ASTVผู้จัดการรายวัน- “อภิสิทธิ์”ชี้ผลสำเร็จการเยือนดาวอส ในเวทีหารือเศรษฐกิจโลกตอกย้ำเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวแล้ว แถมนักลงทุนยังให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยอีกเพียบแม้จะมีกรณีมาบตาพุด ลั่นปีนี้วางตัวเลขดึงลงทุนของบีโอไอ 5 แสนล้านบาทพร้อมเทงบประมาณปี 54เร่งฟื้นศก.อัดงบลงทุนภาครัฐสูงกว่า 3.4แสนล้านบาท เผยเวทีหารือผู้นำส่วนใหญ่ผิดหวังการประชุมโคเปนเฮเกน -จี้ยกเครื่องยูเอ็นใหม่ ด้านกนอ. เผยบริษัทรับเหมาโละคนงานแล้วกว่า 1 หมื่นคน เซ่นพิษมาบตาพุด
วานนี้ (31ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” เป็นครั้งที่ 55 ผ่านระบบ Tele Presence จากเมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มายังชั้น 28 บริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวย้ำถึงความสำเร็จในการเดินทางไปประชุมเวทีหารือเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) 2010 ครั้งที่ 40 ณ เมืองดาวอส ว่า การหารือครั้งนี้ได้ช่วยตอกย้ำให้เห็นว่าเศรษฐกิจประเทศไทยฟื้นตัวแล้วโดยตัวเลขหลายๆ ด้านชี้ชัด เช่นปีที่ผ่านมายอดการขอรับส่งเสริมการลงทุนผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)สูงถึง 7 แสนล้านบาทสูงกว่าเป้าหมาย 60% และรัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายที่จะดึงลงทุนปี 2553 ที่ประมาณ 5 แสนล้านบาท
ขณะเดียวกันไทยได้จัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นเกินเป้าทั้งปีนี้อาจจะ เกือบถึง 2 แสนล้านบาท จะมีผลให้การกำหนดนโยบายงบประมาณสำหรับปีงบประมาณ 2554 ซึ่งจะเริ่มต้นในเดือนตุลาคมของปีนี้ ซึ่งจะตั้งงบประมาณในลักษณะที่เป็นการขาดดุล เพราะฉะนั้นก็จะมีงบประมาณที่เป็นงบประมาณรายจ่ายประมาณเกิน 2 ล้านล้านบาทมาเล็กน้อย ส่งผลให้สิ่งที่จะเพิ่มขึ้นได้มากก็จะเป็นเรื่องของงบลงทุน ซึ่งปีที่แล้วงบลงทุนจะมีอยู่ที่ประมาณ 2 แสนล้านบาท ปีนี้จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 3.4 แสนกว่าล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 60%
“ ปีที่ผ่านมาตนได้เดินทางไปสวิสเซอร์แลนด์ในภาวะที่ถูกเป็นห่วงมาก ว่าประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าได้หรือเปล่า แต่ตนเพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง พูดกันตรงๆ ตอนนั้นเขาก็ไม่แน่ใจว่าปีนี้ตนจะมีโอกาสมาที่นี่หรือไม่แต่ว่าปีนี้เขารับรู้ถึงความก้าวหน้า 1 ปีที่ผ่านมา เขาได้มองเห็นว่า ประเทศไทยเริ่มกลับมาเดินหน้าแล้ว ถึงความมั่นใจในเศรษฐกิจ ซึ่งตัวเลขต่างๆยืนยันถึงการฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี และได้รับทราบสิ่งที่เราได้วาง เหมือนกับเป็นจุดขาย จุดแข็งของเรา เช่น ภาคการเกษตร การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจสร้างสรรค์”นายอภิสิทธิ์กล่าว
