“เป็ดเหลิม” ตั้งกระทู้สดป้องนายใหญ่ ลิ่วล้อเห่าตามเป็นพรวน แสลงหู “พ่อแม้ว” ถูกเรียก เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ ด้าน “มาร์ค” โชว์ลีลาพลิ้ว ยันเป็นคำให้การในชั้นศาล ศอกกลับอย่าเรียกพันธมิตรฯ ว่าเป็นผู้ก่อการ้าย เพราะยังไม่มีคำพิพากษา ปัดไม่เคยใช้กม. 2 มาตรฐาน
วันนี้ (4 ก.พ.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย การตั้งกระทู้ถามสดเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย กฎระเบียบ ในการบริหารราชการแผ่นดิน ขอถามนายกรัฐมนตรีว่า รัฐบาลชุดนี้มีการปฏิบัติที่เรียกว่า 2 มาตรฐาน ซึ่งในรัฐธรรมนูญ มาตรา 81 (1) (2) บอกว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปในการบริหารราชการ เป็นผู้บังคับบัญชาของฝ่ายบริหารทุกตำแหน่ง รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ทั้งนี้ นายกฯ ได้ให้สัมภาษณ์ว่าใครมีหลักฐานการซื้อตำแหน่งก็ให้ส่งมา อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจด้วย มีนามบัตรฝากแต่งตั้งตำรวจ ตนจะเอามาให้นายกฯ ดูในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ท่านกล้าจับพวกท่านเองหรือไม่ เรื่องนี้จะทำให้ตนขึ้นเป็นนายกฯ โดยไม่ต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจเลย อยากถามว่ากล้าหรือไม่
นอกจากนี้ อยากถามว่าความยุติธรรม ความถูกผิด 2 มาตรฐาน การดำเนินคดีต่อแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ทำไมถึงไม่คืบหน้า แถมผู้ก่อการร้ายเปิดพรรคการเมืองอีก มี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ไปร่วมด้วย คนที่ตั้งพรรคและเปิดพรรคเป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายสากล ตนจึงอยากถามว่าคดีไปถึงไหนแล้ว และจะมีการดำเนินคดีหรือไม่
ด้าน นายอภิสิทธิ์ชี้แจงว่า ที่กล่าวหาว่าใช้กฎหมายความมั่นคงเป็น 2 มาตรฐาน ถ้ากลุ่มหนึ่งมาชุมนุมก็จะประกาศใช้ แต่ถ้าเป็นอีกกลุ่มหนึ่งก็ไม่ใช้ ซึ่งตนขอปฏิเสธว่าไม่จริง ไม่ได้ใช้ทุกครั้ง เพราะหากไม่มีรายงานว่าไม่มีความรุนแรงเราก็ไม่ได้ประกาศใช้ แต่เมื่อมีรายงานข่าว เรื่องอาวุธ หรือความรุนแรง ไม่ว่าเป็นกลุ่มใดก็ต้องใช้กฎหมายควบคุม ไม่เกี่ยวกับว่าจะเป็นกลุ่มใดชุมนุม
ส่วนเรื่องการซื้อขายตำแหน่ง โยกย้าย การฝากในวงการตำรวจ ตนก็ดูแลให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่การซื้อขายทุกคนต้องช่วยกันต่อต้าน ตอนนี้ก็มีข้อมูลที่ส่งมาและมีน้ำหนักเพียงพอ ในการสวบสวนตามกฎหมาย ทั้งนี้จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบด้วย ซึ่งตนก็ไม่ได้ละเลยในเรื่องนี้ ส่วนคดีของกลุ่มพันธมิตรฯ นั้น ตนสนใจแต่ก็ไม่ได้มีการแทรกแซง ตนได้ให้นโยบายให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา โดยให้มีการรายงานเป็นระยะๆ ในความคืบหน้าของคดี การแจ้งข้อกล่าวหาต่างๆ ก็ขอให้เร่งรัดคดีที่อยู่ในความสนใจ
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า 1 ปีที่ผ่านมารัฐบาลใช้เวลาไปกับการไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และมีการกล่าวหาว่าเป็นนักโทษชายหลายครั้ง ทั้งที่เรื่องการส่งตัวผู้รายข้ามแดนกระทำไม่ได้ เพราะตามข้อตกลงของสหประชาชาติ ถ้าเป็นการพิพากษาในศาลเดียวไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ แต่รัฐบาลก็ยังดึงดันที่จะดำเนินการต่อ จึงอยากถามว่ารัฐบาลใช้อำนาจอะไรในการดำเนินการในลักษณะนี้ ทั้งที่รู้ว่ากฎหมายระหว่างประเทศ ไม่สามารถให้รัฐบาลกระทำการได้ และยังมีการกล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นภัยต่อความมั่นคงด้วย
นายกฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ทำการประสานขอความร่วมมือกับนานาชาติ มาตลอดในทุกประเทศที่เดินทางไป ที่เรามีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน ซึ่งก็ได้รับการตอบสนองจากนานาประเทศมาโดยตลอด เพียงแต่จะสังเกตเห็นได้ว่าระยะหลัง พ.ต.ท.ทักษิณมักจะเดินทางไปในประเทศที่ไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ยกเว้นประเทศกัมพูชา ส่วนเรื่องการดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าวเป็นหน้าที่ ของอัยการจะเป็นผู้ดำเนินการ
