นับตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่ดูไบ หลายฝ่ายเชื่อว่าทรัพย์สินเงินทองของนักโทษชายทักษิณก็ลดน้อยลง การเคลื่อนไหวทางการเมืองของนักโทษชายทักษิณในมหานครดูไบก็ยากขึ้น เพราะหลังจากรัฐบาลกลางของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้นำเงินเข้าช่วยเหลือวิกฤติที่ดูไบก็ได้สั่งห้ามไม่ให้นักโทษชายทักษิณใช้ดูไบในการเคลื่อนไหวทางการเมือง ทำให้นักโทษชายทักษิณมีความจำเป็นและจำใจต้องย้ายมาเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ราชอาณาจักรกัมพูชา
ทั้งนักโทษชายทักษิณ และนายฮุน เซน ต่างมีประโยชน์ร่วมกันหากสามารถล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้ แต่การที่ทั้งสองคนถลำตัวลงเรือลำเดียวกันก็ยิ่งทำให้กลายเป็นตัวเร่งที่จะต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ให้เร็วที่สุด
เพราะสำหรับนายฮุน เซน หากปล่อยสถานการณ์เช่นนี้ให้อยู่นาน เศรษฐกิจในประเทศก็จะย่ำแย่ลงสังคมโลกไม่ยอมรับมากขึ้น แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือกระเป๋านายฮุน เซนก็ย่อมร่อยหรอลงเช่นเดียวกัน ทั้งผลประโยชน์ที่ขาดหายไปจากบ่อนการพนันในบริเวณชายแดน อีกทั้งผลประโยชน์จากบริษัทที่สัมปทานน้ำมันในอ่าวไทยในบริเวณพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลตามบันทึกความเข้าใจปี 2544 ระหว่างไทย-กัมพูชาที่ได้ถูกฝ่ายไทยประกาศยกเลิกไปแล้ว
ยังไม่นับปัญหาทางการเมืองในกัมพูชาที่กำลังรุมเร้าอย่างหนัก เพราะนายฮุน เซนไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบให้เป็นมรดกโลกได้ทันเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ในขณะอีกฝั่งหนึ่งชาวกัมพูชาในประเทศก็ไม่พอใจมากขึ้นเพราะนายฮุน เซนยอมขายชาติยกดินแดนของกัมพูชาไปให้เวียดนาม
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นายฮุน เซนจะต้องกดดันและเร่งให้นักโทษชายทักษิณปิดเกม เปลี่ยนแปลงรัฐบาลไทยให้เร็วที่สุด เพื่อทำให้ผลประโยชน์ของกัมพูชาและนายฮุน เซนเองกลับคืนมาโดยเร็วที่สุดเช่นกัน
ฝ่ายนักโทษชายทักษิณก็มีเวลาจำกัดลงเรื่อยๆ เพราะคดีการยึดทรัพย์อันมหาศาลจำนวน 76,000 ล้านบาทกำลังจะเข้าสู่การพิพากษาประมาณกลางหรือปลายเดือนมกราคม 2553 นี้ แต่ปรากฏว่ายิ่งเร่งเกมมากขึ้น คะแนนความนิยมกลับยิ่งตกลงมากขึ้น สังคมรับไม่ได้มากขึ้น ความชอบธรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศก็ลดน้อยลง
การที่นักโทษชายทักษิณเสื่อมลง ทั้งความนิยม ความชอบธรรม และทรัพย์สินเงินทอง และพื้นที่ทางการเมืองในต่างประเทศก็ลดน้อยลง ขุมทรัพย์ 76,000 ล้านบาทจึงย่อมมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ซึ่งเชื่อว่านักโทษชายทักษิณย่อมต้องสู้ให้ถึงที่สุด
เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2552 นักโทษชายทักษิณได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการข่าวเช้าของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม พีเพิลชาแนลของคนเสื้อแดงต่อกรณีคดีการยึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทเอาไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง
