดสิ่งนั้นสิ่งนี้จะเกิด พูดมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วไม่จริง ก็ไม่ควรที่จะไปหวั่นไหวกับคำพูดของคนเหล่านี้
ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดว่าหลังการตัดสินคดียึดทรัพย์สถานการณ์การเคลื่อนไหวจะคลี่คลายลงหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคิดว่า การเคลื่อนไหว ก่อนการตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเข้มข้น แต่ตอบไมได้ว่า หลังการตัดสินจะคลี่คลายได้ช้าเร็วแค่ไหน แต่ตนคิดว่ามันมีความพยายามที่จะโหมการเคลื่อนไหวมากคือ ช่วงก่อนการตัดสิน
**เผยเกาะติดกลุ่มคนส่อก่อเหตุรุนแรง
เมื่อถามว่า ที่เคยพูดว่า สถานการณ์จะลากยาวไปเดือนมี.ค.นิดๆ ตอนนี้ยังคิดอย่างนั้นหรือเปล่า นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ใช่ตนยังคิดอย่างนั้น เมื่อถามว่า ด้านการข่าวมีรายงานให้ต้องระมัดระวังอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีเป็นระยะๆ ในแง่ของการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ก็ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นห่วงเรื่องกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่มีการพูดถึงกันหลายครั้งหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีข่าวมาก และมีการติดตามการเคลื่อนไหว ของบางกลุ่ม ที่คาดว่าจะมีการชุมนุมและอาจมีความพยายามให้เกิดความวุ่นวายขึ้น เราก็พยายามก็ไม่ให้ไปสู่จุดนั้น เมื่อถามว่า ที่บอกว่าติดตามการเคลื่อนไหว ของคนบางกลุ่มขยายความได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นการเคลื่อนไหว ที่คิดว่าไม่ปกติหรืออาจจะมีส่วนในการทำให้เกิดความวุ่นวาย
ผู้สื่อข่าวถามว่าที่ว่ามีการติดตามกลุ่มการเคลื่อนไหว พอจะบอกได้หรือไม่ว่า กลุ่มไหน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอไม่ลงรายละเอียด เป็นเรื่องที่ทางเจ้าหน้าที่เขาจะติดตาม เมื่อถามว่าตอนนี้มีความพยายามที่จะสร้างภาพว่าประเทศอยู่ในอนาธิปไตย กฎหมายใช่ไม่ได้ประเทศอ่อนแอ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เวลานี้กฎหมายก็ใช้อยู่ แต่รัฐบาลใช้กฎหมายภายใต้ขอบเขต เช่นเกิดเหตุขึ้นเราก็ไปขออัยการ ขอศาล ให้ถอนประกัน ให้ออกหมายจับ ถ้าท่านให้เราก็ดำเนินการ ถ้าท่านไม่ให้เราก็เคารพศาล ประเทศที่ปกครองด้วยนิติรัฐก็ต้องเป็นแบบนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่าเพียงพอต่อการดูแลสถานการณ์หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าก็ต้องเพียงพอ เราต้องไม่คิดถึงอำนาจนอกระบบที่จะเข้ามาจัดการ ไม่เช่นนั้นสังคมจะไม่สามารถก้าวพ้นได้ เพราะถ้าฝ่ายหนึ่งใช้สิ่งนอกระบบได้ มันก็ไม่มีที่สิ้นสุด ทุกฝ่ายก็จะใช้ นั่นแหล่ะที่จะเป็นตัวทำลายสังคม ดังนั้นรัฐบาลต้องใช้อำนาจภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย
ส่วนจะนำกฎหมายความมั่นคงมาใข้กับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง หรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราจะใช้กฎหมายตามความจำเป็น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่ผ่านมาก็เป็นบทพิสูจน์ ก่อนหน้านี้บางฝ่ายกล่าวหาว่า เราใช้ทุกครั้งพร่ำเพรื่อจริงๆ ไม่ใช่ เขาก็มีการเคลื่อนไหวกัน ใน 3-4 รอบแล้วในช่วงที่ผ่านมา ในพื้นที่กทม. แต่ในการข่าว ถ้าเราพบว่ามันไม่มีอะไร เราก็ไม่ประกาศ จะประกาศก็ต่อเมื่อมันมีความเสี่ยง และมีความจำเป็นที่ต้องใช้อำนาจ