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณมีลักษณะเป็นภัยต่อความมั่นคง ดังจะสังเกตุได้จากการชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.52 ที่มีการพูดเรื่องปฏิวัติประชาชน จึงมีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการตามกฎหมายกับ พ.ต.ท.ทักษิณ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการประชุมได้เกิดการประท้วงกันอย่างวุ่นวายระหว่าง ส.ส.รัฐบาล และส.ส.ฝ่ายค้าน โดย ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลเห็นว่า ร.ต.อ.เฉลิมได้ใช้เวลาอภิปรายเกินกำหนด 30 นาที ทำให้เป็นการเสียเวลาของสภา ขณะที่ฝ่ายค้านได้ลุกขึ้นประท้วงนายกฯ ว่าเป็นการกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณในเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ โดยนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้ระบุว่า นายกฯ เป็นคนตลบแตลง ไม่ยอมพูดให้ชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินคดีของกลุ่มพันธมิตรฯ แต่เน้นให้ความสำคัญคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ
จากนั้น นายอภสิทธิ์ได้ลุกขึ้นประท้วงนายสุนัย โดยขอให้นายสามารถ ประธานในที่ประชุม สั่งให้นายสุนัยถอนคำว่าตลบแตลลง เนื่องจากสภาฯ เคยมีบรรทัดฐานไว้แล้วว่า คำนี้ไม่สามารถพูดได้ในสภาได้ ซึ่งนายสุนัยก็ได้ยอมถอนคำพูดดังกล่าว ต่อมานายวิเชียร ขาวขำ ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วงว่า นายอภิสิทธิ์ควรจะถอนคำพูดว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นภัยต่อความมั่นคง เพราะไม่เคยมีการพิพากษาระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ ด้านนายอภิสิทธิ์ได้ตอบโต้กลับว่า ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ตนพูดในชั้นศาลที่มีการฟ้องร้องเอาไว้ และยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีการพูดอย่างนี้จริง ดังนั้น ถ้าจะอ้างอย่างนี้ทางท่านก็ควรจะต้องถอนคำพูดเรื่องผู้ก่อการร้ายด้วย เพราะไม่เคยมีคำพิพากษาไหนระบุว่า กลุ่มพันธมิตรฯ เป็นผู้ก่อการร้ายเช่นกัน
ปรากฏว่าฝ่ายค้านทั้งนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน นายอดุลย์ วันไชยธนวงศ์ ส.ส.แม่ฮ่องสอน พรรคเพื่อไทย นายวิเชียร และนายสุนัย ได้ลุกขึ้นประท้วงกับคำพูดของนายกฯ โดยต่างยืนยันกลับไปว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยมีการพูดเช่นนี้ เป็นการกล่าวหาของนายกฯ ฝ่ายเดียว
จากนั้นนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ได้ใช้สิทธิพาดพิงว่า เรื่องนี้อยากให้ฝ่ายค้านไปดำเนินการฟ้องร้องกลุ่มพันธมิตรฯ สักทีว่า เป็นผู้ก่อการร้ายจริงหรือไม่ จะได้เลิกมากล่าวหากันอย่างนี้สักที
ด้าน นายสามารถได้วินิจฉัยว่า คำพูดของนายกฯ เป็นสิ่งที่พูดในชั้นศาลไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถอน เพราะเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่จะดำเนินการพิพากษาว่ามีความผิดหรือไม่ต่อไป นายกฯ จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องถอน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมสภาฯ ระหว่างการตั้งกระทู้ถามสดมีการถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมพีเพิลชาแนล โดยจะสังเกตุเห็นได้ว่ามีการเปิดให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นผ่านการส่งข้อความสั้นหรือเอสเอ็มเอส ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการโจมตีการตอบกระทู้สดของนายกฯ ว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