นักโทษชายทักษิณได้ให้สัมภาษณ์ในคดียึดทรัพย์ว่าตัวเองนั้นมีความเชื่อมั่นต่อศาลไทย และเคารพต่อศาลไทยว่าจะสามารถให้ความเป็นธรรมในคดี 76,000 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน พร้อมกับกล่าวว่าทรัพย์สินที่ได้มานั้นได้มาก่อนที่จะมาเล่นการเมือง และย้ำในตอนท้ายอีกครั้งหนึ่งว่าตัวเองนั้นมีความเคารพต่อศาลไทยอยู่
คำพูดดังกล่าวข้างต้นหากออกมาจากปากคนทั่วไปก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เมื่อออกมาจากปากของนักโทษชายทักษิณต้องถือว่าน่าสนใจกว่าคนอื่นๆ
น่าสนใจประการหนึ่ง เพราะนักโทษชายทักษิณเป็นผู้ที่หลบหนีคำพิพากษาของศาลฎีกาที่กระทำในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในคดีที่ภรรยานายกรัฐมนตรีไปซื้อที่ดินรัชดาจากหน่วยงานของรัฐอันเป็นการกระทำผิดกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ แล้วหันไปพึ่งพระบรมโพธิสมภารเป็นข้าในขอบขันธสีมาของกษัตริย์เขมร สมคบกับนายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาผู้ย่ำยีดูถูกศาลไทยที่กระทำในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย
น่าสนใจอีกประการหนึ่ง ก็เพราะนักโทษชายทักษิณที่ผ่านมาได้ตำหนิกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยและพูดจาย่ำยีคำพิพากษาของศาลฎีกาของไทยที่กระทำในพระปรมาภิไธยอย่างรุนแรงในต่างประเทศหลายครั้งหลายหน
เพราะความน่าสนใจจากสองปรากฏการณ์ข้างต้นจึงต้องมองว่าการส่งสัญญาณผ่านทีวีคนเสื้อแดงให้ฟังว่าตัวเองมีความเคารพต่อศาลไทยในคดี 76,000 ล้านบาทนั้นมีหมายความว่าอย่างไร ?
และศาลไทยแบบไหนที่นักโทษชายทักษิณเคยให้ความเคารพบ้าง !?
ต้องไม่ลืมว่านักโทษชายทักษิณในขณะที่ด่ากระบวนการยุติธรรมและตำหนิคำพิพากษาของศาลฎีกาของไทย แต่ตัวเองก็เป็นโจทก์ใช้ศาลไทยฟ้องบุคคลที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามทางการเมืองด้วยจำนวนคดีมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่านักโทษชายทักษิณเป็นคนที่เอาแต่ได้ เพราะเคารพและยอมรับศาลไทยที่ตัวเองเป็นฝ่ายโจทก์ฟ้องให้เป็นโทษกับคนอื่น แต่พอศาลไทยพิพากษาเป็นโทษกับตัวเองกลับไม่ยอมรับและตีโพยตีพายเหมือนเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ในวันที่ 11 สิงหาคม 2551 ซึ่งคณะทนายของนักโทษชายทักษิณได้เคยพยายามนำถุงขนม 2 ล้านบาทมาให้เจ้าหน้าที่ของศาลฎีกา ก็ต้องตั้งคำถามเช่นเดียวกันว่า แท้ที่จริงแล้วคนอย่างนักโทษชายทักษิณพร้อมที่จะเคารพศาลไทยแบบไหน ?
จะเป็นแบบนายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ อดีตผู้พิพากษาซึ่งมาเป็นผู้รับจ้างเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับพรรคไทยรักไทย หรือแบบนายอุดม มั่งมีดี อดีตผู้พิพากษาที่เคยตัดสินคดีจำคุกนายสนธิ ลิ้มทองกุล แล้วขึ้นเวทีเสื้อแดงซึ่งเป็นมวลชนฝ่ายตรงกันข้าม คนประเภทนี้เท่านั้นใช่หรือไม่ที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร พร้อมที่จะยอมรับและเคารพ?
