นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลง
วานนี้ (28 ม.ค.) ถึงกรณีที่ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ไม่ทราบว่านายสมศักดิ์ออกมาพูดในฐานะอะไร ถ้าพูดในฐานะตัวแทนของพรรคชาติไทยพัฒนาตนก็จะไม่ชี้แจง แต่ถ้าออกมาพูดในฐานะส่วนตัวโดยเปรียบตัวเองว่า เป็นสิ่งชำรุดทางการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ์ ก็ยิ่งไม่ควรออกมา แสดงความคิดเห็น แต่หากจะพูดแทนสิ่งชำรุดทางการเมืองบางคนตนก็จะขอชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมด
นายเทพไท กล่าวว่า1. เรื่องการยุบสภา กรณีที่นายกฯเคยระบุว่าพร้อมที่จะยุบสภาโดยมีเงื่อนไขว่า รัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยรวมของชาติ และความแตกแยกของคนในชาติ ให้ดีขึ้น จนสามารถไปหาเสียงได้ทุกภูมิภาคทั่วประเทศก่อนโดยที่รัฐธรรมนูญหากจะแก้ไขก็ต้องเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย
ผมอยากถามว่า การที่พรรคร่วมรัฐบาลเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 จาก 6 ประเด็นที่คณะกรรมการสมานฉันท์ศึกษาแล้ว เป็นกติกาที่ทุกฝ่ายเห็นด้วยหรือไม่ พรรคเพื่อไทยก็ออกมาต่อต้านตั้งแต่ต้นซึ่งหากแก้ไปแล้ว จะมีความสมานฉันท์ได้อย่างไร และอยากให้ไปถามส.ส.พรรคร่วมฯว่าเห็นด้วยกับการแก้เขตเดียว เบอร์เดียวหรือไม่ หรือเป็นเพียงแนวคิดของนายทุนเจ้าของพรรคที่กลัวเสียค่าใช้จ่ายแบบเหมารวมในการเลือกตั้งแพงขึ้นหรืออย่างไร หรือเจาะเขตเล็กง่ายกว่ากันจึงตั้งธงเอาเขตเล็ก
2 .ที่ออกมากล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ยอมรับในสิ่งที่พูดและรับปากไว้แล้ว ตนก็อยากให้กลับไปดูว่าระหว่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาล มีข้อตกลงใดบ้างที่ไม่ทำตามสัญญา นับตั้งแต่เงื่อนไขการเข้าร่วมรัฐบาล ที่เปิดโอกาส ให้เลือกกระทรวงต่างๆ พยายามเอาใจและถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อ พรรคร่วมฯตลอดเวลา จนในบางเรื่องพรรคเองยังถูกสังคมตำหนิด้วยซ้ำไป แต่พรรคเองก็อดทน
3. ที่นายสมศักดิ์ กล่าวหาคนพรรคประชาธิปัตย์ว่าให้สัมภาษณ์ว่าการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ เป็นประโยชน์ของนายบรรหาร ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒา และนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทยนั้น ไม่พบว่าส.ส.คนใดของพรรคพูด หรือวิจารณ์บุคคลทั้ง 2 ไม่ทราบเอาข้อมูลมาจากไหน หรือนั่งจินตนาการเอาเองในลักษณะกินปูนร้อนท้อง
นายเทพไท กล่าวว่า ที่กล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์เห็นสิ่งที่คนอื่นทำเลวทั้งหมด แต่สิ่งที่ตัวเองทำดีหมดนั้นเป็นการใส่ร้ายพรรคและสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ชัดเจนและเชื่อว่าการทำงานการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเปรียบเทียบกับพรรคการเมืองบางพรรค ประชาชนย่อมรู้ดีว่าพรรคใดมีประชาธิปไตยภายในพรรคมากกว่ากัน ที่กล้าเปิดโอกาส ให้ลูกพรรควิจารณ์ แสดงความเห็นและรับฟังในการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจต่อปัญหาต่างๆ ไม่ใช่การชี้นิ้ว สั่งการจากนายทุนหรือเจ้าของพรรค
