เอเจนซีส์ – ทางการผู้ดีเสนอโรงเรียนทั่วประเทศให้คำแนะนำเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กรู้สึกกดดันให้ชิงสุกก่อนห่าม ระบุควรให้ความรู้เรื่องเพศและความรุนแรงภายในบ้านตั้งแต่เด็ก 7 ขวบ ขณะที่เด็กอายุ 11 ขวบควรได้รับรู้ถึงความสำคัญของการแต่งงาน และวัยรุ่นได้รับบทเรียนเกี่ยวกับการเป็นพ่อ-แม่
หลักสูตรเพศศึกษาฉบับปรับปรุงใหม่นี้มุ่งส่งเสริม ‘การชะลอการแสวงหาประสบการณ์ทางเพศ’ และยังมีการเน้นย้ำเรื่องการแต่งงานและความสัมพันธ์อันมั่นคงว่าเป็นพื้นฐานของชีวิตครอบครัว
เด็กควรได้เรียนรู้เรื่องเพศ เช่น การแตกเนื้อหนุ่ม-สาว และพื้นฐานการเจริญพันธุ์ ตลอดจนถึงความรุนแรงในบ้านตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ขณะที่เด็กอายุ 11-14 ปีควรเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติและความสัมพันธ์ของการแต่งงานและความสัมพันธ์ที่มั่นคงสำหรับชีวิตครอบครัว และการเลี้ยงดูลูก
นอกจากนี้ ครูยังต้องส่งเสริมให้นักเรียนซักถาม ‘เรื่องที่เล่าต่อๆ กันมา’ เกี่ยวกับเรื่องเพศที่ได้ยินได้ฟังมาจากเพื่อน
แนวทางล่าสุดเหล่านี้ซึ่งร่างโดยกลุ่มครู มูลนิธิสุขภาพ กลุ่มศาสนาและเยาวชน และขณะนี้ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของทางการอังกฤษ จะถูกบรรจุเป็นส่วนหนึ่งของวิชาพฤติกรรม สังคม สุขศึกษาและเศรษฐกิจ (พีเอสเอชอี) และรวมไว้ในหลักสูตรภาคบังคับทั่วประเทศในปีการศึกษา 2011
นักเรียนประถมและมัธยมจะต้องเรียนวิชานี้ ซึ่งหัวข้อต่างๆ เกี่ยวกับเพศศึกษาจะถูกประยุกต์เพื่อให้เหมาะสมสำหรับแต่ละกลุ่มอายุ เช่น เด็กเล็กอายุเพียง 5 ขวบควรถูกกระตุ้นให้คิดถึงคำถามประมาณว่า ‘ทารกมาจากไหน?’ และ ‘ร่างกายเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายแตกต่างกันอย่างไร?’ เป็นต้น
การเรียนรู้เพื่อแนะนำเกี่ยวกับเรื่องเพศและความสัมพันธ์ฉบับปรับปรุงใหม่จะมีการเตือนนักเรียนเกี่ยวกับความกดดันของวัฒนธรรมสื่อ ที่เผยแพร่ภาพล่อแหลมอย่างแพร่หลายทั้งในโฆษณา อินเทอร์เน็ต วิดีโอเกม โทรศัพท์เคลื่อนที่ เพลง ทีวี และนิตยสาร
“สื่อเหล่านี้นำเสนอมุมมองที่บิดเบือนและไม่ถูกต้องในเรื่องเพศและความสัมพันธ์ และนำเสนอภาพเกี่ยวกับเพศและเพศสัมพันธ์โจ่งแจ้งเกินไป”
ข้อเสนอใหม่ยังเตือนความเสี่ยงจากการที่เด็กส่ง ‘ภาพที่เปิดเผยเกินไป’ ของตัวเองไปให้แฟน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีรังแกเด็ก รวมถึงมีการเน้นย้ำความสำคัญของการแต่งงาน และ ‘ความท้าทายและความรับผิดชอบของการเป็นพ่อแม่’
หลักสูตรใหม่ยังระบุถึงการให้คำแนะนำเพื่อช่วยให้เยาวชนสามารถยืนหยัดรักษาความบริสุทธิ์ของตนเองไว้ให้นานที่สุด
“เด็กวันนี้เติบโตขึ้นมาในโลกที่ต่างไปจากที่พ่อแม่ของพวกเขาเคยรู้จัก เทคโนโลยีใหม่และสื่อตลอด 24 ชั่วโมงหมายความว่าเด็กมีโอกาสสัมผัสภาพและเนื้อหามากขึ้น และภาพและเนื้อหาเหล่านั้นอาจทำให้เด็กรู้สึกกดดันให้มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัย ตลอดจนถึงเข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์และการเติบโตผิดๆ