เพราะถ้านักโทษชายทักษิณมีความเชื่อมั่นและเคารพต่อศาลไทยจริง สิ่งที่ควรทำเป็นสิ่งแรกก็คือมายอมรับโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาด้วยการยอมมาติดคุก และขึ้นสู่การพิจารณาในชั้นศาลในคดีอื่นๆที่เหลือทั้งหมด
ไม่ใช่เลือกที่จะเคารพศาลไทยในบางคดีที่ตัวเองถูกใจ และไม่เคารพศาลไทยบางคดีที่ตัวเองไม่ถูกใจเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
28 มีนาคม 2552 นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้เคยส่งสัญญาณวีดีโอลิงก์มาปราศรัยที่เวทีคนเสื้อแดงโดยได้บอกเป้าหมายของตัวเองในวันนั้นอย่างชัดเจนว่าต้องการอะไร โดยได้ปราศรัยความตอนหนึ่งว่า
“ผมขอเสนอให้เรามาเริ่มต้นกันใหม่ ให้ประชาชนเป็นคนตัดสินโดยการยุบสภา แล้วเลือกตั้งใหม่ จากนั้นก็แก้รัฐธรรมนูญ โดยใช้ของปี 40 เป็นตัวตั้ง เรื่องที่ฟ้องร้องกัน วันนี้คงต้องยกเลิก เพราะเล่นกันข้างเดียวนัวเนีย เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ผมจะไม่ลงเลือกตั้งเพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์สบายใจ แต่ในส่วนของบ้านเลขที่ 111 ก็จะให้ลงซะ เพราะการเมืองนับวันคนมีคุณภาพเริ่มหายไป”
28 มีนาคม 2552 สรุปความต้องการของนักโทษชายทักษิณในเวลานั้นก็คือ 1. ยุบสภา 2. เลือกตั้งใหม่ 3. นำรัฐรรมนูญปี 2540 กลับมาใช้ และ 4. ยกเลิกเรื่องที่ฟ้องร้องกันทั้งหมด
ส่วนเรื่องที่อ้างว่านักโทษชายทักษิณจะไม่ลงเลือกตั้งในตอนนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะในวันนี้นักโทษชายทักษิณได้ประกาศไปหลายครั้งแล้วว่าพร้อมที่จะกลับมาบริหารประเทศต่อไป
ที่น่าสนใจก็คือข้อเรียกร้องข้อที่ 4 ในเวลานั้นที่ว่า ให้ยกเลิกเรื่องที่ฟ้องร้องกันทั้งหมด สามารถแบ่งได้เป็นคดีอาญาส่วนหนึ่ง กับคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทเป็นอีกส่วนหนึ่ง
สำหรับคดีอาญาที่ตัดสินให้นักโทษชายทักษิณจำคุกไปแล้วกับคดีที่คั่งค้างอยู่นั้น นักโทษชายทักษิณน่าจะหวังว่าหากมีการยุบสภาและมีการเลือกตั้งใหม่แล้ว พรรคเพื่อไทยก็น่าจะชนะด้วยเสียงข้างมากแล้วจะสามารถนำรัฐธรรมนูญปี 2540 กลับมาใช้พร้อมๆกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรมคดีอาญาทั้งหมด ภายใต้เงื่อนไขนี้แสดงว่านักโทษชายทักษิณจึงมีทางเลือกที่จะรอกลไกในอนาคตได้
แต่คดีการยึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทหากสมมุติว่าถูกตัดสินในเดือนมกราคม 2553 ให้ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินไปแล้ว โอกาสที่จะได้กลับคืนมาย่อมเป็นเรื่องที่ยากมากกว่า เพราะเงินอาจถูกใช้จ่ายไปในงบประมาณแล้วประการหนึ่ง และหากรัฐบาลต้องกู้หนี้มาคืนเงินนักโทษชายทักษิณ ก็เป็นเรื่องยากมากว่าที่สังคมจะยอมรับได้ ซึ่งเงินจำนวน 76,000 ล้านบาทถือเป็นทรัพยากรที่มีจำนวนมากเหลือล้นที่จะทำให้เลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยกลับเข้าสู่อำนาจรัฐได้ คดีนี้นักโทษชายทักษิณจึงไม่อาจรอและนิ่งเฉยได้
20 ธันวาคม 2552 หลังจากที่นักโทษชายทักษิณกำลัง สับสน งุนงง กับท่าทีของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ว่าพร้อมที่จะเจรจาหรือไม่ ก็ได้ให้นายนพดล ปัทมะ ออกมายื่นเงื่อนไขในนามนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ว่าหากมีการเจรจาจะต้องมี 3 หัวข้ออยู่ในการเจรจาด้วย คือ 1.มีรัฐธรรมนูญ 2540 หรือมีเนื้อหาใกล้เคียงมาประกาศใช้ 2.ยุบสภา และ 3.มีการเลือกตั้งใหม่