**ถามปฏิวัติแล้วแบบรับผลพวงไหวหรือ
ต่อข้อถามว่าในภาวะที่มีความพยายามสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้น มั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่เกิดลักษณะการฉวยโอกาสของทหารเพื่อเข้ามาแสวงหาอำนาจ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าวันนี้สังคมน่าจะมองเห็นและแม้กระทั่งกองทัพเองก็ต้องมองเห็นว่าถ้าบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะนอกรัฐธรรมนูญ อะไรจะเกิดขึ้น ในแง่ความเชื่อมั่นของชาวโลกที่จะมีต่อไทย ดังนั้นมันง่ายที่จะพูดถึงเรื่องปฏิวัติ แต่ปฏิวัติแล้วแม้สมมติว่าสำเร็จถามว่าผลพวงที่ตามมาตรงนี้ใครจะแบกรับได้ ดังนั ตนคิดว่าทุกคนน่าจะตระหนักตรงนี้ดี และถามว่าจะปฏิวัติเพื่ออะไร ส่วนใครก็วิเคราะห์กันบอกว่าเพื่อไม่ให้เหตุการณ์มันวุ่นวาย คำถามที่ตามมาก็คือว่าถ้าไม่ปฏิวัติทำไมเราดูแลแก้ปัญหาความวุ่นวายไม่ได้ในเมื่อกองทัพก็ต้องเป็นเครื่องมือของรัฐบาล และรัฐบาลก็มีนโนบายชัดแจ้งต้องการให้มีการกระทำที่ถูกกฎหมาย
ประการที่สอง ถามว่า ถ้าปฏิวัติแล้วคิดว่าจะไม่วุ่นวายหนักขึ้นเพราะมีเงื่อนไขใหม่ของการปฏิวัติหรือ ตนมองไม่เห็นว่า จะมีความพยายามที่จะปฏิวัติรัฐประหารกันไปทำไมเพราะมันจะมีแต่ความวุ่นวาย มีเงื่อนไขความขัดแย้งเพิ่มขึ้น และตนก็นึกไม่ออกว่าใครที่คิดว่าตัวเองจะแบกรับกับผลพวงที่ตามมาได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า 1 ปีที่ทำงานร่วมกับกองทัพมา นโยบายหลายเรื่องได้รับความร่วมมือและช่วงเหตุการณ์เดือนเม.ย.มา การปรับเปลี่ยนนโยบายภาคใต้ ในหลาย ๆ เรื่อง ได้รับการตอบสนองในทางที่ดี ความคิดบางเรื่องอาจจะยังมองไม่ตรงกันบ้าง ซึ่งเป็นปกติธรรมดา แต่ทุกคนก็ทำหน้าที่ของตัวเอง
เมื่อถามว่าเหมือนมีความพยายามเสี้ยมให้เกิดความแตกแยกในกองทัพ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มันอยู่ที่ข้อเท็จจริง เวลานี้กระบวนการเสี้ยมมันเสี้ยมหมด ในพรรคก็จะให้แตกแยก ระหว่างพรรคก็จะให้แตกแยก รัฐบาลกับองค์กรนั้นก็จะให้แตกแยกกัน ทั้งนี้ต้องดูที่ข้อเท็จจริง ในส่วนของรัฐบาลเองเราค่อนข้างหนักแน่นพอสมควร ไม่หวั่นไหว ไปกับกระแสที่จะทำให้เกิดความหวาดระแวง ตนก็ไม่มีความหวาดระแวง
ผู้สื่อข่าวถามว่าประเทศไทยจะหนีการปฏิวัติได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยู่ที่คนไทย ถ้าอยากจะหนีก็หนีกันได้ เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่าจะสามารถบริหารประเทศได้โดยที่ไม่มีการปฏิวัติเข้ามา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้ามีการปฏิวัติตนก็ไม่บริหารอยู่แล้ว ดังนั้นตนมีหน้าที่ในการบริหารประเทศ และประคับประคองระบอบประชาธิปไตยให้ผ่านสถานการณ์นี้ให้ได้