ที่สำคัญพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยกล่าวหาว่าพรรคการเมืองไหนทำดีและบิดเบือนว่า ทำเลว แต่พรรคการเมืองบางพรรคในอดีตได้แสดงจุดยืนในการเข้าร่วมรัฐบาลเพราะอดอยากปากแห้งมานาน แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เคยตำหนิ หรือออกมาวิจารณ์
นายเทพไท กล่าวว่าที่นายสมศักดิ์ระบุว่านายกรัฐมนตรี มีพฤติกรรมเขียนด้วยมือลบด้วยเท้านั้น ตนก็อยากถามนายสมศักดิ์ว่า นายกรัฐมนตรี มีพฤติกรรมอะไรจึงกล้ามากล่าวหาอย่างเสียๆ หายๆ เช่นนี้ อยากให้นายสมศักดิ์กลับไปดูจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ในการร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ว่าพรรคเองเคยทำหนังสือเยืนยันจุดยืนของพรรคต่อ ส.ส.ร. ในช่วงยกร่างรัฐธรรมนูญว่า พรรคเห็นด้วยกับการเลือกตั้งแบบเขตใหญ่เรียงเบอร์ แต่ถ้าวันนี้พรรคประชาธิปัตย์มาเปลี่ยนจุดยืน เห็นด้วยกับการกำหนดเขตเลือกตั้งแบบเขตเล็ก ตามที่พรรคร่วมรัฐบาลเสนอก็อาจจะถูกกล่าวหาว่า เขียนด้วยมือและลบด้วยเท้าจริงๆ
นายสมศักดิ์รู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นสิ่งชำรุดทางการเมืองแล้วก็ควรจะยุติพฤติกรรมในลักษณะมือไม่พายแล้ว อย่าเอาเท้าราน้ำ เพราะบ้านเมืองกำลังไปด้วยดี ก็ไม่ควรทำตัวเป็นประเด็นข่าวเพื่อสร้างปัญหาอุปสรรคต่อการทำงานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติอีก
ด้าน นายชูวิทย์ กมงวิศิษฐื อดีต ส.ส.พรรคชาติไทย อ่านจดหมายเปิดเหน็บแนม นายสมศักดิ์ ปริศนานันกุลว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ/พูดด้วยปากอย่าใช้เท้าเช็ด อาทิ การพูดคุยและตกลงกันของนักการเมืองเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้ทำให้สังคมปกติสุขแต่กลับทำให้สังคมสับสนอ้างประโยชน์ประชาชนบังหน้า ขณะนี้มีปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาคอร์รัปั่น คนตกงาน ยาเสพติดไม่เห็นท่านเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯเลย ครั้งหนึ่งอดีตหัวหน้าพรรคยังกลับคำ เข้าร่วมรัฐบาลทั้งที่เคยประกาศต่อประชาชนว่าจะไม่เข้าร่วม สังคมแตกแยกไม่เกี่ยวว่าแก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญ แต่เกิดจากนักการเมืองเองทั้งสิ้น การไม่ร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาธิปัตย์ถือว่ามีจุดยืน
การแก้เขตเดียวเบอร์เดียว เพื่อต้องการให้ได้ส.ส.มากขึ้นหวังจะรวมตัวกันต่อรองในการเป็นรัฐบาล และ นายบรรหาร ศิลปอาชา อย่าได้นำผลประโยชน์ของ ประเทศชาติมาปะปนกับประโยชน์ของพรรคการเมือง ท่านคงไม่พูดด้วยปาก แต่ใช้เท้าเช็ด การเมืองจะได้ไม่ส่งผลให้สังคมไทยตกอยู่ในความแตกแยกเฉกเช่นทุกวันนี้
นายชูวิทย์ กล่าวว่าประชาชนมอบอำนาจให้ ส.ส.ไม่ให้ให้นายสมศักดิ์ หรือ นายบรรหาร ศิปลอาชาร่วมด้วยแต่อย่างใด ขณะนี้ท่านถูกเว้นวรรคทางการเมือง เหมือนเครื่องจักรที่ชำรุด สมควรที่ท่านจะนิ่งเฉยไม่ควรออกมาเรียกร้องหรือดิ้นรนอยู่หลังฉากพรรคการเมืองเพื่อที่ท่านจะได้แสดงให้สาธารณชนเห็นว่า มีอำนาจแท้จริงอยู่กับอดีตหัวหน้าพรรคของท่านและคนใกล้ชิดทั้งสิ้น