จะเป็นความบังเอิญหรือจะเป็นเพราะลืมไปก็ไม่ทราบได้ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าหัวข้อที่ 4 เรื่องการยกเลิกคดีที่ฟ้องร้องต่อกันเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2552 นั้นหายไป ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่นักโทษชายทักษิณประกาศว่าเคารพและเชื่อมั่นต่อศาลไทยในคดีการยึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ซึ่งแปลความไปได้หลายทาง
1.นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร คิดวิเคราะห์และเชื่อมั่นเอาเองว่าผลของคดีจะเป็นคุณแก่ตัวเองในระดับที่น่าพอใจ ไม่ว่าจะเป็นการไม่ถูกยึดทรัพย์เลย หรือถูกยึดทรัพย์ในจำนวนที่ตัวเองพอใจและรับได้
หรือ 2. นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร รู้ข่าวล่วงหน้าจึงทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าจะเป็นคุณแก่ตัวเองเช่นเดียวกัน ส่วนจะรู้ล่วงหน้าด้วยวิธีการใด และลงมือลงแรงแค่ไหนไม่มีใครทราบได้
หรือ 3. นักโทษชายทักษิณถูกหลอกในการข่าวหรือคิดวิเคราะห์ในทางที่ผิด จนออกอาการอย่างที่เป็นอยู่
หรือ 4. นักโทษชายทักษิณไม่ได้รู้ผลหรือคิดวิเคราะห์อะไรมาก่อน แต่ปรับปรุงตัว เปลี่ยนใจหันมาเชื่อมั่นเคารพศาลไทยแล้ว และพร้อมจะรับผลคำพิพากษาไม่ว่าจะเป็นอย่างไร
ขอไม่เฉลยคำตอบตอนนี้ แต่ให้ผู้อ่านได้วิเคราะห์ความเป็นไปได้เอาเอง เพราะไม่ว่าผลคำพิพากษาจะเป็นอย่างไร จะขอบันทึกเอาไว้ตรงนี้ว่าคนอย่างนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ผู้ซึ่งย่ำยีหนีคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งกระทำในพระปรมาภิไธย ได้กลายมาเป็นผู้ที่ออกมาพูดว่ามีความเชื่อมั่นและเคารพต่อศาลไทยในคดี 76,000 ล้านบาทเอาไว้ล่วงหน้าก่อนถึงวันพิพากษาแล้ว ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2552
ส่วนคำเฉลยจะเป็นอย่างไร ติดตามคำพิพากษาในต้นปีหน้าพร้อมๆกัน!
ทั้งนักโทษชายทักษิณ และนายฮุน เซน ต่างมีประโยชน์ร่วมกันหากสามารถล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้ แต่การที่ทั้งสองคนถลำตัวลงเรือลำเดียวกันก็ยิ่งทำให้กลายเป็นตัวเร่งที่จะต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ให้เร็วที่สุด
เพราะสำหรับนายฮุน เซน หากปล่อยสถานการณ์เช่นนี้ให้อยู่นาน เศรษฐกิจในประเทศก็จะย่ำแย่ลงสังคมโลกไม่ยอมรับมากขึ้น แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือกระเป๋านายฮุน เซนก็ย่อมร่อยหรอลงเช่นเดียวกัน ทั้งผลประโยชน์ที่ขาดหายไปจากบ่อนการพนันในบริเวณชายแดน อีกทั้งผลประโยชน์จากบริษัทที่สัมปทานน้ำมันในอ่าวไทยในบริเวณพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลตามบันทึกความเข้าใจปี 2544 ระหว่างไทย-กัมพูชาที่ได้ถูกฝ่ายไทยประกาศยกเลิกไปแล้ว
ยังไม่นับปัญหาทางการเมืองในกัมพูชาที่กำลังรุมเร้าอย่างหนัก เพราะนายฮุน เซนไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบให้เป็นมรดกโลกได้ทันเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ในขณะอีกฝั่งหนึ่งชาวกัมพูชาในประเทศก็ไม่พอใจมากขึ้นเพราะนายฮุน เซนยอมขายชาติยกดินแดนของกัมพูชาไปให้เวียดนาม
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นายฮุน เซนจะต้องกดดันและเร่งให้นักโทษชายทักษิณปิดเกม เปลี่ยนแปลงรัฐบาลไทยให้เร็วที่สุด เพื่อทำให้ผลประโยชน์ของกัมพูชาและนายฮุน เซนเองกลับคืนมาโดยเร็วที่สุดเช่นกัน