“เรายังต้องการให้เด็กเข้าใจความสำคัญของการแต่งงานและความสัมพันธ์ที่มั่นคงอื่นๆ ซึ่งถือเป็นรากฐานของชีวิตครอบครัว วิธีที่ดีที่สุดในการเลี้ยงดูลูกและความสัมพันธ์แบบต่างๆ ที่เราต้องการให้เด็กนำไปประยุกต์ใช้เมื่อโตขึ้น” เอ็ด บอลส์ รัฐมนตรีศึกษาอังกฤษแถลง
หลักสูตรเพศศึกษาฉบับปรับปรุงใหม่นี้มุ่งส่งเสริม ‘การชะลอการแสวงหาประสบการณ์ทางเพศ’ และยังมีการเน้นย้ำเรื่องการแต่งงานและความสัมพันธ์อันมั่นคงว่าเป็นพื้นฐานของชีวิตครอบครัว
เด็กควรได้เรียนรู้เรื่องเพศ เช่น การแตกเนื้อหนุ่ม-สาว และพื้นฐานการเจริญพันธุ์ ตลอดจนถึงความรุนแรงในบ้านตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ขณะที่เด็กอายุ 11-14 ปีควรเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติและความสัมพันธ์ของการแต่งงานและความสัมพันธ์ที่มั่นคงสำหรับชีวิตครอบครัว และการเลี้ยงดูลูก
นอกจากนี้ ครูยังต้องส่งเสริมให้นักเรียนซักถาม ‘เรื่องที่เล่าต่อๆ กันมา’ เกี่ยวกับเรื่องเพศที่ได้ยินได้ฟังมาจากเพื่อน
แนวทางล่าสุดเหล่านี้ซึ่งร่างโดยกลุ่มครู มูลนิธิสุขภาพ กลุ่มศาสนาและเยาวชน และขณะนี้ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของทางการอังกฤษ จะถูกบรรจุเป็นส่วนหนึ่งของวิชาพฤติกรรม สังคม สุขศึกษาและเศรษฐกิจ (พีเอสเอชอี) และรวมไว้ในหลักสูตรภาคบังคับทั่วประเทศในปีการศึกษา 2011
นักเรียนประถมและมัธยมจะต้องเรียนวิชานี้ ซึ่งหัวข้อต่างๆ เกี่ยวกับเพศศึกษาจะถูกประยุกต์เพื่อให้เหมาะสมสำหรับแต่ละกลุ่มอายุ เช่น เด็กเล็กอายุเพียง 5 ขวบควรถูกกระตุ้นให้คิดถึงคำถามประมาณว่า ‘ทารกมาจากไหน?’ และ ‘ร่างกายเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายแตกต่างกันอย่างไร?’ เป็นต้น
การเรียนรู้เพื่อแนะนำเกี่ยวกับเรื่องเพศและความสัมพันธ์ฉบับปรับปรุงใหม่จะมีการเตือนนักเรียนเกี่ยวกับความกดดันของวัฒนธรรมสื่อ ที่เผยแพร่ภาพล่อแหลมอย่างแพร่หลายทั้งในโฆษณา อินเทอร์เน็ต วิดีโอเกม โทรศัพท์เคลื่อนที่ เพลง ทีวี และนิตยสาร
“สื่อเหล่านี้นำเสนอมุมมองที่บิดเบือนและไม่ถูกต้องในเรื่องเพศและความสัมพันธ์ และนำเสนอภาพเกี่ยวกับเพศและเพศสัมพันธ์โจ่งแจ้งเกินไป”
ข้อเสนอใหม่ยังเตือนความเสี่ยงจากการที่เด็กส่ง ‘ภาพที่เปิดเผยเกินไป’ ของตัวเองไปให้แฟน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีรังแกเด็ก รวมถึงมีการเน้นย้ำความสำคัญของการแต่งงาน และ ‘ความท้าทายและความรับผิดชอบของการเป็นพ่อแม่’
หลักสูตรใหม่ยังระบุถึงการให้คำแนะนำเพื่อช่วยให้เยาวชนสามารถยืนหยัดรักษาความบริสุทธิ์ของตนเองไว้ให้นานที่สุด
“เด็กวันนี้เติบโตขึ้นมาในโลกที่ต่างไปจากที่พ่อแม่ของพวกเขาเคยรู้จัก เทคโนโลยีใหม่และสื่อตลอด 24 ชั่วโมงหมายความว่าเด็กมีโอกาสสัมผัสภาพและเนื้อหามากขึ้น และภาพและเนื้อหาเหล่านั้นอาจทำให้เด็กรู้สึกกดดันให้มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัย ตลอดจนถึงเข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์และการเติบโตผิดๆ
“เรายังต้องการให้เด็กเข้าใจความสำคัญของการแต่งงานและความสัมพันธ์ที่มั่นคงอื่นๆ ซึ่งถือเป็นรากฐานของชีวิตครอบครัว วิธีที่ดีที่สุดในการเลี้ยงดูลูกและความสัมพันธ์แบบต่างๆ ที่เราต้องการให้เด็กนำไปประยุกต์ใช้เมื่อโตขึ้น” เอ็ด บอลส์ รัฐมนตรีศึกษาอังกฤษแถลง