***ปฏิบัติการเย้ยกฎหมายยิง M 79 ถล่มสถานที่ราชการ บ้านบุคคลสำคัญ และหมายสังหารบุคคลที่เป็นตัวแปรทางการเมือง ถือว่าได้เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับบ้านนี้ เมืองนี้ โดยที่แทบทุกครั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รักษากฎหมาย ไม่สามารถติดตามจับกุม ผู้กระทำความผิดได้เลยแม้แต่สักครั้งเดียว***
เมื่อกลุ่มผู้กระทำความผิดยังคงลอยนวล ในขณะที่ตำรวจมองคดียิง M 79 ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงคดีสร้างสถานการป่วนบ้าน ป่วนเมือง และไม่มีความจริงจังที่จะสืบสวนขยายผลจับกุมผู้กระทำความผิดมาลงโทษ จึงทำให้กลุ่มคนชั่วกลุ่มนี้ ยังหึกเหิม วันหนึ่ง วันใด ไม่พอใจใคร ก็แบกอาวุธร้าย M 79 มายิงถล่มกัน
ย้อนไป 30 ม.ค. 2550 เวลา 01.00 น. คนร้ายยิงระเบิด M 79 ใส่ที่ทำการหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ และลานจอดรถโรงแรมรามาการ์เด้นส์
30 ต.ค. 2551 เวลา 03.20 น. คนร้ายยิงระเบิด M 79 หมายสังหารการ์ดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่สะพานมัฆวาน ทำให้การ์ดได้รับบาดเจ็บร่วม 10 คน สาหัส 2 คน
8 พ.ย. 2551 เวลา 04.40 น. คนร้ายยิงระเบิด M 79 เข้าใส่เต็นท์นอนนักรบอิสระ 9 ในที่ชุมนุมของพันธมิตรฯบริเวณสนามหญ้าหน้าตึกสันติไมตรี เยื้องเวทีปราศรัยประมาณ 250 เมตร แรงระเบิดทำให้เกิดหลุมลึกประมาณ 10 ซม. กว้าง 20 ซม. มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย คือนายเมธี อู่ทอง
11 พ.ย.2551 เวลา 03.25 น. เต็นท์พันธมิตรฯถูกยิงถล่มอีกครั้ง โดยครั้งนี้เหตุเกิดห่างจากเวทีปราศรัย เยื้องไปทางขวามือเพียง 50 เมตร ส่งผลให้เต็นท์มีรู้กว้างขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เมตร มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย 3 ราย
คนร้ายยังหึกเหิม 20 พ.ย.2551 เวลา 03.25 น. ยิง M 79 ถล่มพันธมิตรฯที่ผู้ชุมนุมในทำเนียบรัฐบาล ทำให้เต็นท์มีรู้กว้างขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 ซม. จุดเกิดเหตุอยู่ห่างจากเวทีปราศรัยเพียงแค่ 15 เมตร ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บทันที จำนวน 23 ราย อาการสาหัส 2 ราย และเสียชีวิต 1 ราย คือ นายเจนกิจ กลัดสาคร ชาวจังหวัดชลบุรี ในจำนวนผู้บาดเจ็บมีช่างภาพของ ASTV คือนายนพพร สุขราม รวมอยู่ด้วย
22 พ.ย. 2551 เวลา 02.10 คนร้ายยิง M 79 ใส่พันธมิตรฯ บริเวณแยกสวนมิสกวัน ถนนพิษณุโลก เป็นผลให้การ์ดพันธมิตรฯ ได้รับบาดเจ็บจำนวน 8 คน สาหัสจำนวน 3 นาย ประกอบด้วย นายยุทธพงษ์ เสมอภาค อายุ 22 ปี นายวิรัตน์ เพียงสัจจะ อายุ 54 ปี นายเอกพล สหวัฒน์ อายุ 33 ปี
13 เม.ย. 2552 เวลา 01.30 น. คนร้ายยิง M 79 จำนวน 3 ลูกเข้าไปในศาลรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้ ส.อ.วันชัย วัฒนพงศ์ศิริ สห.ซึ่งทำหน้าที่ รปภ.ศาลรัฐธรรมนูญที่เฝ้าอยู่ด้านใน ได้รับบาดเจ็บ