ฝ่ายนักโทษชายทักษิณก็มีเวลาจำกัดลงเรื่อยๆ เพราะคดีการยึดทรัพย์อันมหาศาลจำนวน 76,000 ล้านบาทกำลังจะเข้าสู่การพิพากษาประมาณกลางหรือปลายเดือนมกราคม 2553 นี้ แต่ปรากฏว่ายิ่งเร่งเกมมากขึ้น คะแนนความนิยมกลับยิ่งตกลงมากขึ้น สังคมรับไม่ได้มากขึ้น ความชอบธรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศก็ลดน้อยลง
การที่นักโทษชายทักษิณเสื่อมลง ทั้งความนิยม ความชอบธรรม และทรัพย์สินเงินทอง และพื้นที่ทางการเมืองในต่างประเทศก็ลดน้อยลง ขุมทรัพย์ 76,000 ล้านบาทจึงย่อมมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ซึ่งเชื่อว่านักโทษชายทักษิณย่อมต้องสู้ให้ถึงที่สุด
เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2552 นักโทษชายทักษิณได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการข่าวเช้าของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม พีเพิลชาแนลของคนเสื้อแดงต่อกรณีคดีการยึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทเอาไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง
นักโทษชายทักษิณได้ให้สัมภาษณ์ในคดียึดทรัพย์ว่าตัวเองนั้นมีความเชื่อมั่นต่อศาลไทย และเคารพต่อศาลไทยว่าจะสามารถให้ความเป็นธรรมในคดี 76,000 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน พร้อมกับกล่าวว่าทรัพย์สินที่ได้มานั้นได้มาก่อนที่จะมาเล่นการเมือง และย้ำในตอนท้ายอีกครั้งหนึ่งว่าตัวเองนั้นมีความเคารพต่อศาลไทยอยู่
คำพูดดังกล่าวข้างต้นหากออกมาจากปากคนทั่วไปก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เมื่อออกมาจากปากของนักโทษชายทักษิณต้องถือว่าน่าสนใจกว่าคนอื่นๆ
น่าสนใจประการหนึ่ง เพราะนักโทษชายทักษิณเป็นผู้ที่หลบหนีคำพิพากษาของศาลฎีกาที่กระทำในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในคดีที่ภรรยานายกรัฐมนตรีไปซื้อที่ดินรัชดาจากหน่วยงานของรัฐอันเป็นการกระทำผิดกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ แล้วหันไปพึ่งพระบรมโพธิสมภารเป็นข้าในขอบขันธสีมาของกษัตริย์เขมร สมคบกับนายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาผู้ย่ำยีดูถูกศาลไทยที่กระทำในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย
น่าสนใจอีกประการหนึ่ง ก็เพราะนักโทษชายทักษิณที่ผ่านมาได้ตำหนิกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยและพูดจาย่ำยีคำพิพากษาของศาลฎีกาของไทยที่กระทำในพระปรมาภิไธยอย่างรุนแรงในต่างประเทศหลายครั้งหลายหน
เพราะความน่าสนใจจากสองปรากฏการณ์ข้างต้นจึงต้องมองว่าการส่งสัญญาณผ่านทีวีคนเสื้อแดงให้ฟังว่าตัวเองมีความเคารพต่อศาลไทยในคดี 76,000 ล้านบาทนั้นมีหมายความว่าอย่างไร ?
และศาลไทยแบบไหนที่นักโทษชายทักษิณเคยให้ความเคารพบ้าง !?
ต้องไม่ลืมว่านักโทษชายทักษิณในขณะที่ด่ากระบวนการยุติธรรมและตำหนิคำพิพากษาของศาลฎีกาของไทย แต่ตัวเองก็เป็นโจทก์ใช้ศาลไทยฟ้องบุคคลที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามทางการเมืองด้วยจำนวนคดีมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่านักโทษชายทักษิณเป็นคนที่เอาแต่ได้ เพราะเคารพและยอมรับศาลไทยที่ตัวเองเป็นฝ่ายโจทก์ฟ้องให้เป็นโทษกับคนอื่น แต่พอศาลไทยพิพากษาเป็นโทษกับตัวเองกลับไม่ยอมรับและตีโพยตีพายเหมือนเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ในวันที่ 11 สิงหาคม 2551 ซึ่งคณะทนายของนักโทษชายทักษิณได้เคยพยายามนำถุงขนม 2 ล้านบาทมาให้เจ้าหน้าที่ของศาลฎีกา ก็ต้องตั้งคำถามเช่นเดียวกันว่า แท้ที่จริงแล้วคนอย่างนักโทษชายทักษิณพร้อมที่จะเคารพศาลไทยแบบไหน ?