** "เทือก" ไม่รู้ปรับทีม รปภ.นายกฯ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าไม่ได้ยินข่าวการปรับทีมรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรี เพราะไม่เคยมีใครพูดกับตนในเรื่องนี้ แต่เท่าที่ดู ในส่วนที่เป็นความรับผิดชอบของตนนั้น ยังเหมือนเดิม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหลายยังทำหน้าที่เหมือนเดิม
"กรณีที่เกิดขึ้นเป็นช่วงที่พลั้งเผลอ ฝ่ายที่คิดจะทำการอะไร เขาคงจ้องอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่แว้บไปเท่านั้น และเป็นช่วงเที่ยง เรื่องนี้ผมก็ได้กำชับไปแล้วว่า ต่อไปนี้เวลาใครจะลุกไปไหน ไปทานข้าวก็ต้องมีคนแทน 100 % ไม่ใช่ว่า เราไปเข้มงวด เพราะในสถานการณ์แบบนี้บรรดาบุคคลสำคัญเราก็ต้องช่วยกันดูแลรักษาให้ดี ผมเชื่อว่ากรณที่เกิดขึ้นที่บ้านนายกฯ ทำให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตื่นตัวมากขึ้น และผมก็กำชับให้เขาปฎิบัติด้วยความรัดกุมมากขึ้น ก็คงจะดีขึ้น"
ส่วนที่มีข่าวว่าบิดานายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่งงถึงกับจ้างทีม รปภ.ส่วนตัวให้นายกรัฐมนตรีนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ บิดาของนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้คุยกับตน สำหรับ รภป.นายกรัฐมนตรีที่ตนจัดให้ดูแลคิดว่าดูแลได้ดี และเพียงพอ และตัวนายกรัฐมนตรี ก็เชื่อมั่น แต่ส่วนที่บ้านเป็นเรื่องของฝ่ายตำรวจ เขาดำเนินการ พอดีช่วงนี้อยู่ที่ช่วงรอยต่อ แต่คิดว่าหลังจากนี้คงเรียบร้อย
นายสุเทพ กล่าวว่าไม่ทราบว่ามีการแต่งตั้ง พล.ต.อ.ธานี มาดูแลเรื่อง รปภ. นายกรัฐมนตรี เพราะพล.ต.อ.ธานี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตน ส่วนจะทำให้เกิดความซ้ำซ้อน ในการทำงานนั้น คงไม่มีอะไรเป็นปัญหา เรื่องของเลขาธิการนายกฯ หรือรองเลขาธิการนายกฯ นั้นไม่ได้ขึ้นกับตน และตนต้องสารภาพว่า ตนไม่ทราบจริงๆ ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง
**ยันปาอึเรื่องการเมืองไม่มีประเด็นอื่น
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากมีการเพิ่มกำลังดูแลบ้านนายกรัฐมนตรี พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. จะต้องรายงานให้ทราบหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ผบช.น. ต้องดูแลทั้งนครบาล เมื่อเกิดเหตุอะไรขึ้นก็ต้องรับผิดชอบทั้งหมด และการมาเข้าพบ ตนได้สอบว่าเหตุที่เกิดขึ้น เกิดอย่างไร ที่ไหน เวลาอะไร ตำรวจที่อยู่ตรงนั้นไปไหน ก็รายงานมาตามที่เป็นข่าว ว่าเกิดช่วงเที่ยง เป็นช่วงรอยต่อระหว่างคนที่มาแทน กับคนที่จะไปทานข้าว ตนก็กำชับไปว่าต่อไปจะต้องใช้ระบบแตะมือ และที่กล่าวว่า เหตุการณ์เช่นนี้ เคยเกิดขึ้นมาบ้างแล้วนั้นเรื่องนี้ตนไม่ได้รับรายงาน
"ก็พยายามจะดูแล ลำบากนิดหน่อยเพราะในขณะที่ต้องจัดการดูแล ความปลอดภัยให้กับบ้านท่านนายกฯ ก็ต้องดูแลไม่ให้พี่น้องประชาชนที่สัญจรไปมาเดือดร้อนด้วย"
นายสุเทพ ย้ำว่าเหตุที่เกิดขึ้นไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องอื่น ตนคิดว่า เป็นเรื่องการเมืองปกติ แต่ก็ต้องทำให้ดีขึ้น เมื่อถามว่าเจ้าหน้าที่ออกมากล่าวว่ากับพยานหลักฐานเองก็ไม่มีความชัดเจนที่จะระบุถึงคนทำได้ นายสุเทพ กล่าวว่า ก็ลำบาก แต่ก็ต้องพยายามใช้วิชาการของตำรวจ ตอนที่ผ่านจุดตรงนี้อาจจะใส่หมวกกันน็อกมิดชิด กล้องอาจจะไม่ชัด แต่ปากทางเข้าออก อาจจะชัด