วานนี้ (28 ม.ค.) ถึงกรณีที่ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ไม่ทราบว่านายสมศักดิ์ออกมาพูดในฐานะอะไร ถ้าพูดในฐานะตัวแทนของพรรคชาติไทยพัฒนาตนก็จะไม่ชี้แจง แต่ถ้าออกมาพูดในฐานะส่วนตัวโดยเปรียบตัวเองว่า เป็นสิ่งชำรุดทางการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ์ ก็ยิ่งไม่ควรออกมา แสดงความคิดเห็น แต่หากจะพูดแทนสิ่งชำรุดทางการเมืองบางคนตนก็จะขอชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมด
นายเทพไท กล่าวว่า1. เรื่องการยุบสภา กรณีที่นายกฯเคยระบุว่าพร้อมที่จะยุบสภาโดยมีเงื่อนไขว่า รัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยรวมของชาติ และความแตกแยกของคนในชาติ ให้ดีขึ้น จนสามารถไปหาเสียงได้ทุกภูมิภาคทั่วประเทศก่อนโดยที่รัฐธรรมนูญหากจะแก้ไขก็ต้องเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย
ผมอยากถามว่า การที่พรรคร่วมรัฐบาลเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 จาก 6 ประเด็นที่คณะกรรมการสมานฉันท์ศึกษาแล้ว เป็นกติกาที่ทุกฝ่ายเห็นด้วยหรือไม่ พรรคเพื่อไทยก็ออกมาต่อต้านตั้งแต่ต้นซึ่งหากแก้ไปแล้ว จะมีความสมานฉันท์ได้อย่างไร และอยากให้ไปถามส.ส.พรรคร่วมฯว่าเห็นด้วยกับการแก้เขตเดียว เบอร์เดียวหรือไม่ หรือเป็นเพียงแนวคิดของนายทุนเจ้าของพรรคที่กลัวเสียค่าใช้จ่ายแบบเหมารวมในการเลือกตั้งแพงขึ้นหรืออย่างไร หรือเจาะเขตเล็กง่ายกว่ากันจึงตั้งธงเอาเขตเล็ก
2 .ที่ออกมากล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ยอมรับในสิ่งที่พูดและรับปากไว้แล้ว ตนก็อยากให้กลับไปดูว่าระหว่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาล มีข้อตกลงใดบ้างที่ไม่ทำตามสัญญา นับตั้งแต่เงื่อนไขการเข้าร่วมรัฐบาล ที่เปิดโอกาส ให้เลือกกระทรวงต่างๆ พยายามเอาใจและถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อ พรรคร่วมฯตลอดเวลา จนในบางเรื่องพรรคเองยังถูกสังคมตำหนิด้วยซ้ำไป แต่พรรคเองก็อดทน
3. ที่นายสมศักดิ์ กล่าวหาคนพรรคประชาธิปัตย์ว่าให้สัมภาษณ์ว่าการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ เป็นประโยชน์ของนายบรรหาร ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒา และนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทยนั้น ไม่พบว่าส.ส.คนใดของพรรคพูด หรือวิจารณ์บุคคลทั้ง 2 ไม่ทราบเอาข้อมูลมาจากไหน หรือนั่งจินตนาการเอาเองในลักษณะกินปูนร้อนท้อง
นายเทพไท กล่าวว่า ที่กล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์เห็นสิ่งที่คนอื่นทำเลวทั้งหมด แต่สิ่งที่ตัวเองทำดีหมดนั้นเป็นการใส่ร้ายพรรคและสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ชัดเจนและเชื่อว่าการทำงานการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเปรียบเทียบกับพรรคการเมืองบางพรรค ประชาชนย่อมรู้ดีว่าพรรคใดมีประชาธิปไตยภายในพรรคมากกว่ากัน ที่กล้าเปิดโอกาส ให้ลูกพรรควิจารณ์ แสดงความเห็นและรับฟังในการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจต่อปัญหาต่างๆ ไม่ใช่การชี้นิ้ว สั่งการจากนายทุนหรือเจ้าของพรรค