จะเป็นแบบนายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ อดีตผู้พิพากษาซึ่งมาเป็นผู้รับจ้างเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับพรรคไทยรักไทย หรือแบบนายอุดม มั่งมีดี อดีตผู้พิพากษาที่เคยตัดสินคดีจำคุกนายสนธิ ลิ้มทองกุล แล้วขึ้นเวทีเสื้อแดงซึ่งเป็นมวลชนฝ่ายตรงกันข้าม คนประเภทนี้เท่านั้นใช่หรือไม่ที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร พร้อมที่จะยอมรับและเคารพ?
เพราะถ้านักโทษชายทักษิณมีความเชื่อมั่นและเคารพต่อศาลไทยจริง สิ่งที่ควรทำเป็นสิ่งแรกก็คือมายอมรับโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาด้วยการยอมมาติดคุก และขึ้นสู่การพิจารณาในชั้นศาลในคดีอื่นๆที่เหลือทั้งหมด
ไม่ใช่เลือกที่จะเคารพศาลไทยในบางคดีที่ตัวเองถูกใจ และไม่เคารพศาลไทยบางคดีที่ตัวเองไม่ถูกใจเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
28 มีนาคม 2552 นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้เคยส่งสัญญาณวีดีโอลิงก์มาปราศรัยที่เวทีคนเสื้อแดงโดยได้บอกเป้าหมายของตัวเองในวันนั้นอย่างชัดเจนว่าต้องการอะไร โดยได้ปราศรัยความตอนหนึ่งว่า
“ผมขอเสนอให้เรามาเริ่มต้นกันใหม่ ให้ประชาชนเป็นคนตัดสินโดยการยุบสภา แล้วเลือกตั้งใหม่ จากนั้นก็แก้รัฐธรรมนูญ โดยใช้ของปี 40 เป็นตัวตั้ง เรื่องที่ฟ้องร้องกัน วันนี้คงต้องยกเลิก เพราะเล่นกันข้างเดียวนัวเนีย เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ผมจะไม่ลงเลือกตั้งเพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์สบายใจ แต่ในส่วนของบ้านเลขที่ 111 ก็จะให้ลงซะ เพราะการเมืองนับวันคนมีคุณภาพเริ่มหายไป”
28 มีนาคม 2552 สรุปความต้องการของนักโทษชายทักษิณในเวลานั้นก็คือ 1. ยุบสภา 2. เลือกตั้งใหม่ 3. นำรัฐรรมนูญปี 2540 กลับมาใช้ และ 4. ยกเลิกเรื่องที่ฟ้องร้องกันทั้งหมด
ส่วนเรื่องที่อ้างว่านักโทษชายทักษิณจะไม่ลงเลือกตั้งในตอนนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะในวันนี้นักโทษชายทักษิณได้ประกาศไปหลายครั้งแล้วว่าพร้อมที่จะกลับมาบริหารประเทศต่อไป
ที่น่าสนใจก็คือข้อเรียกร้องข้อที่ 4 ในเวลานั้นที่ว่า ให้ยกเลิกเรื่องที่ฟ้องร้องกันทั้งหมด สามารถแบ่งได้เป็นคดีอาญาส่วนหนึ่ง กับคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทเป็นอีกส่วนหนึ่ง
สำหรับคดีอาญาที่ตัดสินให้นักโทษชายทักษิณจำคุกไปแล้วกับคดีที่คั่งค้างอยู่นั้น นักโทษชายทักษิณน่าจะหวังว่าหากมีการยุบสภาและมีการเลือกตั้งใหม่แล้ว พรรคเพื่อไทยก็น่าจะชนะด้วยเสียงข้างมากแล้วจะสามารถนำรัฐธรรมนูญปี 2540 กลับมาใช้พร้อมๆกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรมคดีอาญาทั้งหมด ภายใต้เงื่อนไขนี้แสดงว่านักโทษชายทักษิณจึงมีทางเลือกที่จะรอกลไกในอนาคตได้