17 เม.ย. 2552 เวลา 05.10 น. คนร้ายยิง M 79 ถล่ม "สนธิ ลิ้มทองกุล" หน้าวัดศรีเอี่ยม แต่ระเบิดไม่ทำงาน รวมทั้งรัวปืนเอ็ม 16 อาก้าเกือบ 100 นัด
15 พ.ย. 2552 เวลา 22.15 น. คนร้ายยิง M 79 ใส่หลังเวทีพันธมิตรฯที่สนามหลวง ได้รับบาดเจ็บหลายราย
ล่าสุด 15 ม.ค. 2553 เวลา 04.00-05.45 น. คนร้ายยิง M 79 เข้าไปในกองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ซึ่งใกล้เคียงกับห้องทำงานของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ)โดยยิงเข้าไปในตัวอาคาร 1 ชั้น 6 ส่งผลให้ผนังและเสาเกิดเป็นหลุม และสะเก็ดระเบิดทำให้กระจกแตกไป 1 บาน โชกดีไม่มีผู้บาดเจ็บ ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากมีการสั่งพักราชการ "เสธ.แดง" เพียง 1 วัน และกองทัพบกปิดข่าวไม่แจ้งความด้วย
จากปฎิบัติการณ์เหยียบหน้า"บิ๊กป๊อก"พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แม้เรื่องจะถูกปิดเหงียบหลังเกิดเหตุ แต่นั่นถือเป็นเหตุการณ์ที่ท้าทายอำนาจ ผบ.ทบ.ผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง ส่วนเหตุการณ์เถื่อนที่เกิดขึ้น"เสธ.แดง"พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ทหารบ๊อง จอมซ่า จะเกี่ยวข้องหรือไม่ น่าจะล็อกตัวมาเค้นสอบดู
เพราะ 12 ม.ค. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ได้ลงนามในคำสั่งกระทรวงกลาโหม ให้ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก พักราชการ ตามการเสนอของกองทัพบกที่ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนความผิดทางวินัย โดยมีการพิจารณาตั้งข้อกล่าวหา 2 กรณี คือ 1.การหนีราชการไปต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต 2.การให้สัมภาษณ์ดูหมิ่นผู้บังคับบัญชา ซึ่งในระหว่างการสอบสวนได้เรียก พล.ต.ขัตติยะ มารับทราบ และกำชับให้หยุดการให้สัมภาษณ์ที่ดูหมิ่นผู้บังคับบัญชา และหยุดเคลื่อนไหวทางการเมืองทุกอย่าง ซึ่ง พล.ต.ขัตติยะ รับปากที่จะหยุดการเคลื่อนไหว แต่ พล.ต.ขัตติยะ กลับยังดำเนินการตามเดิม คือ นำอดีตทหารพรานมาร่วมชุมนุม ซึ่งเป็นสิ่งไม่เหมาะสม เพราะยิ่งทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด และทำให้สถานการณ์บ้านเมืองบานปลาย
ถัดมา 13 ม.ค. เสธ.แดง ผู้นี้ถึงกับสติแตก พูดข่มข่ม"บิ๊กป๊อก"ชนิดชัดถ้อยชัดคำว่า...ผมจะรอดู หากสุดท้ายแล้วถ้าป็อกมันจะกล้าสั่งให้กระทรวงกลาโหมฯพักราชการผมจริงหรือไม่ หรือแค่พูดออกสื่อให้เป็นข่าว แต่หากมีการพักราชการผมจริงๆ ก็ไม่ต้องมาเผาผีกันและอย่าหวังจะได้ออกมาจากบก.ทบ.ให้มันนอนอยู่ในนั้น ออกมาเจอตัวเมื่อไหร่ ผมกระทืบแน่ เพราะไม่มีสิทธิ์มาสั่งพักราชการผมแบบนี้ผมยังไม่ได้ทำอะไรผิด
ดังนั้น จากเสียงระเบิด M 79 ลูกแรกที่เกิดขึ้น มาจนถึงลูกสุดท้ายใน บก.ทบ.ถือว่า ท้าทายอำนาจรัฐอย่างยิ่ง และถึงเวลาแล้วที่ตำรวจจะต้องสืบสวนอย่างจริงจังกับคดีเช่นนี้เสียที!
