ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
วันที่ 14 ธันวาคม 2552
นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้ส่งสัญญาณที่น่าสังเกตมาแล้วครั้งหนึ่งผ่านการสัมภาษณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์ พีเพิล ชาแนล ของคนเสื้อแดง ต่อกรณีคดีการพิจารณาการยึดทรัพย์ของนักโทษชายทักษิณจำนวน 76,000 ล้านบาท นักโทษชายทักษิณได้ประกาศว่าตัวเองมีความเชื่อมั่นว่าศาลจะให้ความเป็นธรรมและยังเคารพศาลไทยอยู่เพราะทรัพย์สินเหล่านี้ได้มาก่อนที่จะมาเป็นนักการเมือง ดังนั้นขอให้พี่น้องคนเสื้อแดงมีความเชื่อมั่นและเคารพต่อศาลไทยในการตัดสินคดี 76,000 ล้านบาทด้วย
วันที่ 2 มกราคม 2553
นายจตุพร พรหมพันธุ์ หนึ่งในแกนนำของคนเสื้อแดง ได้เคยให้สัมภาษณ์ผ่านนิตยสารแทบลอยด์ ไทยโพสต์ ต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงต่อกรณีคดี 76,000 ล้านบาทว่า:
"ผมจะเล่าให้ฟัง ท่านทักษิณเพิ่งบอกเมื่อเร็วๆ นี้กับพวกเราว่าอย่าเอาคดียึดทรัพย์มาเป็นกังวลหรือเกี่ยวข้องใดๆ กับการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ไม่ห่วง มาห่วงเรื่องคดียึดทรัพย์มันจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน ยืนยันวันตัดสินจะไม่ไปกดดันหรือทำอะไรที่ศาลฎีกาหากวันนั้นยังมีการชุมนุมอยู่ บ้านเมืองยังเดินหน้าอยู่”
ถ้าพิจารณาจาก 2 เหตุการณ์ข้างต้น ก็จะทำให้ได้รับรู้ว่า ในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2552 นักโทษชายทักษิณดูจะไม่มีความกังวลใดๆเกี่ยวกับเรื่องคดียึดทรัพย์ และดูเหมือนว่าจะพอใจในคำวินิจฉัยที่กำลังจะเกิดขึ้น
ต้องไม่ลืมว่าประวัติในคดีเกี่ยวกับนักโทษชายทักษิณนั้นมีการล็อบบี้กันอย่างหนักหน่วงตลอด ไม่ว่าจะเป็นคดีซุกหุ้นในปี 2544 หรือแม้กระทั่งกรณีถุงขนม 2 ล้านบาทที่ทนายของนักโทษชายทักษิณได้นำไปมอบให้เจ้าหน้าที่ของศาล แถมยังเป็นคนที่หนีคำพิพากษาใช้วาจาดูหมิ่นคำพิพากษาของศาลฎีกาที่กระทำในพระปรมาภิไธนย
ดังนั้นการที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ประกาศว่ามีความเคารพและเชื่อมั่นต่อศาลไทยในคดีนี้ และประกาศว่าจะไม่นำมวลชนไปกดดันศาลเหมือนคดีอื่น ยิ่งถือว่าเป็นคดีนี้มีความพิเศษจริงๆ
เมื่อพิจารณาจากคำพูดของนักโทษชายทักษิณที่อ้างเรื่องการได้มาซึ่งทรัพย์สินของตัวเองตั้งแต่ก่อนมาเป็นนักการเมือง ก็สะท้อนให้เห็นว่านักโทษชายทักษิณไม่ได้จะคาดหวังทรัพย์สินทั้งหมด แต่น่าจะหวังหรือพอใจเป็นอย่างน้อยว่าจะได้เงินคืนมาเท่าๆกับเงินที่ของครอบครัวชินวัตรซึ่งได้มาก่อนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซึ่งมีอยู่ประมาณ 2 – 3 หมื่นล้านบาท
ซึ่งปรากฏว่าเรื่องเงินได้มาก่อนรับตำแหน่งนั้น กลุ่มคนเสื้อแดง อดีตผู้บริหารพรรคไทยรักไทย ทนายของนักโทษชายทักษิณ และทีวีของคนเสื้อแดง ก็มีความพยายามในการประชาสัมพันธ์อย่างเป็นขบวนการ ก็ยิ่งตอกย้ำถึงความคาดหวังของนักโทษชายทักษิณให้เห็นเป็นที่ประจักษ์มากยิ่งขึ้น
เงิน 2 – 3 หมื่นล้านบาท มีค่าเป็นอย่างยิ่งสำหรับเป็นทรัพยากรในการเลือกตั้งและทำให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐของพรรคเพื่อไทย เพราะเงิน 2 - 3 หมื่นล้านบาทนั้นเมื่อหารเขตเลือกตั้งเป็น 400 เขต หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็จะพบว่าจะมีจำนวนเฉลี่ย 50 - 75 ล้านบาทต่อหนึ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลมากเกินพอสำหรับการเลือกตั้งทั่วประเทศ
