xs
xsm
sm
md
lg

ส.ว.ชลฯมั่นใจทิศทาง ศก.ปี 53 สดใสหลังอุตฯหลักเติบโตจนขาดแคลนแรงงาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง
ศูนย์ข่าวศรีราชา - สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดชลบุรี มั่นใจทิศทางเศรษฐกิจของจังหวัดชลบุรีในปี 2553 จะสดใสกว่าปีก่อน หลังภาคอุตสาหกรรมหลัก 5 ส่วนในพื้นที่มีการขยายตัวไม่ว่าจะเป็นการลงทุนด้านห้องพักและภาคการผลิตเติบโตจนเกิดปัญหาขาดแคลนแรงงาน ขณะที่ปริมาณตู้สินค้าส่งออกและนำเขาผ่านท่าเรือแหลมฉบังเพิ่มขึ้นร้อยละ 5-10 ส่วนการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในเขตมาบตาพุด จังหวัดระยอง ที่เริ่มชัดเจนก็จะสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนได้มากขึ้น

นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดชลบุรี ในฐานะประธานที่ปรึกษาด้านอุตสาหกรรมคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจฯวุฒิสภา กล่าวว่าการแก้ไขปัญหามาบตาพุด จังหวัดระยองที่เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาคการเมือง หน่วยงานรัฐ-เอกชนและคณะกรรมการ 4 ฝ่ายที่มีความคืบหน้าไปมาก

ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดให้มีประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งด้านคุณภาพสิ่ง แวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ รวมทั้งการร่างพระราชบัญญัติองค์การอิสระตามมาตรา 67 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานการให้ความเห็นขององค์กรอิสระในโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างร้ายแรง

โดยหลักเกณฑ์ทั้งหมดจะชัดเจนภายในเดือนมีนาคม 2553 จะทำให้ปัญหาต่างๆด้านการลงทุนของประเทศไทยรวมถึงในพื้นที่ภาคตะวันออกผ่านพ้นไปได้ด้วยดี และยังจะทำให้ความมั่นใจของนักลงทุนกลับคืนมา

ที่สำคัญยังจะก่อให้เกิดระบบการตรวจสอบโครงการอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ และจะทำให้ประชาชนในพื้นที่โดยรอบอุตสาหกรรมไม่ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพ และ สิ่งแวดล้อม ส่วนชุมชนยังจะได้รับการปกป้องให้สามารถอยู่ร่วมกับภาคอุตสาหกรรมได้อย่างมีความสุข

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาปัญหาสิ่งแวดล้อมในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่หลายฝ่ายได้ช่วยกันหาวิธีแก้ไข เพราะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นกลไกหลักอันส่งผลต่อ GDP ประมาณ 40% ของประเทศ และอุตสาหกรรมที่ลงทุนในพื้นที่มาบตาพุด ยังเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่สามารถต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆที่สำคัญตามมา ซึ่งในการแก้ปัญหาต่างๆ ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมต่างมีความกังวลว่าหากใช้เวลานานถึงช่วงกลางปี พ.ศ.2553 อาจจะก่อให้เกิดการฟ้องร้องบังคับสัญญา ระหว่างนักลงทุน ผู้รับเหมาก่อสร้างและธนาคาร

ดังนั้น เมื่อการแก้ไขปัญหาต่างๆ เริ่มเป็นรูปธรรม ก็มีแนวโน้มว่าความมั่นใจของนักลงทุนจะกลับมาอย่างแน่นอน

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยและเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดชลบุรีคาดว่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากจังหวัดชลบุรีมีขนาดของเศรษฐกิจรองจากกรุงเทพฯ โดยเศรษฐกิจสำคัญใน 5 ภาคส่วนของชลบุรีเติบโตทั้งหมด อาทิการท่องเที่ยว ที่ขณะนี้โรงแรมขนาด 4 - 5 ดาว ในเมืองพัทยาเกิดขึ้นมากและสนามกอล์ฟก็มีลูกค้าจองเต็ม ขณะที่ด้านอุตสาหกรรมก็มีการขยายกำลังการผลิตจนทำให้ขาดแรงงานกว่า 30,000 คน

ด้านการขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือแหลมฉบังพบว่ามีปริมาณตู้สินค้าเข้า-ออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 5-10 ส่วนภาคบริการและการเงินพบว่ามีการจับจ่ายใช้สอย มากขึ้น โดยธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มในการปล่อยสินเชื่อด้านรถยนต์และที่อยู่อาศัยมากขึ้น เช่นเดียวกับภาคเกษตรกรรม ปศุสัตว์และพืชผลเกษตรได้แก่ ไก่ อ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา มีราคาสูงขึ้นจนเกษตรกรพอใจและส่งออกเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี ยังมีข้อมูลอ้างอิงที่ระบุว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยมีโอกาสที่จะฟื้นตัวในระดับหนึ่ง เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศที่เป็นคู่ค้าหลัก อย่างสหรัฐฯ ที่คาดว่าเศรษฐกิจอาจขยายตัวได้ถึงร้อยละ 2.5-3.0 ขณะที่กลุ่มสหภาพยุโรป หรืออียู ก็มีทิศทางขยายตัวทางเศรษฐกิจร้อยละ 2.0 ส่วนญี่ปุ่น จะขยายตัวร้อยละ 1-1.5 สำหรับประเทศจีน จะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจร้อยละ 8-10 ด้านอินเดีย การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะอยู่ที่ร้อยละ 7-9

“ทั้งหมดนี้จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2553 ที่จะขยายตัวใกล้เคียงกับปี 2551 โดย GDP จะขยายตัวได้ที่อัตราร้อยละ 3.0-4.0 และถึงแม้จะมีปัจจัยจากต่างประเทศทั้งเรื่อง ราคาน้ำมัน นโยบายการเงินการคลังทั่วโลกซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่ปัจจัยภายในประเทศซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความสมานฉันท์ของคนภายในประเทศ การเมืองและที่สำคัญเรื่องปัญหามาบตาพุด ก็มีความสำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนเช่นกัน” นายสุรชัย กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น