ความร้ายแรงของM79
ปืน M 79 เป็นปืนยิงระเบิด ส่วนใหญ่จะใช้ยิงวิถีโค้ง ระยะหวังผล 150 เมตร ระยะยิงไกลสุด 350 เมตร บรรจุกระสุนครั้งละ 1 นัด มีความคล่องตัวสูงเพราะไม่หนักจนเกินไป ปืนชนิดนี้ถูกผลิตขึ้นที่สหรัฐอเมริกา ผู้ออกแบบคือ Springfield Armory เป็นอาวุธที่ได้รับความนิยมในกลุ่มทหารเเละกองทัพต่างๆ ซึ่งไว้ใช้สนับสนุนกับยานพาหนะพวกรถถังโดยเฉพาะ เป็นอาวุธสงครามที่เคยใช้แพร่หลายในสงครามเวียดนาม
ลักษณะการยิงจะยิงได้ทั้งวิถีกระสุนโค้ง และยิงขนานไปกับพื้น อยากให้นึกภาพง่ายๆ เหมือนกับการยิงลูกระเบิดออกไป มือยิงลูกระเบิด จะต้องใช้ปืนประเภทนี้มาประทับบ่าเหมือนปืนลูกซอง เมื่อลั่นไกยิงออกไป เสียงจะไม่ดังมากนัก แต่เมื่อลูกกระสุนไปตกยังเป้าหมายแล้ว จะมีเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ไม่แตกต่างอะไรกับระเบิดสังหารทั่วๆ ไป
อำนาจการระเบิดคล้ายกับระเบิดขว้างสังหาร เปลือกที่ทำด้วยตะกั่ว หรือทองแดง หรือส่วนประกอบกลไกในลูกระเบิด จะกลายเป็นสะเก็ดอย่างดี มีรัศมีทำลายล้าง 15 เมตร ถ้าใครอยู่ในรัศมี 5 เมตร มีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก
คุณสมบัติ
1.ลำกล้องปืน M 79 ค่อนข้างสั้นบังคับยาก
2.มีแรงถีบที่มากพอสมควรบังคับยาก
3. ผู้ใช้อาวุธ M 79 นี้ จะต้องมีความชำนาญในการใช้อย่างมาก จะจึงสามารถยิงได้อย่างแม่นยำ
M 79 มาจากไหน?
การซื้อขายอาวุธสงครามตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งจัดว่าเป็นแหล่งใหญ่ในการแพร่กระจายอาวุธสงครามนั้น นอกจากปืนอาก้าและ M 16 ซึ่งมีการซื้อขายกันมาตั้งแต่หลังสงครามเขมร 3 ฝ่ายยุติลงแล้ว ในช่วงหลายปีมานี้ยังมี ระเบิด M 79 เข้ามาขายตามแนวชายแดนด้วย ซึ่งอาวุธสงครามอานุภาพร้ายแรงดังกล่าวนั้นถูกนำเข้ามาโดยพ่อค้าคนกลางที่มีสายสัมพันธ์กับนายทหารระดับสูงของกัมพูชา แล้วจึงกระจายมาสู่เอเยนต์ชาวไทย
ซึ่งกลุ่มที่เป็นผู้ค้ารายใหญ่ที่สุดก็หนีไม่พ้น ‘คนมีสี’ ซึ่งมีบารมีพอที่จะปูทางให้การขนถ่ายและกระจายสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น จึงไม่แปลกที่ในช่วงที่ผ่านมาจะมีการก่อเหตุร้ายโดยใช้ M 79 เป็นเครื่องทุ่นแรง ไม่ว่าจะเป็นกรณียิง M79 เข้าใส่พันธมิตรฯที่ชุมนุมอยู่ในทำเนียบรัฐบาล ยิง M 79 เข้าไปในศาลรัฐธรรมนูญ หรือกรณียิงถล่มนายสนธิ ซึ่งมี M79 เป็นหนึ่งในอาวุธสังหาร