สำหรับความสนใจของนักธุรกิจที่จะมาลงทุนในประเทศไทยนั้นซึ่งจะมีช่วงหนึ่งที่จะมีการจัดให้มารับฟังเรื่องของประเทศไทยโดยเฉพาะนักลงทุนที่ลงทุนในไทยอยู่แล้วหรือกำลังจะมา ตั้งใจที่จะมาลงทุนเพิ่มเติม และหลากหลายมาก มีตั้งแต่ปิโตรเคมี อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมการเกษตร เรียกว่าเกือบจะทุกด้าน ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้ได้มายืนยันว่าสนใจจะลงทุนหรือขยายการลงทุนในไทยแม้ว่าจะยังมีประเด็นกรณีมาบตาพุดที่นักลงทุนสอบถามแต่ก็ได้ยืนยันถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาที่คืบหน้าอย่างมาก
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในการหารือได้นำเสนอเรื่องหลักๆ คือ 1. ไทยเข้มแข็ง ซึ่งกำลังเข้าไปแก้ปัญหาในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน คือเรื่องแหล่งน้ำ เรื่องการขนส่ง ซึ่งจะช่วยทำให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น ต้นทุนในเรื่องของการนำ สินค้าเกษตรมาสู่ตลาดลดลง ซึ่งควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรทางด้านอื่น ๆ เช่น ที่ทำกิน หนี้สิน 2. การปรับเปลี่ยนโครงการการแทรกแซงพืชผลทางการเกษตร ของระบบจำนำมาเป็นระบบประกัน ประโยชน์จะตกอยู่กับเกษตรกรในจำนวนที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
ส่วนเรื่องที่เป็นเรื่องร้อนที่เกิดขึ้นในการหารือกันและเป็นที่ถกเถียง นายกฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องปัญหาที่เกี่ยวข้องกับภาคการเงิน เพราะว่าในขณะที่เศรษฐกิจต่างๆ เริ่มฟื้นตัวขึ้นมา ความห่วงใยประการหนึ่งก็ยังมีอยู่ว่า สถาบันการเงิน ธนาคารซึ่งเป็นต้นเหตุของวิกฤตครั้งที่ผ่านมาได้เปลี่ยนแปลงไปหรือยัง จะมีการปฏิรูประบบการกำกับดูแลอย่างไร ในด้านหนึ่งทุกคนก็เห็นว่า ต้องเข้มงวดกวดขันกันมากขึ้นในเรื่องของภาคการเงิน แต่ในอีกด้านหนึ่งเขาก็กลัวว่าถ้าไปเข้มงวดกวดขันสุดโต่งเกินไป อาจจะไม่เป็นผลดีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในวันข้างหน้า แต่ไทยไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องมากนักกับการถกเถียงในส่วนนี้ เพราะว่าในส่วนของเอเชียเป็นที่ยอมรับเลยว่าเราไม่ได้ประสบกับปัญหานี้เลยใน วิกฤตรอบนี้ เขาก็เชื่อว่าไทยได้บทเรียนมาตั้งแต่ปี 2540 ตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง และขณะนี้เขาก็มองเห็นว่าลู่ทางของไทยทางด้านการเงินไม่ได้มีปัญหาอะไร
**ผิดหวังประชุมโคเปนเฮเกน
สำหรับสิ่งท้าทายที่สุดของบรรดาผู้นำประเทศต่างๆมีความผิดหวังกับการประชุมที่โคเปนเฮเกน ในเรื่องของสิ่งแวดล้อม สภาพภูมิอากาศ ซึ่งตนพบกับประธานาธิบดีเม็กซิโก ซึ่งจะเป็นประธานในเรื่องนี้ในปีนี้ ท่านยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า จะเป็นงานยากมาก ไม่เพียงแต่ว่าครั้งที่แล้วไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ แต่ว่าท่านมีความรู้สึกว่า ความไว้วางใจ การทำงานร่วมกันระหว่างประเทศต่างๆ มันก็เหมือนกับมาเริ่มต้นกันใหม่
**จี้ยกเครื่องยูเอ็น
นอกจากนี้ ก็มีการพูดกันมากถึงเรื่องการปฏิรูประบบการดูแลเศรษฐกิจโลก ตัวองค์กรอย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ธนาคารโลก อยู่ในระหว่างการปฏิรูปอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้พูดกันในหมู่ภาครัฐด้วยกัน ซึ่งพูดกันค่อนข้างแรงถึงสหประชาชาติหรือยูเอ็น ว่า ควรจะต้องมีการยกเครื่องกันครั้งใหญ่ เพราะว่าไม่สามารถที่จะตอบสนองปัญหา และความท้าทายต่างๆ ที่ประเทศทั่วโลกกำลังจะเป็น