ที่สำคัญพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยกล่าวหาว่าพรรคการเมืองไหนทำดีและบิดเบือนว่า ทำเลว แต่พรรคการเมืองบางพรรคในอดีตได้แสดงจุดยืนในการเข้าร่วมรัฐบาลเพราะอดอยากปากแห้งมานาน แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เคยตำหนิ หรือออกมาวิจารณ์
นายเทพไท กล่าวว่าที่นายสมศักดิ์ระบุว่านายกรัฐมนตรี มีพฤติกรรมเขียนด้วยมือลบด้วยเท้านั้น ตนก็อยากถามนายสมศักดิ์ว่า นายกรัฐมนตรี มีพฤติกรรมอะไรจึงกล้ามากล่าวหาอย่างเสียๆ หายๆ เช่นนี้ อยากให้นายสมศักดิ์กลับไปดูจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ในการร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ว่าพรรคเองเคยทำหนังสือเยืนยันจุดยืนของพรรคต่อ ส.ส.ร. ในช่วงยกร่างรัฐธรรมนูญว่า พรรคเห็นด้วยกับการเลือกตั้งแบบเขตใหญ่เรียงเบอร์ แต่ถ้าวันนี้พรรคประชาธิปัตย์มาเปลี่ยนจุดยืน เห็นด้วยกับการกำหนดเขตเลือกตั้งแบบเขตเล็ก ตามที่พรรคร่วมรัฐบาลเสนอก็อาจจะถูกกล่าวหาว่า เขียนด้วยมือและลบด้วยเท้าจริงๆ
นายสมศักดิ์รู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นสิ่งชำรุดทางการเมืองแล้วก็ควรจะยุติพฤติกรรมในลักษณะมือไม่พายแล้ว อย่าเอาเท้าราน้ำ เพราะบ้านเมืองกำลังไปด้วยดี ก็ไม่ควรทำตัวเป็นประเด็นข่าวเพื่อสร้างปัญหาอุปสรรคต่อการทำงานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติอีก
ด้าน นายชูวิทย์ กมงวิศิษฐื อดีต ส.ส.พรรคชาติไทย อ่านจดหมายเปิดเหน็บแนม นายสมศักดิ์ ปริศนานันกุลว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ/พูดด้วยปากอย่าใช้เท้าเช็ด อาทิ การพูดคุยและตกลงกันของนักการเมืองเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้ทำให้สังคมปกติสุขแต่กลับทำให้สังคมสับสนอ้างประโยชน์ประชาชนบังหน้า ขณะนี้มีปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาคอร์รัปั่น คนตกงาน ยาเสพติดไม่เห็นท่านเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯเลย ครั้งหนึ่งอดีตหัวหน้าพรรคยังกลับคำ เข้าร่วมรัฐบาลทั้งที่เคยประกาศต่อประชาชนว่าจะไม่เข้าร่วม สังคมแตกแยกไม่เกี่ยวว่าแก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญ แต่เกิดจากนักการเมืองเองทั้งสิ้น การไม่ร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาธิปัตย์ถือว่ามีจุดยืน
การแก้เขตเดียวเบอร์เดียว เพื่อต้องการให้ได้ส.ส.มากขึ้นหวังจะรวมตัวกันต่อรองในการเป็นรัฐบาล และ นายบรรหาร ศิลปอาชา อย่าได้นำผลประโยชน์ของ ประเทศชาติมาปะปนกับประโยชน์ของพรรคการเมือง ท่านคงไม่พูดด้วยปาก แต่ใช้เท้าเช็ด การเมืองจะได้ไม่ส่งผลให้สังคมไทยตกอยู่ในความแตกแยกเฉกเช่นทุกวันนี้
นายชูวิทย์ กล่าวว่าประชาชนมอบอำนาจให้ ส.ส.ไม่ให้ให้นายสมศักดิ์ หรือ นายบรรหาร ศิปลอาชาร่วมด้วยแต่อย่างใด ขณะนี้ท่านถูกเว้นวรรคทางการเมือง เหมือนเครื่องจักรที่ชำรุด สมควรที่ท่านจะนิ่งเฉยไม่ควรออกมาเรียกร้องหรือดิ้นรนอยู่หลังฉากพรรคการเมืองเพื่อที่ท่านจะได้แสดงให้สาธารณชนเห็นว่า มีอำนาจแท้จริงอยู่กับอดีตหัวหน้าพรรคของท่านและคนใกล้ชิดทั้งสิ้น