ASTVผู้จัดการรายวัน- “พรทิวา”เตรียมทัวร์อาเซียน เจรจาชดเชยความเสียหายให้ไทยหลังเพื่อนบ้านเบี้ยวลดภาษีตามกรอบอาฟตา ด้านเอกชนยัส่งออกโตได้ 10-15% หากรัฐคุมบาทแข็งไม่เกิน 33 บาท และการเมืองนิ่ง จี้หน่วยงานท่เกี่ยวข้องแก้ปัญหขวางส่งออกโตใน 3 เดืน
นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยวา ในเดือนก.พ.-มี.ค.นี้ จะนำคณะผู้แทนไทยไปเยือนกลุ่มประเทศในอาเซียน ทั้งกัมพูชา เวยดนาม มาเลเซีย ฟิลิปินส์ และอินโดนีเซี เพื่อติดตาม และหารอข้อเจรจาที่ยังค้าอยู่ ตรวจสอบสถานการ์ตลาดสินค้าไทยในปรเทศเหล่านั้น หาแนวทางให้ผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์จากข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟตา) และแก้ปัหาผลกระทบของสินค้าทยจากอาฟตา
“จะหารือถึงการทำความร่วมมือระหว่างประเทศให้มากขึ้น เพื่อห้ใช้ประโยชน์จากอาตาได้เต็มที่ อย่างเอียดนามก็จะไปดูเรื่งวิธีการผลิตข้าว กฎหมายแข่งขันทางการค้าที่มีความทันสมัยกว่าไทย มีการดำเนินคดกับผู้เอาเปรียบทางารค้าแล้ว 20-30 คดี” นางพรทิวากล่าว
ผู้สื่ข่าวรายงานว่า ในการยือนมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ะเน้นหารือเรื่องกาชดเชยความเสียหายใหกับไทย กรณีที่ประเทศเหล่านั้นชะลอการลดภาษีสินค้าภายใต้อาฟตา โดยกรณีิลิปปินส์ที่จะต้องดเชยความเสียหายในสนค้าข้าวให้กับไทย หังจากที่ยอมให้โควตนำเข้าข้าวจากไทยปีะ 367,000 ตันจนกว่าจะลดภษีตามกรอบอาฟตานั้น ไทยจะเจรจาให้ฟิลิปปินส์ต้องนำเข้าข้าวหอมมะลิ 50,000 ตันจากจำนวทั้งสิ้น 367,000 ตัน และที่เหลือเป็นข้าวขาว5% แต่ฟิลิปปินส์ยังไม่ยอม เพราะจะนำเข้าเฉาะข้าวคุณภาพต่ำกว่เท่านั้น ส่วนอินโดนเซีย จะเจรจากรณีที่ชะลอการลดภาษีนำเข้าน้ำตาลทราย ซึ่งขณะน้ยังไม่ได้ข้อสรุปวา อินโดนีเซียจะมีแผการลดภาษีอย่างไร และลดเป็นอัตราสุดท้ายเท่าไร
นายอนุรัต์ โค้วคาสัย ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ กล่าวว่ นางพรทิวา จะทำหนังือขอให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องเร่งรัดแกั้ญหาของภาคเอกชน เช่ กระทรวงแรงงาน กระทวงมหาดไทย กระทรวงอุสาหกรรม โดยประเด็นสำคัญที่ต้องการให้แก้ไขโดยด่วน ได้แก่ 1. ลดปัญหาขาดแคลนแรงงาน ซึ่งประเมิว่าจะสูงถึง 400,000-500,000 ราย โดยการเร่งรัดฝึกฝมือแรงงาน และยกเลิการพิสูจน์สัญชาติคน่างด้าวที่มาทำงานใไทย 2.ส่งเสริมการใชั้ตถุดิบภายในประเทศ โดยกลุ่มผู้ผลิตหนังดิบร้องเรื่องผลผลิตล้นตลาด หลังจากกระทวงมหาดไทยเลิกซื้อหังดิบมาผลิตอุปกรณ์ช้ในการทหาร แต่หันมว่าจ้างผลิตแทน ซึ่งจะขอให้กำหนดให้ผู้รับจ้างผลิตใช้หนังดิบไทยแทนนำเข้า 3.เร่งรัดมาตรการดูแลสินค้านำเข้าด้อยคุณภาพจากจีน และยังขายต่ำกว่ราคาตลาด เพื่อเพื่อีตลาดสินค้าไทย
“ที่ร้องขอมากคือ ขอให้รัฐดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเกิน 33 บาท/เหรียญสหรัฐฯ และความชัดเจนในการแก้ปัญหาการเมืองในประเทศ ซึ่งหากไม่มีเหตการณ์รุนแรง และปัญหข้างต้นได้รับการแกไขภายใน 3 เดือนนี้ เอกชนทุกอุตสหกรรมมั่นใจว่า แต่ลกลุ่มจะสามารถส่งออได้ไม่ต่ำกว่า 10-15% และทำให้มูลค่ากรส่งออกรวมทั้งปีโตด้ 14% ตามเป้าหายที่กระทรวงพาณิชยตั้งไว้” นายนุรัตน์กล่าว
นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยวา ในเดือนก.พ.-มี.ค.นี้ จะนำคณะผู้แทนไทยไปเยือนกลุ่มประเทศในอาเซียน ทั้งกัมพูชา เวยดนาม มาเลเซีย ฟิลิปินส์ และอินโดนีเซี เพื่อติดตาม และหารอข้อเจรจาที่ยังค้าอยู่ ตรวจสอบสถานการ์ตลาดสินค้าไทยในปรเทศเหล่านั้น หาแนวทางให้ผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์จากข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟตา) และแก้ปัหาผลกระทบของสินค้าทยจากอาฟตา
“จะหารือถึงการทำความร่วมมือระหว่างประเทศให้มากขึ้น เพื่อห้ใช้ประโยชน์จากอาตาได้เต็มที่ อย่างเอียดนามก็จะไปดูเรื่งวิธีการผลิตข้าว กฎหมายแข่งขันทางการค้าที่มีความทันสมัยกว่าไทย มีการดำเนินคดกับผู้เอาเปรียบทางารค้าแล้ว 20-30 คดี” นางพรทิวากล่าว
ผู้สื่ข่าวรายงานว่า ในการยือนมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ะเน้นหารือเรื่องกาชดเชยความเสียหายใหกับไทย กรณีที่ประเทศเหล่านั้นชะลอการลดภาษีสินค้าภายใต้อาฟตา โดยกรณีิลิปปินส์ที่จะต้องดเชยความเสียหายในสนค้าข้าวให้กับไทย หังจากที่ยอมให้โควตนำเข้าข้าวจากไทยปีะ 367,000 ตันจนกว่าจะลดภษีตามกรอบอาฟตานั้น ไทยจะเจรจาให้ฟิลิปปินส์ต้องนำเข้าข้าวหอมมะลิ 50,000 ตันจากจำนวทั้งสิ้น 367,000 ตัน และที่เหลือเป็นข้าวขาว5% แต่ฟิลิปปินส์ยังไม่ยอม เพราะจะนำเข้าเฉาะข้าวคุณภาพต่ำกว่เท่านั้น ส่วนอินโดนเซีย จะเจรจากรณีที่ชะลอการลดภาษีนำเข้าน้ำตาลทราย ซึ่งขณะน้ยังไม่ได้ข้อสรุปวา อินโดนีเซียจะมีแผการลดภาษีอย่างไร และลดเป็นอัตราสุดท้ายเท่าไร
นายอนุรัต์ โค้วคาสัย ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ กล่าวว่ นางพรทิวา จะทำหนังือขอให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องเร่งรัดแกั้ญหาของภาคเอกชน เช่ กระทรวงแรงงาน กระทวงมหาดไทย กระทรวงอุสาหกรรม โดยประเด็นสำคัญที่ต้องการให้แก้ไขโดยด่วน ได้แก่ 1. ลดปัญหาขาดแคลนแรงงาน ซึ่งประเมิว่าจะสูงถึง 400,000-500,000 ราย โดยการเร่งรัดฝึกฝมือแรงงาน และยกเลิการพิสูจน์สัญชาติคน่างด้าวที่มาทำงานใไทย 2.ส่งเสริมการใชั้ตถุดิบภายในประเทศ โดยกลุ่มผู้ผลิตหนังดิบร้องเรื่องผลผลิตล้นตลาด หลังจากกระทวงมหาดไทยเลิกซื้อหังดิบมาผลิตอุปกรณ์ช้ในการทหาร แต่หันมว่าจ้างผลิตแทน ซึ่งจะขอให้กำหนดให้ผู้รับจ้างผลิตใช้หนังดิบไทยแทนนำเข้า 3.เร่งรัดมาตรการดูแลสินค้านำเข้าด้อยคุณภาพจากจีน และยังขายต่ำกว่ราคาตลาด เพื่อเพื่อีตลาดสินค้าไทย
“ที่ร้องขอมากคือ ขอให้รัฐดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเกิน 33 บาท/เหรียญสหรัฐฯ และความชัดเจนในการแก้ปัญหาการเมืองในประเทศ ซึ่งหากไม่มีเหตการณ์รุนแรง และปัญหข้างต้นได้รับการแกไขภายใน 3 เดือนนี้ เอกชนทุกอุตสหกรรมมั่นใจว่า แต่ลกลุ่มจะสามารถส่งออได้ไม่ต่ำกว่า 10-15% และทำให้มูลค่ากรส่งออกรวมทั้งปีโตด้ 14% ตามเป้าหายที่กระทรวงพาณิชยตั้งไว้” นายนุรัตน์กล่าว