แหล่งข่าวระดับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ระบุว่า “อาวุธสงครามที่อยู่ในคลังของตำรวจและทหารนั้นจะมีการบันทึกรายการไว้โดยละเอียด มีหลักฐานในการเบิกจ่ายว่านำอาวุธออกมาวันไหน จำนวนเท่าไร ดังนั้นการนำ M 79 ออกมาใช้ หรือเอาออกมาจำหน่ายจึงเป็นเรื่องยาก ทางหนึ่งที่เป็นไปได้ก็คือผู้ที่จัดซื้ออาศัยสายสัมพันธ์ที่มีกับนายหน้าหรือบริษัทที่ขายอาวุธสงคราม สั่งซื้ออาวุธสงครามต่างๆ เป็นการส่วนตัว แล้วก็เอามาขายในตลาด เท่าที่รู้อาวุธสงครามที่กระจายอยู่ทั่วประเทศไทยตอนนี้นั้นทุกชนิดรวมกันมีอยู่ประมาณ 1,000 กว่ากระบอก ซึ่งอาวุธเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนมือกันไปเรื่อยๆ บางคนใช้สังหารเหยื่อเสร็จก็ขายทิ้งเพราะไม่อยากเก็บไว้เป็นหลักฐาน”
ส่วน M 79 ที่ซื้อขายกันในปัจจุบันมีอยู่ 2 รุ่น คือ หนึ่ง รุ่น M203 ซึ่งเป็นการนำปืน M16 A1 มาประกอบกับเครื่องยิง M79 โดยรุ่นนี้ใช้ยิงได้ทั้งลูกกระสุนของ M16 และลูกระเบิดของ M79 สนนราคาอยู่ที่ 25,000 บาท และ สอง M79 ซึ่งเป็นเครื่องยิงระเบิด M79 ราคาที่ขายตามแนวชายแดนอยู่ที่ 10,000 บาท แต่หากนำเข้ามาขายในประเทศจะอยู่ที่กระบอกละ 15,000 บาท.
เมื่อกลุ่มผู้กระทำความผิดยังคงลอยนวล ในขณะที่ตำรวจมองคดียิง M 79 ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงคดีสร้างสถานการป่วนบ้าน ป่วนเมือง และไม่มีความจริงจังที่จะสืบสวนขยายผลจับกุมผู้กระทำความผิดมาลงโทษ จึงทำให้กลุ่มคนชั่วกลุ่มนี้ ยังหึกเหิม วันหนึ่ง วันใด ไม่พอใจใคร ก็แบกอาวุธร้าย M 79 มายิงถล่มกัน
ย้อนไป 30 ม.ค. 2550 เวลา 01.00 น. คนร้ายยิงระเบิด M 79 ใส่ที่ทำการหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ และลานจอดรถโรงแรมรามาการ์เด้นส์
30 ต.ค. 2551 เวลา 03.20 น. คนร้ายยิงระเบิด M 79 หมายสังหารการ์ดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่สะพานมัฆวาน ทำให้การ์ดได้รับบาดเจ็บร่วม 10 คน สาหัส 2 คน
8 พ.ย. 2551 เวลา 04.40 น. คนร้ายยิงระเบิด M 79 เข้าใส่เต็นท์นอนนักรบอิสระ 9 ในที่ชุมนุมของพันธมิตรฯบริเวณสนามหญ้าหน้าตึกสันติไมตรี เยื้องเวทีปราศรัยประมาณ 250 เมตร แรงระเบิดทำให้เกิดหลุมลึกประมาณ 10 ซม. กว้าง 20 ซม. มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย คือนายเมธี อู่ทอง
11 พ.ย.2551 เวลา 03.25 น. เต็นท์พันธมิตรฯถูกยิงถล่มอีกครั้ง โดยครั้งนี้เหตุเกิดห่างจากเวทีปราศรัย เยื้องไปทางขวามือเพียง 50 เมตร ส่งผลให้เต็นท์มีรู้กว้างขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เมตร มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย 3 ราย
