ASTVผู้จัดการรายวัน - ทหารไทยวางกรอบลดเอ็นพีแอลปีนี้ให้เหลือตัวเลขหลักเดียวจากสิ้นปี 52 อยู่ที่ 11% ระบุจะใช้ทั้งวิธีการปรับโครงสร้างภายในองค์กร และรอจังหวะขายออก พร้อมจะปั้น ROE เพิ่มเป็น 14 % ในปี 57 จากปัจจุบันอยู่ที่ 4% กระตุ้นยอดกำไรปีนี้โตกว่าปีก่อน
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (TMB) เปิดเผยว่า ในปี 2553 นี้ธนาคารตั้งเป้าหมายควบคุมและลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Gross NPL)ลงอย่างต่อเนื่องจากสิ้นปี 2552 โดยจะให้เหลือเป็นตัวเลขหลักเดียวจากที่แนวโน้มเอ็นพีแอลในปีที่แล้วอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้น เนื่องจากธนาคารสามารถลดจำนวนเอ็นพีแอลจากในช่วงต้นปีอยู่ที่ 13-14% ลงมาเหลือประมาณ 11% ซึ่งคิดเป็นยอดเม็ดเงินรวมจาก 6 หมื่นล้านบาท ลงมาอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาทในสิ้นปีที่แล้ว
"จำนวนเอ็นพีแอลของธนาคารในปีที่ผ่านมาถือว่าปรับตัวดีขึ้น ทั้งจำนวนเปอร์เซ็นต์และยอดเม็ดเงินลดลงตลอด เนื่องจากธนาคารมีการบริหารจัดการที่ดี หลังจากที่มีการปรับโครงสร้างองค์กร เพราะหากประเมินเอ็นพีแอลที่รวมบริษัทย่อยแล้ว โดยรวมก็มีการลดลงพอสมควรเช่นกันคือจาก 15% ในช่วงต้นปีที่แล้วมาอยู่ที่ 12.7% ในช่วงสิ้นปี ในขณะที่ตัวเอ็นพีแอลสุทธิของธนาคารยังอยู่ในระดับต่ำมาโดยตลอดคือต่ำกว่า 7%"นายบุญทักษ์ กล่าว
ทั้งนี้ แนวทางการลดเอ็นพีแอลของธนาคารในปีนี้นั้นจะเกิดจาก 2 ช่องทาง คือ 1.จากการปรับโครงสร้างภายในองค์กร และ2.การขายออกไปหากสภาพตลาดเอื้ออำนวย โดยขณะนี้ธนาคารอยู่ระหว่างการประเมินภาวะตลาดและหาจังหวะที่เหมาะสมที่จะขาย แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนในขณะนี้ว่าเป็นอย่างไร
ส่วนทางด้านแผนงานการเติบโตสินเชื่อรวมของธนาคารในปีนี้ก็ยังให้ความสำคัญต่อจากปีที่แล้ว โดยตั้งเป้าเติบโตไว้ที่ 8-10% คิดเป็นเม็ดเงินรวมประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาท บนพื้นฐานการคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปีนี้อยู่ที่ 3.2% ซึ่งจะเน้นสินเชื่อรายใหญ่และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ปีที่แล้วเป็นหลัก เพราะธนาคารมีความพร้อมทั้งในส่วนของทีมงานและการให้บริการมากขึ้น ประกอบกับมองว่ามีฐานลูกค้าที่จะสามารถเติบโตได้อีกค่อนข้างมาก
"สินเชื่อของธนาคารเมื่อต้นปีที่แล้วมีการหดตัวมาก ตามภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับธนาคารปรับโครงสร้างการดูแลลูกค้าจากสาขามาเป็นที่สำนักงานใหญ่ จนกระทั่งไตรมาส 4 สัญญาณความต้องการสินเชื่อก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยยอดสินเชื่อโตขึ้น 6 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 1.8% ทำให้ในปีนี้สินเชื่อของธนาคารก็จะโตอีก ซึ่งตั้งเป้าว่าสินเชื่อรายใหญ่จะโตไม่เกิน 10% ขณะที่สินเชื่อเอสเอ็มอีก็จะโตอีก 20% ส่วนสินเชื่อรายย่อยคงจะไม่มีการเติบโตมากนักคือ 7-8% เท่านั้น" นายบุญทักษ์ กล่าว
ขณะที่ยอดเงินฝากก็จะมีการเติบโตสอดคล้องกับสินเชื่อที่ในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าเติบโตเงินฝากประมาณ 15-16% และคาดว่าน่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากธนาคารมีความเข้าใจลูกค้าในแต่ละกลุ่มการเงินมากขึ้น รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ออกมาตั้งแต่ปีที่แล้วได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องมายังปีนี้ด้วยขณะเดียวกันเตรียมนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบอื่นๆ ให้ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
**ตั้งเป้าดันROEแต่14%ในปี57**
นายบุญทักษ์ ยังกล่าวถึงเป้าหมายการสร้างผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ว่าธนาคารคาดหวังว่าในปี 2557 จะสร้างผลตอบแทนผู้ถือหุ้นให้เพิ่มไปอยู่ที่ 14% จากระดับปัจจุบันอยู่ที่ 4% ด้วยการพยายามสร้างผลกำไรให้ดีขึ้นในปีนี้ เพราะเชื่อว่าธนาคารจะมีความสามารถในการทำกำไรในปีนี้ได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนเรื่องความคืบหน้าขายหุ้นธนาคารที่กระทรวงการคลังถืออยู่ขณะนี้ อยู่ระหว่างการหารือกับกระทรวงการคลังและจะต้องนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการในเดือนก.พ. - มี.