แต่คดีการยึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทหากสมมุติว่าถูกตัดสินในเดือนมกราคม 2553 ให้ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินไปแล้ว โอกาสที่จะได้กลับคืนมาย่อมเป็นเรื่องที่ยากมากกว่า เพราะเงินอาจถูกใช้จ่ายไปในงบประมาณแล้วประการหนึ่ง และหากรัฐบาลต้องกู้หนี้มาคืนเงินนักโทษชายทักษิณ ก็เป็นเรื่องยากมากว่าที่สังคมจะยอมรับได้ ซึ่งเงินจำนวน 76,000 ล้านบาทถือเป็นทรัพยากรที่มีจำนวนมากเหลือล้นที่จะทำให้เลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยกลับเข้าสู่อำนาจรัฐได้ คดีนี้นักโทษชายทักษิณจึงไม่อาจรอและนิ่งเฉยได้
20 ธันวาคม 2552 หลังจากที่นักโทษชายทักษิณกำลัง สับสน งุนงง กับท่าทีของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ว่าพร้อมที่จะเจรจาหรือไม่ ก็ได้ให้นายนพดล ปัทมะ ออกมายื่นเงื่อนไขในนามนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ว่าหากมีการเจรจาจะต้องมี 3 หัวข้ออยู่ในการเจรจาด้วย คือ 1.มีรัฐธรรมนูญ 2540 หรือมีเนื้อหาใกล้เคียงมาประกาศใช้ 2.ยุบสภา และ 3.มีการเลือกตั้งใหม่
จะเป็นความบังเอิญหรือจะเป็นเพราะลืมไปก็ไม่ทราบได้ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าหัวข้อที่ 4 เรื่องการยกเลิกคดีที่ฟ้องร้องต่อกันเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2552 นั้นหายไป ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่นักโทษชายทักษิณประกาศว่าเคารพและเชื่อมั่นต่อศาลไทยในคดีการยึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ซึ่งแปลความไปได้หลายทาง
1.นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร คิดวิเคราะห์และเชื่อมั่นเอาเองว่าผลของคดีจะเป็นคุณแก่ตัวเองในระดับที่น่าพอใจ ไม่ว่าจะเป็นการไม่ถูกยึดทรัพย์เลย หรือถูกยึดทรัพย์ในจำนวนที่ตัวเองพอใจและรับได้
หรือ 2. นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร รู้ข่าวล่วงหน้าจึงทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าจะเป็นคุณแก่ตัวเองเช่นเดียวกัน ส่วนจะรู้ล่วงหน้าด้วยวิธีการใด และลงมือลงแรงแค่ไหนไม่มีใครทราบได้
หรือ 3. นักโทษชายทักษิณถูกหลอกในการข่าวหรือคิดวิเคราะห์ในทางที่ผิด จนออกอาการอย่างที่เป็นอยู่
หรือ 4. นักโทษชายทักษิณไม่ได้รู้ผลหรือคิดวิเคราะห์อะไรมาก่อน แต่ปรับปรุงตัว เปลี่ยนใจหันมาเชื่อมั่นเคารพศาลไทยแล้ว และพร้อมจะรับผลคำพิพากษาไม่ว่าจะเป็นอย่างไร
ขอไม่เฉลยคำตอบตอนนี้ แต่ให้ผู้อ่านได้วิเคราะห์ความเป็นไปได้เอาเอง เพราะไม่ว่าผลคำพิพากษาจะเป็นอย่างไร จะขอบันทึกเอาไว้ตรงนี้ว่าคนอย่างนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ผู้ซึ่งย่ำยีหนีคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งกระทำในพระปรมาภิไธย ได้กลายมาเป็นผู้ที่ออกมาพูดว่ามีความเชื่อมั่นและเคารพต่อศาลไทยในคดี 76,000 ล้านบาทเอาไว้ล่วงหน้าก่อนถึงวันพิพากษาแล้ว ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2552
ส่วนคำเฉลยจะเป็นอย่างไร ติดตามคำพิพากษาในต้นปีหน้าพร้อมๆกัน!