คนร้ายยังหึกเหิม 20 พ.ย.2551 เวลา 03.25 น. ยิง M 79 ถล่มพันธมิตรฯที่ผู้ชุมนุมในทำเนียบรัฐบาล ทำให้เต็นท์มีรู้กว้างขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 ซม. จุดเกิดเหตุอยู่ห่างจากเวทีปราศรัยเพียงแค่ 15 เมตร ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บทันที จำนวน 23 ราย อาการสาหัส 2 ราย และเสียชีวิต 1 ราย คือ นายเจนกิจ กลัดสาคร ชาวจังหวัดชลบุรี ในจำนวนผู้บาดเจ็บมีช่างภาพของ ASTV คือนายนพพร สุขราม รวมอยู่ด้วย
22 พ.ย. 2551 เวลา 02.10 คนร้ายยิง M 79 ใส่พันธมิตรฯ บริเวณแยกสวนมิสกวัน ถนนพิษณุโลก เป็นผลให้การ์ดพันธมิตรฯ ได้รับบาดเจ็บจำนวน 8 คน สาหัสจำนวน 3 นาย ประกอบด้วย นายยุทธพงษ์ เสมอภาค อายุ 22 ปี นายวิรัตน์ เพียงสัจจะ อายุ 54 ปี นายเอกพล สหวัฒน์ อายุ 33 ปี
13 เม.ย. 2552 เวลา 01.30 น. คนร้ายยิง M 79 จำนวน 3 ลูกเข้าไปในศาลรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้ ส.อ.วันชัย วัฒนพงศ์ศิริ สห.ซึ่งทำหน้าที่ รปภ.ศาลรัฐธรรมนูญที่เฝ้าอยู่ด้านใน ได้รับบาดเจ็บ
17 เม.ย. 2552 เวลา 05.10 น. คนร้ายยิง M 79 ถล่ม "สนธิ ลิ้มทองกุล" หน้าวัดศรีเอี่ยม แต่ระเบิดไม่ทำงาน รวมทั้งรัวปืนเอ็ม 16 อาก้าเกือบ 100 นัด
15 พ.ย. 2552 เวลา 22.15 น. คนร้ายยิง M 79 ใส่หลังเวทีพันธมิตรฯที่สนามหลวง ได้รับบาดเจ็บหลายราย
ล่าสุด 15 ม.ค. 2553 เวลา 04.00-05.45 น. คนร้ายยิง M 79 เข้าไปในกองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ซึ่งใกล้เคียงกับห้องทำงานของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ)โดยยิงเข้าไปในตัวอาคาร 1 ชั้น 6 ส่งผลให้ผนังและเสาเกิดเป็นหลุม และสะเก็ดระเบิดทำให้กระจกแตกไป 1 บาน โชกดีไม่มีผู้บาดเจ็บ ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากมีการสั่งพักราชการ "เสธ.แดง" เพียง 1 วัน และกองทัพบกปิดข่าวไม่แจ้งความด้วย
จากปฎิบัติการณ์เหยียบหน้า"บิ๊กป๊อก"พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แม้เรื่องจะถูกปิดเหงียบหลังเกิดเหตุ แต่นั่นถือเป็นเหตุการณ์ที่ท้าทายอำนาจ ผบ.ทบ.ผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง ส่วนเหตุการณ์เถื่อนที่เกิดขึ้น"เสธ.แดง"พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ทหารบ๊อง จอมซ่า จะเกี่ยวข้องหรือไม่ น่าจะล็อกตัวมาเค้นสอบดู
เพราะ 12 ม.ค. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ได้ลงนามในคำสั่งกระทรวงกลาโหม ให้ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก พักราชการ ตามการเสนอของกองทัพบกที่ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนความผิดทางวินัย โดยมีการพิจารณาตั้งข้อกล่าวหา 2 กรณี คือ 1.การหนีราชการไปต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต 2.