xs
xsm
sm
md
lg

ทักษิณและเสื้อแดงมองข้ามคดียึดทรัพย์ไปแล้ว!

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

จากกรณีที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้ส่งสัญญาณที่น่าสังเกตมาแล้วครั้งหนึ่งผ่านการสัมภาษณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์ พีเพิล ชาแนล ของคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2552 กรณีคดีการพิจารณาการยึดทรัพย์ของนักโทษชายทักษิณจำนวน 76,000 ล้านบาทนั้น นักโทษชายทักษิณได้ประกาศว่าตัวเองมีความเชื่อมั่นว่าศาลจะให้ความเป็นธรรมและยังเคารพศาลไทยอยู่เพราะทรัพย์สินเหล่านี้ได้มาก่อนที่จะมาเป็นนักการเมือง ดังนั้นขอให้พี่น้องคนเสื้อแดงมีความเชื่อมั่นและเคารพต่อศาลไทยในการตัดสินคดี 76,000 ล้านบาทด้วย

นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เป็นนักโทษหนีคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งกระทำในพระปรมาภิไธย เป็นคนที่พูดจาสัมภาษณ์ให้ร้ายย่ำยีกับกระบวนการยุติธรรมและคำพิพากษาของศาลไทยมาโดยตลอด เมื่อรวมกับพฤติกรรมของทนายความของนักโทษชายทักษิณซึ่งเคยนำเงิน 2 ล้านบาทใส่ถุงขนมมาให้เจ้าหน้าที่ของศาลยุติธรรม อีกทั้งยังมีเครือข่ายของนักโทษชายทักษิณซึ่งเคยอยู่ในแวดวงกระบวนการยุติธรรมด้วย เช่น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ และนายอุดม มั่งมีดี เป็นต้น ดังนั้นปฏิกิริยาของนักโทษชายทักษิณต่อการตัดสินในคดี 76,000 ล้านบาทในครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องบันทึกเอาไว้เสียตั้งแต่วันนี้เสียก่อน

หลังจากนั้นไม่นานนัก นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ก็ได้เขียนทวิตเตอร์ถึงสาวกของตัวเองว่าความรุนแรงไม่สามารถเป็นหนทางแห่งชัยชนะได้และการเจรจาเป็นทางออกที่ดีกว่า แล้วยังตามมาด้วยการวิดีโอลิงก์ฉลองปีใหม่ที่เชียงใหม่ที่นักโทษชายทักษิณได้เน้นการชุมนุมที่จะมีสงบ สันติ และไม่มีความรุนแรง

ดังนั้นใครก็ตามที่เคยวิเคราะห์ว่าคดีการตัดสินการยึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท จะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทำให้เกิดการชุมนุมที่มีลักษณะรุนแรงนำไปสู่การปฏิวัติหรือสงครามประชาชน ก็อาจจะต้องคิดใหม่ เพราะดูเหมือนว่านักโทษชายทักษิณ ชินวัตร จะมีความสบายใจคดีนี้เป็นกรณีพิเศษนับตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2552 เป็นต้นมาแล้ว

ดังจะเห็นได้จากปฏิกิริยาของนายจตุพร พรหมพันธุ์ หนึ่งในแกนนำของคนเสื้อแดง ซึ่งได้ให้สัมภาษณ์ผ่านนิตยสารแทบลอยด์ ไทยโพสต์ เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2553 ต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงต่อกรณีคดี 76,000 ล้านบาทว่า

“ผมจะเล่าให้ฟัง ท่านทักษิณเพิ่งบอกเมื่อเร็วๆ นี้กับพวกเราว่าอย่าเอาคดียึดทรัพย์มาเป็นกังวลหรือเกี่ยวข้องใดๆ กับการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ไม่ห่วง มาห่วงเรื่องคดียึดทรัพย์มันจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน ยืนยันวันตัดสินจะไม่ไปกดดันหรือทำอะไรที่ศาลฎีกาหากวันนั้นยังมีการชุมนุมอยู่ บ้านเมืองยังเดินหน้าอยู่”

คำพูดนี้ก็เป็นอีกปฏิกิริยาหนึ่งที่น่าสังเกตเช่นเดียวกัน เพราะคดีที่เกี่ยวข้องกับระบอบทักษิณที่ผ่านมา เช่น คดีการกระทำผิดกฎหมายของอดีตคณะกรรมการการเลือกตั้งชุดของ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ คดีหลบเลี่ยงภาษีของคุณหญิงพจมาน ชินวัตรและพวก คดียุบพรรคพลังประชาชน เป็นต้น คดีที่เหล่านี้มักจะมีการขนมวลชนไปร่วมฟังคำตัดสินเสมอ จนถึงขั้นมีความพยายามที่จะคุกคามมิให้มีการอ่านคำพิพากษาในบางคดีเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นการประกาศเอาไว้ล่วงหน้าของกลุ่มคนเสื้อแดงว่าในวันตัดสินคดี 76,000 ล้านบาทในครั้งนี้จะไม่มีการขนมวลชนไป ก็เป็นเครื่องยืนยันว่าคดีนี้มีความพิเศษมากกว่าคดีอื่นๆ ที่ผ่านมา