ค. นี้ ต่อจากนั้นก็จะมีการประชุมผู้ถือหุ้นในเดือนเม.ย. ซึ่งถือว่าในขั้นต้นยังดำรงแผนตามเดิม ส่วนการล้างขาดทุนสะสมยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (TMB) เปิดเผยว่า ในปี 2553 นี้ธนาคารตั้งเป้าหมายควบคุมและลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Gross NPL)ลงอย่างต่อเนื่องจากสิ้นปี 2552 โดยจะให้เหลือเป็นตัวเลขหลักเดียวจากที่แนวโน้มเอ็นพีแอลในปีที่แล้วอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้น เนื่องจากธนาคารสามารถลดจำนวนเอ็นพีแอลจากในช่วงต้นปีอยู่ที่ 13-14% ลงมาเหลือประมาณ 11% ซึ่งคิดเป็นยอดเม็ดเงินรวมจาก 6 หมื่นล้านบาท ลงมาอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาทในสิ้นปีที่แล้ว
"จำนวนเอ็นพีแอลของธนาคารในปีที่ผ่านมาถือว่าปรับตัวดีขึ้น ทั้งจำนวนเปอร์เซ็นต์และยอดเม็ดเงินลดลงตลอด เนื่องจากธนาคารมีการบริหารจัดการที่ดี หลังจากที่มีการปรับโครงสร้างองค์กร เพราะหากประเมินเอ็นพีแอลที่รวมบริษัทย่อยแล้ว โดยรวมก็มีการลดลงพอสมควรเช่นกันคือจาก 15% ในช่วงต้นปีที่แล้วมาอยู่ที่ 12.7% ในช่วงสิ้นปี ในขณะที่ตัวเอ็นพีแอลสุทธิของธนาคารยังอยู่ในระดับต่ำมาโดยตลอดคือต่ำกว่า 7%"นายบุญทักษ์ กล่าว
ทั้งนี้ แนวทางการลดเอ็นพีแอลของธนาคารในปีนี้นั้นจะเกิดจาก 2 ช่องทาง คือ 1.จากการปรับโครงสร้างภายในองค์กร และ2.การขายออกไปหากสภาพตลาดเอื้ออำนวย โดยขณะนี้ธนาคารอยู่ระหว่างการประเมินภาวะตลาดและหาจังหวะที่เหมาะสมที่จะขาย แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนในขณะนี้ว่าเป็นอย่างไร
ส่วนทางด้านแผนงานการเติบโตสินเชื่อรวมของธนาคารในปีนี้ก็ยังให้ความสำคัญต่อจากปีที่แล้ว โดยตั้งเป้าเติบโตไว้ที่ 8-10% คิดเป็นเม็ดเงินรวมประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาท บนพื้นฐานการคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปีนี้อยู่ที่ 3.2% ซึ่งจะเน้นสินเชื่อรายใหญ่และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ปีที่แล้วเป็นหลัก เพราะธนาคารมีความพร้อมทั้งในส่วนของทีมงานและการให้บริการมากขึ้น ประกอบกับมองว่ามีฐานลูกค้าที่จะสามารถเติบโตได้อีกค่อนข้างมาก
"สินเชื่อของธนาคารเมื่อต้นปีที่แล้วมีการหดตัวมาก ตามภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับธนาคารปรับโครงสร้างการดูแลลูกค้าจากสาขามาเป็นที่สำนักงานใหญ่ จนกระทั่งไตรมาส 4 สัญญาณความต้องการสินเชื่อก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยยอดสินเชื่อโตขึ้น 6 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 1.8% ทำให้ในปีนี้สินเชื่อของธนาคารก็จะโตอีก ซึ่งตั้งเป้าว่าสินเชื่อรายใหญ่จะโตไม่เกิน 10% ขณะที่สินเชื่อเอสเอ็มอีก็จะโตอีก 20% ส่วนสินเชื่อรายย่อยคงจะไม่มีการเติบโตมากนักคือ 7-8% เท่านั้น" นายบุญทักษ์ กล่าว
ขณะที่ยอดเงินฝากก็จะมีการเติบโตสอดคล้องกับสินเชื่อที่ในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าเติบโตเงินฝากประมาณ 15-16% และคาดว่าน่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากธนาคารมีความเข้าใจลูกค้าในแต่ละกลุ่มการเงินมากขึ้น รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ออกมาตั้งแต่ปีที่แล้วได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องมายังปีนี้ด้วยขณะเดียวกันเตรียมนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบอื่นๆ ให้ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
**ตั้งเป้าดันROEแต่14%ในปี57**
นายบุญทักษ์ ยังกล่าวถึงเป้าหมายการสร้างผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ว่าธนาคารคาดหวังว่าในปี 2557 จะสร้างผลตอบแทนผู้ถือหุ้นให้เพิ่มไปอยู่ที่ 14% จากระดับปัจจุบันอยู่ที่ 4% ด้วยการพยายามสร้างผลกำไรให้ดีขึ้นในปีนี้ เพราะเชื่อว่าธนาคารจะมีความสามารถในการทำกำไรในปีนี้ได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนเรื่องความคืบหน้าขายหุ้นธนาคารที่กระทรวงการคลังถืออยู่ขณะนี้ อยู่ระหว่างการหารือกับกระทรวงการคลังและจะต้องนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการในเดือนก.พ. - มี.ค. นี้ ต่อจากนั้นก็จะมีการประชุมผู้ถือหุ้นในเดือนเม.ย. ซึ่งถือว่าในขั้นต้นยังดำรงแผนตามเดิม ส่วนการล้างขาดทุนสะสมยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างเป็นไปตามแผน