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะไม่ให้ฝ่ายนิติวิทยาศาสตร์ เข้ามาช่วยตรวจหรือ นายสุเทพ กล่าวว่า เรื่องวิธีการที่เจ้าหน้าที่จะทำงานนั้น ให้เป็นอิสระ แต่จะไม้ล้มเลิกง่ายๆ
**แม้วใช้เล่นของจ้าง 3 ล.ปาอึ
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบเหตุปาอุจาระบ้านนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้นจริงจากบุคคลกลุ่มหนึ่ง แต่น่าแปลกใจที่คนจากพรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช.หรือกลุ่มคนเสื้อแดง พยายามออกมาสร้างเรื่อง ป้ายสีมายังรัฐบาลว่ารัฐบาลทำเองหรือไม่ จึงขอยืนยันว่า คนในรัฐบาลไม่มีใครที่มีจิตใจใฝ่ต่ำ ต้องออกมาสร้างสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อเรียกร้องความสนใจ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล และทำให้รัฐบาลได้รับความเสียหาย จึงไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ ที่ต้องกระทำ เพื่อสร้างเรื่องขอความเห็นใจ
ผมคิดว่าการก่อเหตุดังกล่าวสังคมไทยโดยรวมรับไม่ได้กับพฤติกรรมต่ำช้า ป่าเถื่อนเช่นนี้ จึงทำให้มีคะแนนสงสารในตัวนายกฯ เพิ่มมากขึ้น ที่สุดคนเหล่านี้ ก็พยายามปฏิเสธความรับผิดชอบว่าไม่ใช่ฝีมือของพวกกลุ่มนปช. โดยโยนไปว่า เป็นมือที่สาม มือที่สองเป็นคนทำ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาดูแล้วเหมือนกับเหตุการณ์ ช่วงสงกรานต์เลือดเมื่อเดือน เม.ย. 2552 ที่กลุ่มนปช.นัดชุมนุม และมีคนกลุ่มหนึ่ง ไปเผารถเมล์ ยิงชาวบ้านย่านนางเลิ้ง และยิงมัสยิดในซอยกิ่งเพชร ซึ่งคนเหล่านี้ ก็ปฏิเสธความรับผิดชอบ โดยโยนว่าเป็นมือที่สาม หรือพวกแดงเทียมบ้าง ทั้งหมดเป็นพฤติกรรมถาวรของคนเหล่านี้ที่ทำแล้วโยนความผิดให้ผู้อื่น
นายเทพไท กล่าวว่าถ้าสมาชิกพรรคเพื่อไทย หรือคนเสื้อแดงต้องการ รู้ความจริงก็น่าจะไปถามพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ที่หลงงมงายในเรื่องไสยศาสตร์ว่า มีการจ้างคนในวงเงิน 3 ล้านบาท ให้ไปปาสิ่งปฏิกูลใส่บ้านนายกฯ เพื่อให้แก้เคล็ด ทางการเมืองจริงหรือไม่ และจริงหรือไม่ที่มีบางคนถึงกับไปปรึกษาหมอดูว่า จะให้ทำอย่างไรให้นายกฯ อภิสิทธิ์ลงจากเก้าอี้ให้ได้ และมีคำแนะนำจากหมอดูว่า ต้องเอาสิ่งปฏิกูลไปปาบ้านนายกฯ เพื่อแก้เคล็ดให้นายกฯ หลุดจากเก้าอี้นี้ ถ้าอยากรู้เรื่องนี้จริงๆ ขอให้ไปถามตัวพ.ต.ท.ทักษิณที่ดูไบ จะได้คำตอบที่ดีกว่า” นายเทพไทกล่าว
พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สูงสุด กล่าวว่า เรื่องที่มีคนปาสิ่งปฏิกูล เข้าไปในบ้านนายกรัฐมนตรี เมื่อก่อนก็เคยมีเกิดขึ้น ไม่ใช่มีเฉพาะวันนี้ ส่วนจะสั่งเพิ่มกำลังรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญหรือไม่ ในฐานะที่กองทัพไทยบังคับบัญชาศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.)นั้น ผมไม่เคยสั่งใครให้ทำอะไรเลย เป็นหน้าที่ของพนักงานที่มีหน้าที่ตามกฎหมาย ถ้าไม่เพียงพอก็มาคุยกัน คนมีหน้าที่ รปภ.บุคคลสำคัญ สถานที่ เอกสาร เขาก็จัดการ รปภ. ตามระเบียบที่มีอยู่แล้ว ระเบียบของการรักษาความปลอดภัยมี 100 % ไม่มี 80 % 70 % 10 % และเมื่อมี 100 % ก็ไม่มี 150%.