และข้อที่น่าสังเกตจากคำสัมภาษณ์ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ครั้งนี้ ก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักในขณะนี้ว่า “นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ไม่กังวลและไม่ห่วงคดียึดทรัพย์แล้ว”

ถ้าการแสดงออกในความเชื่อของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรในวันนี้เป็นจริงเมื่อไร ก็หมายความว่าหลังการตัดสินในคดียึดทรัพย์ นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร น่าจะมีเงินจำนวนมหาศาลที่จะกลับคืนมาสู่ครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์

และถ้ามีเงินจำนวนมหาศาลกลับคืนมาสู่ครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์เมื่อใด ก็ต้องยอมรับว่าศักยภาพของกลุ่มคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยย่อมมีความแข็งแรงเติบโตได้มากขึ้นเป็นทวีคูณ

และเมื่อศักยภาพของมวลชนคนเสื้อแดงได้น้ำเลี้ยงที่ดีขึ้น โอกาสที่จะมีมวลชนจัดตั้งออกมากดดันรัฐบาลเพื่อเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐย่อมสูงขึ้น และหากมีการเลือกตั้งเมื่อใดพรรคเพื่อไทยก็ย่อมมีโอกาสได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมามากที่สุดเพื่อที่จะได้มาเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างตามความต้องการของนักโทษชายทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดง

จึงไม่น่าแปลกใจที่การเคลื่อนไหวของนักโทษชายทักษิณ และกลุ่มคนเสื้อแดงในเวลานี้จะได้แสดงออกในการวางน้ำหนักไปที่การกดดันในยุบสภาเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง เสียมากกว่าการปฏิวัติประชาชนหรือการเจรจา

กลุ่มคนเสื้อแดงจึงได้ประกาศอย่างโอ้อวดว่าจะขนมวลชนออกมาให้ได้ 1 ล้านคน เพื่อกดดันให้รัฐบาลยุบสภาแล้วมีการเลือกตั้งใหม่ เป็นเป้าหมายแรก

จากนั้นหากมีการเลือกตั้งใหม่เมื่อใด พรรคเพื่อไทยจะชูธงในการเลือกตั้งว่าขอให้พรรคเพื่อไทยได้เสียงเกินครึ่งหนึ่งของรัฐสภา คือเกิน 316 เสียง เพื่อที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นอุปสรรคทั้งปวงของระบอบทักษิณ แล้วตามมาด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้นักโทษชายทักษิณ ชินวัตรเพื่อเอาทักษิณกลับบ้าน

หากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งเกินครึ่งเมื่อใด แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงก็เตรียมวางแผนขนมวลชนคนเสื้อแดงเข้ากรุงเทพฯ ล้อมรัฐสภาอีกครั้งเพื่อดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญจนกว่าจะสำเร็จตามเป้าหมาย

รวมถึงแผนการที่ชัดเจนแล้วว่ากลุ่มคนเสื้อแดงมีเป้าหมายจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์เอาไว้แล้วอย่างแน่นอน!

และหากทำได้ตามที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และคนเสื้อแดงคาดหวังอยู่นี้ นักโทษชายทักษิณย่อมมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นใหญ่กว่าเดิมทั้งในทางการเมืองและทางธุรกิจ ส่วนแกนนำคนเสื้อแดงหลายคนก็ต้องเตรียมตัวแต่งตัวได้รับปูนบำเหน็จทั้งอำนาจและตำแหน่งทางการเมืองกันอย่างเอิกเกริก

สำหรับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และสำหรับแกนนำคนเสื้อแดง สูตรนี้ถือว่าปลอดภัยที่สุด เสี่ยงน้อยที่สุด โอกาสและความเป็นไปได้ที่จะมีชัยชนะมากกว่าการก่อจลาจล หรือการปฏิวัติประชาชนด้วยความรุนแรง ซึ่งพิสูจน์มาแล้วว่าประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ไม่สามารถที่จะยอมรับได้

เพราะเหตุนี้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ จึงได้ให้สัมภาษณ์ถึงวิธีการชุมนุมที่กำลังจะเกิดขึ้นว่า:

“ถึงเวลาแล้วที่ต้องทำสงครามกันให้จบกันไปสักข้างหนึ่ง แต่ยังยึดแนวทางสันติวิธีเหมือนเดิม จะไม่กระจายจุดการชุมนุมแบบดาวกระจายเหมือนกับช่วงสงกรานต์เลือดที่ผ่านมา การรู้เขารู้เราในบทเรียนที่ผ่านมาเป็นเครื่องเตือนเราว่าต้องสู้อย่างไรในการชุมนุมใหญ่ครั้งนี้

แนวทางเราชัดเจนคือประชาธิปไตย เป้าหมายคือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตย จำนวนคนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านคน และจะเป็นหนึ่งล้านจริงๆ คอยดูแล้วกัน นี่จะเป็นการชุมนุมที่คนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของการเมืองไทย วัตถุประสงค์ยกนี้คือให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชนโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ”