พิษมาบตาพุดตกงานหมื่นคน
นางมณฑา ประนุทนรพาล ผู้ว่า การการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า ได้รับรายงานว่าจากผู้ประกอบการที่ถูกระงับการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดว่ามีแรงงานก่อสร้างถูกเลิกจ้างจากบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างแล้วไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นคน เนื่องจากบริษัทต้องลดภาระค่าใช้จ่ายและแรงงานจำนวนหนึ่งเปลี่ยนใจไปทำงานในภาคการเกษตรแทนเนื่องจากราคาพืชผลค่อนข้างสูงและอีกส่วนผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ได้เกลี่ยงานที่อื่นใหม่
“ ส่วนแรงงานที่เหลือหากไม่สามารถหางานใหม่ได้จริง กนอ. จะประสานงานกับกระทรวงแรงงานเพื่อหางานใหม่ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับงานเก่าให้แรงงานทำ แต่เชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีปัญหาต่อแรงงานมากนัก เพราะส่วนใหญ่ถูกผู้รับเหมารายใหญ่ไกล่เกลี่ยงานก่อสร้างที่อื่นให้ เพราะในภาพรวมของอุตสาหกรรมก่อสร้างยังขาดแคลนแรงงานอยู่”นางมณฑากล่าว
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากกรณีที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้เสนอแนวทางให้โรงงานที่ติดคดี “มาบตาพุด” ที่อยู่ในระหว่างก่อสร้างที่มีประมาณ 23 โครงการ ยื่นต่อศาลปกครองกลางเพื่อทบทวนคำสั่งระงับกิจการได้นั้น นับเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากโครงการเดินหน้าก่อสร้างได้จะทำให้ไม่เกิดปัญหาการตกงานของคนงานและโรงงานยังก่อสร้างได้ตามแผน
“แม้ว่าในขณะนี้ กระทรวงแรงงงานจะจัดตั้งศูนย์แรงงานรองรับปัญหาตกงานจากกรณีคดีมาบตาพุดแล้ว แต่หากโครงการที่ก่อสร้างสามารถเดินหน้าได้ ก็จะเป็นผลดีต่อทั้งระบบ โดยในส่วนของภาคเอกชนก็พร้อมจะให้ข้อมูลทั้งหมด” นายพยุงศักดิ์ กล่าว
วานนี้ (31ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” เป็นครั้งที่ 55 ผ่านระบบ Tele Presence จากเมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มายังชั้น 28 บริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวย้ำถึงความสำเร็จในการเดินทางไปประชุมเวทีหารือเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) 2010 ครั้งที่ 40 ณ เมืองดาวอส ว่า การหารือครั้งนี้ได้ช่วยตอกย้ำให้เห็นว่าเศรษฐกิจประเทศไทยฟื้นตัวแล้วโดยตัวเลขหลายๆ ด้านชี้ชัด เช่นปีที่ผ่านมายอดการขอรับส่งเสริมการลงทุนผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)สูงถึง 7 แสนล้านบาทสูงกว่าเป้าหมาย 60% และรัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายที่จะดึงลงทุนปี 2553 ที่ประมาณ 5 แสนล้านบาท
ขณะเดียวกันไทยได้จัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นเกินเป้าทั้งปีนี้อาจจะ เกือบถึง 2 แสนล้านบาท จะมีผลให้การกำหนดนโยบายงบประมาณสำหรับปีงบประมาณ 2554 ซึ่งจะเริ่มต้นในเดือนตุลาคมของปีนี้ ซึ่งจะตั้งงบประมาณในลักษณะที่เป็นการขาดดุล เพราะฉะนั้นก็จะมีงบประมาณที่เป็นงบประมาณรายจ่ายประมาณเกิน 2 ล้านล้านบาทมาเล็กน้อย ส่งผลให้สิ่งที่จะเพิ่มขึ้นได้มากก็จะเป็นเรื่องของงบลงทุน ซึ่งปีที่แล้วงบลงทุนจะมีอยู่ที่ประมาณ 2 แสนล้านบาท ปีนี้จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 3.4 แสนกว่าล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 60%