การให้สัมภาษณ์ดูหมิ่นผู้บังคับบัญชา ซึ่งในระหว่างการสอบสวนได้เรียก พล.ต.ขัตติยะ มารับทราบ และกำชับให้หยุดการให้สัมภาษณ์ที่ดูหมิ่นผู้บังคับบัญชา และหยุดเคลื่อนไหวทางการเมืองทุกอย่าง ซึ่ง พล.ต.ขัตติยะ รับปากที่จะหยุดการเคลื่อนไหว แต่ พล.ต.ขัตติยะ กลับยังดำเนินการตามเดิม คือ นำอดีตทหารพรานมาร่วมชุมนุม ซึ่งเป็นสิ่งไม่เหมาะสม เพราะยิ่งทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด และทำให้สถานการณ์บ้านเมืองบานปลาย
ถัดมา 13 ม.ค. เสธ.แดง ผู้นี้ถึงกับสติแตก พูดข่มข่ม"บิ๊กป๊อก"ชนิดชัดถ้อยชัดคำว่า...ผมจะรอดู หากสุดท้ายแล้วถ้าป็อกมันจะกล้าสั่งให้กระทรวงกลาโหมฯพักราชการผมจริงหรือไม่ หรือแค่พูดออกสื่อให้เป็นข่าว แต่หากมีการพักราชการผมจริงๆ ก็ไม่ต้องมาเผาผีกันและอย่าหวังจะได้ออกมาจากบก.ทบ.ให้มันนอนอยู่ในนั้น ออกมาเจอตัวเมื่อไหร่ ผมกระทืบแน่ เพราะไม่มีสิทธิ์มาสั่งพักราชการผมแบบนี้ผมยังไม่ได้ทำอะไรผิด
ดังนั้น จากเสียงระเบิด M 79 ลูกแรกที่เกิดขึ้น มาจนถึงลูกสุดท้ายใน บก.ทบ.ถือว่า ท้าทายอำนาจรัฐอย่างยิ่ง และถึงเวลาแล้วที่ตำรวจจะต้องสืบสวนอย่างจริงจังกับคดีเช่นนี้เสียที!
ความร้ายแรงของM79
ปืน M 79 เป็นปืนยิงระเบิด ส่วนใหญ่จะใช้ยิงวิถีโค้ง ระยะหวังผล 150 เมตร ระยะยิงไกลสุด 350 เมตร บรรจุกระสุนครั้งละ 1 นัด มีความคล่องตัวสูงเพราะไม่หนักจนเกินไป ปืนชนิดนี้ถูกผลิตขึ้นที่สหรัฐอเมริกา ผู้ออกแบบคือ Springfield Armory เป็นอาวุธที่ได้รับความนิยมในกลุ่มทหารเเละกองทัพต่างๆ ซึ่งไว้ใช้สนับสนุนกับยานพาหนะพวกรถถังโดยเฉพาะ เป็นอาวุธสงครามที่เคยใช้แพร่หลายในสงครามเวียดนาม
ลักษณะการยิงจะยิงได้ทั้งวิถีกระสุนโค้ง และยิงขนานไปกับพื้น อยากให้นึกภาพง่ายๆ เหมือนกับการยิงลูกระเบิดออกไป มือยิงลูกระเบิด จะต้องใช้ปืนประเภทนี้มาประทับบ่าเหมือนปืนลูกซอง เมื่อลั่นไกยิงออกไป เสียงจะไม่ดังมากนัก แต่เมื่อลูกกระสุนไปตกยังเป้าหมายแล้ว จะมีเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ไม่แตกต่างอะไรกับระเบิดสังหารทั่วๆ ไป
อำนาจการระเบิดคล้ายกับระเบิดขว้างสังหาร เปลือกที่ทำด้วยตะกั่ว หรือทองแดง หรือส่วนประกอบกลไกในลูกระเบิด จะกลายเป็นสะเก็ดอย่างดี มีรัศมีทำลายล้าง 15 เมตร ถ้าใครอยู่ในรัศมี 5 เมตร มีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก
คุณสมบัติ
1.ลำกล้องปืน M 79 ค่อนข้างสั้นบังคับยาก
2.มีแรงถีบที่มากพอสมควรบังคับยาก
3. ผู้ใช้อาวุธ M 79 นี้ จะต้องมีความชำนาญในการใช้อย่างมาก จะจึงสามารถยิงได้อย่างแม่นยำ
M 79 มาจากไหน?
การซื้อขายอาวุธสงครามตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งจัดว่าเป็นแหล่งใหญ่ในการแพร่กระจายอาวุธสงครามนั้น นอกจากปืนอาก้าและ M 16 ซึ่งมีการซื้อขายกันมาตั้งแต่หลังสงครามเขมร 3 ฝ่ายยุติลงแล้ว ในช่วงหลายปีมานี้ยังมี ระเบิด M 79 เข้ามาขายตามแนวชายแดนด้วย ซึ่งอาวุธสงครามอานุภาพร้ายแรงดังกล่าวนั้นถูกนำเข้ามาโดยพ่อค้าคนกลางที่มีสายสัมพันธ์กับนายทหารระดับสูงของกัมพูชา แล้วจึงกระจายมาสู่เอเยนต์ชาวไทย
ซึ่งกลุ่มที่เป็นผู้ค้ารายใหญ่ที่สุดก็หนีไม่พ้น ‘คนมีสี’ ซึ่งมีบารมีพอที่จะปูทางให้การขนถ่ายและกระจายสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น จึงไม่แปลกที่ในช่วงที่ผ่านมาจะมีการก่อเหตุร้ายโดยใช้ M 79 เป็นเครื่องทุ่นแรง ไม่ว่าจะเป็นกรณียิง M79 เข้าใส่พันธมิตรฯที่ชุมนุมอยู่ในทำเนียบรัฐบาล ยิง M 79 เข้าไปในศาลรัฐธรรมนูญ หรือกรณียิงถล่มนายสนธิ ซึ่งมี M79 เป็นหนึ่งในอาวุธสังหาร
แหล่งข่าวระดับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ระบุว่า “อาวุธสงครามที่อยู่ในคลังของตำรวจและทหารนั้นจะมีการบันทึกรายการไว้โดยละเอียด มีหลักฐานในการเบิกจ่ายว่านำอาวุธออกมาวันไหน จำนวนเท่าไร ดังนั้นการนำ M 79 ออกมาใช้ หรือเอาออกมาจำหน่ายจึงเป็นเรื่องยาก ทางหนึ่งที่เป็นไปได้ก็คือผู้ที่จัดซื้ออาศัยสายสัมพันธ์ที่มีกับนายหน้าหรือบริษัทที่ขายอาวุธสงคราม สั่งซื้ออาวุธสงครามต่างๆ เป็นการส่วนตัว แล้วก็เอามาขายในตลาด เท่าที่รู้อาวุธสงครามที่กระจายอยู่ทั่วประเทศไทยตอนนี้นั้นทุกชนิดรวมกันมีอยู่ประมาณ 1,000 กว่ากระบอก ซึ่งอาวุธเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนมือกันไปเรื่อยๆ บางคนใช้สังหารเหยื่อเสร็จก็ขายทิ้งเพราะไม่อยากเก็บไว้เป็นหลักฐาน”
ส่วน M 79 ที่ซื้อขายกันในปัจจุบันมีอยู่ 2 รุ่น คือ หนึ่ง รุ่น M203 ซึ่งเป็นการนำปืน M16 A1 มาประกอบกับเครื่องยิง M79 โดยรุ่นนี้ใช้ยิงได้ทั้งลูกกระสุนของ M16 และลูกระเบิดของ M79 สนนราคาอยู่ที่ 25,000 บาท และ สอง M79 ซึ่งเป็นเครื่องยิงระเบิด M79 ราคาที่ขายตามแนวชายแดนอยู่ที่ 10,000 บาท แต่หากนำเข้ามาขายในประเทศจะอยู่ที่กระบอกละ 15,000 บาท.