แต่ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นล้วนแล้วแต่เป็นความฝันของนักโทษชายทักษิณ และแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งถึงท้ายที่สุดก็อาจไม่ได้เป็นไปตามฝันเช่นนั้น ด้วยปัจจัยที่มีความไม่แน่นอนดังต่อไปนี้

ประการแรก ไม่มีใครรู้ว่าศาลฎีกาซึ่งกระทำในพระปรมาภิไธย ซึ่งกำลังพิจารณาคดีการยึดทรัพย์นั้นจะมีผลคำพิพากษาเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียกพยานในการไต่สวนเพิ่มเติมอย่าง ศ.ดร.สิทธิชัย โภไคยอุดม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์นั้น อาจจะมีเนื้อหาที่มีการเปิดประเด็นสาระสำคัญในสิ่งที่ศาลฎีกายังไม่เคยได้รับทราบข้อมูลมาก่อน เช่น รายละเอียดบางประการเรื่องภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม การเปลี่ยนแปลงสัญญากับเอกชนที่กระทำไม่ถูกต้อง และการคำนวณความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่รัฐ ฯลฯ

และไม่ว่าจะมีคำพิพากษาเป็นอย่างไรก็ตาม ย่อมจะมีผลกระทบต่อศักยภาพของนักโทษชายทักษิณ คนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ประการที่สอง จำนวนของคนเสื้อแดงไม่สามารถมีจำนวนมากพอเพื่อกดดันทำให้เกิดการยุบสภา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือตราบใดที่ยังมีการชุมนุมอย่างสงบและปราศจากอาวุธ รัฐบาลก็หลีกเลี่ยงการปะทะแล้วปล่อยให้ชุมนุมไปเรื่อยๆ จนกว่าคนเสื้อแดงจะเหนื่อยไปเอง แล้วใช้กระบวนการยุติธรรมในการดำเนินคดีเมื่อกระทำผิดกฎหมายในการชุมนุมทุกมิติ

ประการที่สาม หากการชุมนุมไม่สามารถทำให้เกิดการยุบสภาหรือเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าก็จะเกิดแรงกดดันทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงบางกลุ่มที่ทนอึดไม่ไหวแล้วใช้อาวุธและความรุนแรงเพื่อสร้างสถานการณ์ เผาบ้านเผาเมืองอีก จนทำให้รัฐบาลมีความชอบธรรมในการเข้าสลายการชุมนุมในที่สุด

สถานการณ์ความรุนแรงเป็นความเสี่ยงที่จะจุดชนวนทำให้เกิดเหตุการณ์แทรกซ้อนอื่นๆ ได้ เช่น การรัฐประหาร หรือการรัฐประหารซ้อนรัฐประหาร ทั้งนี้เพราะอาจมีบางฝ่ายได้รับประโยชน์ในการที่จะล้างกระดานเพื่อล้มล้างความผิดในอดีตทั้งหมด ในขณะเดียวกันก็อาจมีบางฝ่ายที่อาจจะเฝ้ารอขัดขวางแผนล้มกระดานดังกล่าวด้วยในเวลาเดียวกัน

ประการที่สี่ รัฐบาลใช้อำนาจรัฐในการป้องกันมิให้เกิดเหตุร้ายอย่างเต็มที่ ทั้งในเรื่องการใช้สื่อของรัฐ การใช้งานด้านความมั่นคง และแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีผลต่อจำนวนมวลชนที่จะมากดดันต่อรัฐบาลโดยตรง และหากทำได้ดีอาจมีผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้าด้วยเช่นกัน

ประการที่ห้า ถึงแม้ว่ามีการเลือกตั้งใหม่และพรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง แต่ด้วยข้อจำกัดในรัฐธรรมนูญปี 2550 เอง ทั้งในเรื่องการป้องกันการขัดกันแห่งผลประโยชน์ หลักนิติรัฐ หลักความเสมอภาค และหลักของการได้อำนาจมาซึ่งการปกครองประเทศที่ไม่เป็นไปตามวิถีแห่งรัฐธรรมนูญ อาจทำให้ความฝันที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญและการนิรโทษกรรมให้กับนักโทษชายทักษิณไม่สำเร็จ และอาจต้องตัดสินด้วยคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในท้ายที่สุด

ประการที่หก พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังคงเป็นปัจจัยที่ไม่มีฝ่ายไหนที่จะมาไกล่เกลี่ยเจรจาตกลงได้
และยังคงเป็นกลุ่มคนที่จะออกมาขัดขวางระบอบทักษิณ และต่อต้านการรัฐประหารเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับระบอบทักษิณ ต่อไปอย่างถึงที่สุด

ประการที่เจ็ด นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร หากมีอายุที่สั้นลง ด้วยความเจ็บป่วยแล้วตายฉับพลันกะทันหัน ประเทศชาติก็อาจเข้าสู่ความปกติสุขโดยทันทีเช่นกัน

ประการสุดท้าย นักโทษชายทักษิณถูกหลอกรับประทาน หลอกไถ จากหลายฝ่ายจนกว่าจะหมดตัว ความฝันในเรื่องการกลับมาต้องเลื่อนออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบสิ้นกลายเป็นสิ่งที่เพ้อฝันและไม่มีวันเป็นจริง
กำลังโหลดความคิดเห็น