“ ปีที่ผ่านมาตนได้เดินทางไปสวิสเซอร์แลนด์ในภาวะที่ถูกเป็นห่วงมาก ว่าประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าได้หรือเปล่า แต่ตนเพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง พูดกันตรงๆ ตอนนั้นเขาก็ไม่แน่ใจว่าปีนี้ตนจะมีโอกาสมาที่นี่หรือไม่แต่ว่าปีนี้เขารับรู้ถึงความก้าวหน้า 1 ปีที่ผ่านมา เขาได้มองเห็นว่า ประเทศไทยเริ่มกลับมาเดินหน้าแล้ว ถึงความมั่นใจในเศรษฐกิจ ซึ่งตัวเลขต่างๆยืนยันถึงการฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี และได้รับทราบสิ่งที่เราได้วาง เหมือนกับเป็นจุดขาย จุดแข็งของเรา เช่น ภาคการเกษตร การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจสร้างสรรค์”นายอภิสิทธิ์กล่าว
สำหรับความสนใจของนักธุรกิจที่จะมาลงทุนในประเทศไทยนั้นซึ่งจะมีช่วงหนึ่งที่จะมีการจัดให้มารับฟังเรื่องของประเทศไทยโดยเฉพาะนักลงทุนที่ลงทุนในไทยอยู่แล้วหรือกำลังจะมา ตั้งใจที่จะมาลงทุนเพิ่มเติม และหลากหลายมาก มีตั้งแต่ปิโตรเคมี อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมการเกษตร เรียกว่าเกือบจะทุกด้าน ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้ได้มายืนยันว่าสนใจจะลงทุนหรือขยายการลงทุนในไทยแม้ว่าจะยังมีประเด็นกรณีมาบตาพุดที่นักลงทุนสอบถามแต่ก็ได้ยืนยันถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาที่คืบหน้าอย่างมาก
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในการหารือได้นำเสนอเรื่องหลักๆ คือ 1. ไทยเข้มแข็ง ซึ่งกำลังเข้าไปแก้ปัญหาในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน คือเรื่องแหล่งน้ำ เรื่องการขนส่ง ซึ่งจะช่วยทำให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น ต้นทุนในเรื่องของการนำ สินค้าเกษตรมาสู่ตลาดลดลง ซึ่งควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรทางด้านอื่น ๆ เช่น ที่ทำกิน หนี้สิน 2. การปรับเปลี่ยนโครงการการแทรกแซงพืชผลทางการเกษตร ของระบบจำนำมาเป็นระบบประกัน ประโยชน์จะตกอยู่กับเกษตรกรในจำนวนที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
ส่วนเรื่องที่เป็นเรื่องร้อนที่เกิดขึ้นในการหารือกันและเป็นที่ถกเถียง นายกฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องปัญหาที่เกี่ยวข้องกับภาคการเงิน เพราะว่าในขณะที่เศรษฐกิจต่างๆ เริ่มฟื้นตัวขึ้นมา ความห่วงใยประการหนึ่งก็ยังมีอยู่ว่า สถาบันการเงิน ธนาคารซึ่งเป็นต้นเหตุของวิกฤตครั้งที่ผ่านมาได้เปลี่ยนแปลงไปหรือยัง จะมีการปฏิรูประบบการกำกับดูแลอย่างไร ในด้านหนึ่งทุกคนก็เห็นว่า ต้องเข้มงวดกวดขันกันมากขึ้นในเรื่องของภาคการเงิน แต่ในอีกด้านหนึ่งเขาก็กลัวว่าถ้าไปเข้มงวดกวดขันสุดโต่งเกินไป อาจจะไม่เป็นผลดีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในวันข้างหน้า แต่ไทยไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องมากนักกับการถกเถียงในส่วนนี้ เพราะว่าในส่วนของเอเชียเป็นที่ยอมรับเลยว่าเราไม่ได้ประสบกับปัญหานี้เลยใน วิกฤตรอบนี้ เขาก็เชื่อว่าไทยได้บทเรียนมาตั้งแต่ปี 2540 ตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง และขณะนี้เขาก็มองเห็นว่าลู่ทางของไทยทางด้านการเงินไม่ได้มีปัญหาอะไร