ถ้าพรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อใด ก็เป็นที่แน่นอนว่านักโทษชายทักษิณ ก็มีความหวังที่จะมาออกกฎหมายนิรโทษกรรม แก้ไขรัฐธรรมนูญ และมีโอกาสที่หาประโยชน์ในการเพิ่มพูนทรัพย์สินของตัวเองได้อย่างไม่ยากเย็น
แต่เมื่อการพิจารณาคดีขององค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาได้ไต่สวนเพิ่มเติมในเรื่องของการขัดกันแห่งผลประโยชน์ และการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ให้ให้กับธุรกิจในเครือของชินคอร์ปแล้ว ยังมีการไต่สวนความเสียหายแก่รัฐที่เกิดขึ้นอีกด้วย ก็ดูเหมือนกับว่ากระแสการพิจารณาในเรื่องจำนวนเงินที่ควรยึดจากนักโทษชายทักษิณนั้นมีความไม่แน่นอนว่าจะได้คืนหรือไม่ และเป็นจำนวนเท่าใดกันแน่
ตามมาด้วยนายอุดม เฟื่องฟุ้ง อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ให้ความเห็นในคดีนี้อย่างมีน้ำหนักว่า:
“ตามหลักการแล้วคดีร่ำรวยผิดปกติจะต้อง “ยึดทั้งหมด” เนื่องจากทรัพย์สินตั้งต้นถือเป็นตัวล่อให้เกิดการเพิ่มพูน เพราะหากยึดเฉพาะเงินที่เพิ่มมาภายหลังก็เหมือนผู้กระทำผิดไม่ได้ถูกลงโทษ เลย ไม่ต่างอะไรกับคนขโมยของไปพอถูกจับได้เอาของมาคืนก็จบกัน หากเป็นเช่นนั้นกฎหมายริบทรัพย์สินจากผู้ที่ร่ำรวยผิดปกติก็จะไม่เกิด ประโยชน์เลย วิธีคิดกรณีนี้จึงต้องคิดถึงการป้องกันการทุจริต คือผู้กระทำผิดถูกลงโทษด้วย”
ผ่านไปเดือนเศษเท่านั้น นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร จากเดิมที่บอกเอาไว้ตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2552 ว่าตัวเองนั้น “มีความเคารพและเชื่อมั่นต่อศาลไทย” ก็กลับกลายมาเป็นการปราศรัยฟาดงวง ฟาดงา ข่มขู่คำตัดสินที่กำลังจะเกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นว่า “แผนที่วางเอาไว้อาจผิดพลาด และไม่เป็นไปตามเป้าหมาย”
วันที่ 17 มกราคม 2553
นายอดิศร เพียงเกษ ได้สัมภาษณ์นักโทษชายทักษิณผ่านการโฟนอินที่จังหวัดเพชบุรี ให้แสดงความคิดเห็นว่าทรัพย์สินของท่านที่เขาจะยึดเนี่ย ท่านคิดยังไง? นักโทษชายทักษิณตอบกลับว่า:
“เรียกว่า ปล้น ครับ ถ้ายึดนะ ครอบครัวทำมาหากินกันทั้งชีวิต ด้วยความยากลำบาก ต้องเป็นหนี้เป็นสิน ต้องแลกเช็คเขามา ต้องขึ้นศาลต่อสู้กัน กว่าจะมาจนถึงตรงจุดนี้ ชีวิตลำบากมา ชีวิตครอบครัวผมเมื่อสบายแล้ว ก็มีความรู้สึกว่า อยากจะตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน จึงรับอาสามาทำงานให้ประชาชน พอทำงานให้ประชาชน ก็ทุ่มเทสุดชีวิต จนในที่สุด ถูกหมั่นไส้ และต้องออกมาอยู่อย่างนี้ ก็ไม่ว่ากัน ก็เจ็บพอสมควร ถ้ายังคิดจะปล้นทรัพย์กันอีกเนี่ย ก็คงไม่มีใครยอมใครนะครับ”
นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ยังได้แสดงความเห็นผ่านทวิตเตอร์ในเวลาใกล้เคียงกันด้วยความหงุดหงิดว่า:
“ผมทราบมาว่าตอนนี้มีการรับจ้างโพสป่วนโดยกลุ่มบุคคลที่ต้องการดิสเครดิตและใส่ร้ายผม เพื่อที่จะยึดทรัพย์ผมไปแบ่งปันกันเอง น่าเกลียดจริงๆคนพวกนี้”
คำพูดเหล่านี้แสดงให้เห็นว่านักโทษชายทักษิณมีความเชื่อมั่นในคดีนี้ลดลงจากวันที่ 14 ธันวาคม 2552 อย่างมาก ประกอบกับมีข่าวว่าคณะผู้พิพากษาหลายท่านได้หลบหาย ปลีกวิเวกไปเขียนคำวินิจฉัยชนิดที่ไม่มีใครสามารถจะไปล็อบบี้หรือข่มขู่ได้
สถานการณ์พลิกผันเช่นนี้ บอกใบ้ได้คำเดียวได้ว่านักโทษชายทักษิณช้าไปหนึ่งก้าวเสียแล้ว!