xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวการปฏิวัติไม่ใช่ข่าวโคมลอย

เผยแพร่:   โดย: ชัยอนันต์ สมุทวณิช

หมู่นี้มีข่าวการปฏิวัติหนาหู ผมถามผู้สันทัดการวิเคราะห์การเมืองไทยอาวุโสท่านหนึ่ง ท่านผู้นี้เป็นบุคคลที่มีคนไปหาขอความเห็นทางการเมืองเกือบทุกฝ่าย

ท่านบอกว่าเป็นความจริง และความคิดเรื่องการทำปฏิวัติรัฐประหารนี้ มีแหล่งที่มา 4 ทางด้วยกันคือ

1. ฝ่ายทหารแก่ไม่เคยตาย ซึ่งมีความไม่พอใจผู้คุมกำลังทหารในปัจจุบันว่ามักนิ่งเฉย ไม่ช่วยจัดการกับการที่มีคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ตน แหล่งนี้เป็นที่มาของการที่ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ถูกกล่าวหาว่าไปวางแผนจะปฏิวัติ

2. ฝ่ายคุมกำลังในปัจจุบัน และผู้ซึ่งเคยคุมกำลังแต่เวลานี้มาเป็นนักการเมือง สาเหตุหลักคือการเกรงว่าจะถูกสาวลึกไปถึงการเกี่ยวข้องกับการสั่งฆ่า สนธิ ลิ้มทองกุล

3. ฝ่ายสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่พยายามรวบรวมผู้คุมกำลังในกองทัพ

4. ฝ่ายทหารหนุ่มผู้คุมกำลัง และมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ กลุ่มนี้มีอุดมคติและมีการปรึกษากันเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองอย่างเปิดเผย ผ่านเว็บไซต์ก่อนจะมีการปฏิวัติรัฐประหารทุกคนั้ง จะมีการปฏิเสธจากนายทหารชั้นผู้ใหญ่เสมอว่า ไม่มีแน่ๆ ไม่เป็นความจริง แต่ก็มีทุกครั้งไป

ขณะนี้ความแตกแยกขัดแย้งในหมู่ทหารเรื่องจะแสดงออกมาให้เห็นชัดเจนขึ้น สถาบันทหารเป็นสถาบันที่ควรมีความเป็นปึกแผ่นมากที่สุด แต่เวลานี้ก็คลอนแคลน ที่สำคัญก็คือเริ่มมีการท้าทายอำนาจอย่างไม่เกรงกลัว ถึงกับมีการยิงถล่มห้องผู้บัญชาการทหารบก แถมยังมีการขู่ว่าจะบุกไปชุมนุมที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบกอีกด้วย

ความขัดแย้งในหมู่ทหารนี้ไม่ใช่จะไม่เคยเกิดขึ้นเลย แต่ก็เป็นในหมู่ทหารด้วยกันเอง แต่ในปัจจุบันลามไปถึงกลุ่มประชาชนแล้ว

นับตั้งแต่ฝ่ายพันธมิตรฯ ขึ้นเวทีวิจารณ์ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อย่างรุนแรง จากนั้นตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกที่เคยมีศักดิ์ศรีมีคนเกรงกลัว นับหน้าถือตา ก็หมดความศักดิ์สิทธิ์ไป

สมัยก่อนการทำรัฐประหารเป็นวิธีการแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองวิธีหนึ่ง แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป นานาประเทศไม่ยอมรับรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ ทหารก็มีข้อจำกัดมากขึ้น และผู้นำเหล่าทัพก็ต้องมีความอดทนอดกลั้นสูง

การตอบโต้ของนายทหารคุมกำลังต่อการเคลื่อนไหวของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล เป็นเรื่องที่ส่อให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการรัฐประหารมากขึ้น นายทหารระดับผู้บังคับกองพัน และผู้บังคับการกรม มีความรู้สึกร่วมกันว่า การกระทำของ พล.ต.ขัตติยะ ไม่ได้มีผลเฉพาะตัว พล.อ.อนุพงษ์ หากกระทบถึงเกียรติภูมิของกองทัพด้วยการเคลื่อนไหวดังกล่าวจึงเป็นขั้นแรกของแรงขับดันที่ทำให้ทหารมีความรู้สึกร่วมกันว่าจะต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด เพื่อจัดการกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มที่ท้าทายกองทัพ

การเมืองไทยระยะนี้ จึงมีความเข้มข้นขึ้น เพราะนอกจากคดีความของทักษิณแล้ว พรรคการเมืองก็กำลังมีปัญหา การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคร่วมรัฐบาลมีความเห็นแตกต่างไปจากพรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นเหตุผลที่ดีที่พรรคร่วมรัฐบาลจะหาเหตุผละออกจากการร่วมรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาลรู้อยู่แล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ร่วมด้วย แต่ก็ยังเดินหน้าต่อ ดังนั้นเป็นไปได้ว่ามีการเคลื่อนไหวที่จะเปลี่ยนขั้ว และนี่ก็จะเป็นสาเหตุที่ทำให้อภิสิทธิ์ ต้องยุบสภาในที่สุด

หากมีการยุบสภา พรรคเพื่อไทยคงจะมีเสียงมากพอสมควร แต่ก็จะมีพรรคการเมืองใหม่เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญ ผู้อยู่ในวงการต่างเกรงว่าแม้จะมีการเลือกตั้งใหม่ การเมืองไทยก็ยังจะเหมือนเดิม และคุณภาพของรัฐบาลก็จะลดลง ทำให้แก้ปัญหาสำคัญของชาติไม่ได้ และทำให้ประเทศเสียโอกาสในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ จึงมีการคิดกันว่าน่าจะนำระบอบกึ่งประชาธิปไตยกลับมาใช้อีก คือให้เกิดการร่วมมือกันระหว่างทหาร-ข้าราชการ นักธุรกิจกับนักการเมืองแบบสมัยพล.อ.เปรม แต่ระบอบนี้เป็นไปได้ยาก เว้นแต่จะมีการปฏิวัติเท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ การปฏิวัติจึงเกิดขึ้นได้ เพราะนอกจากจะเป็นการเปลี่ยนกติกาแล้ว ก็ยังจะเปิดโอกาสให้กองทัพมีการปรับตัวใหม่ และมีผู้นำคนใหม่ที่มีบุคลิกภาพเป็นผู้นำยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

สถานการณ์เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่จะเปิดโอกาสให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น และการเกิดความรุนแรงเท่านั้นที่จะช่วยให้ทักษิณสามารถสอดแทรกเข้ามาแก้ไขปัญหาส่วนตัวของเขาได้

น่าเป็นห่วงมากๆ สำหรับปีเสือปีนี้

กำลังโหลดความคิดเห็น