**ผิดหวังประชุมโคเปนเฮเกน
สำหรับสิ่งท้าทายที่สุดของบรรดาผู้นำประเทศต่างๆมีความผิดหวังกับการประชุมที่โคเปนเฮเกน ในเรื่องของสิ่งแวดล้อม สภาพภูมิอากาศ ซึ่งตนพบกับประธานาธิบดีเม็กซิโก ซึ่งจะเป็นประธานในเรื่องนี้ในปีนี้ ท่านยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า จะเป็นงานยากมาก ไม่เพียงแต่ว่าครั้งที่แล้วไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ แต่ว่าท่านมีความรู้สึกว่า ความไว้วางใจ การทำงานร่วมกันระหว่างประเทศต่างๆ มันก็เหมือนกับมาเริ่มต้นกันใหม่
**จี้ยกเครื่องยูเอ็น
นอกจากนี้ ก็มีการพูดกันมากถึงเรื่องการปฏิรูประบบการดูแลเศรษฐกิจโลก ตัวองค์กรอย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ธนาคารโลก อยู่ในระหว่างการปฏิรูปอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้พูดกันในหมู่ภาครัฐด้วยกัน ซึ่งพูดกันค่อนข้างแรงถึงสหประชาชาติหรือยูเอ็น ว่า ควรจะต้องมีการยกเครื่องกันครั้งใหญ่ เพราะว่าไม่สามารถที่จะตอบสนองปัญหา และความท้าทายต่างๆ ที่ประเทศทั่วโลกกำลังจะเป็น
พิษมาบตาพุดตกงานหมื่นคน
นางมณฑา ประนุทนรพาล ผู้ว่า การการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า ได้รับรายงานว่าจากผู้ประกอบการที่ถูกระงับการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดว่ามีแรงงานก่อสร้างถูกเลิกจ้างจากบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างแล้วไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นคน เนื่องจากบริษัทต้องลดภาระค่าใช้จ่ายและแรงงานจำนวนหนึ่งเปลี่ยนใจไปทำงานในภาคการเกษตรแทนเนื่องจากราคาพืชผลค่อนข้างสูงและอีกส่วนผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ได้เกลี่ยงานที่อื่นใหม่
“ ส่วนแรงงานที่เหลือหากไม่สามารถหางานใหม่ได้จริง กนอ. จะประสานงานกับกระทรวงแรงงานเพื่อหางานใหม่ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับงานเก่าให้แรงงานทำ แต่เชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีปัญหาต่อแรงงานมากนัก เพราะส่วนใหญ่ถูกผู้รับเหมารายใหญ่ไกล่เกลี่ยงานก่อสร้างที่อื่นให้ เพราะในภาพรวมของอุตสาหกรรมก่อสร้างยังขาดแคลนแรงงานอยู่”นางมณฑากล่าว
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากกรณีที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้เสนอแนวทางให้โรงงานที่ติดคดี “มาบตาพุด” ที่อยู่ในระหว่างก่อสร้างที่มีประมาณ 23 โครงการ ยื่นต่อศาลปกครองกลางเพื่อทบทวนคำสั่งระงับกิจการได้นั้น นับเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากโครงการเดินหน้าก่อสร้างได้จะทำให้ไม่เกิดปัญหาการตกงานของคนงานและโรงงานยังก่อสร้างได้ตามแผน
“แม้ว่าในขณะนี้ กระทรวงแรงงงานจะจัดตั้งศูนย์แรงงานรองรับปัญหาตกงานจากกรณีคดีมาบตาพุดแล้ว แต่หากโครงการที่ก่อสร้างสามารถเดินหน้าได้ ก็จะเป็นผลดีต่อทั้งระบบ โดยในส่วนของภาคเอกชนก็พร้อมจะให้ข้อมูลทั้งหมด” นายพยุงศักดิ์ กล่าว