นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทได้ดำเนินการโครงการ "ประหยัด300ล้าน " ซึ่งเป็นโครงการรณรงค์ให้มีการประหยัดค่าใช้จ่ายทั่วทั้งองค์กรภายใต้มาตรการลดต้นทุนในการดำเนินงานเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับการดำเนินธุรกิจของบริษัท และต่อสู้กับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปี 52 บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายการประหยัดได้ในเดือนตุลาคม 2552 เร็วกว่าที่ตั้งไว้ ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับเป้าหมายประหยัดเพิ่มขึ้นเป็น 400 ล้านบาท และสามารถบรรลุเป้าหมายการประหยัดได้ 423 ล้านบาทในเดือนธันวาคม 52
โครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งของแผนการลดผลกระทบจากวิกฤติการเงินและแนวทางการแก้ไขปัญหาของ SSI โดยบริษัทได้ออกมาตรการต่าง ๆ มารองรับเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ดำเนินการอยู่แล้ว ทั้งในส่วนของสำนักงานกรุงเทพฯ และโรงงานที่บางสะพาน ประกอบด้วยการลดค่าใช้จ่ายทางตรงและทางอ้อม โครงการประหยัดการใช้พลังงาน การปรับเปลี่ยนสัญญาจ้างเหมา การควบคุมค่าใช้จ่ายล่วงเวลา การใช้อัตรากำลังคนที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งได้ความร่วมมือจากพนักงานในทุกระดับในการเสนอความคิดเห็นและให้คำแนะนำเพื่อการปรับปรุงหรือพัฒนามาตรการต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย เมื่อผนวกกับกิจกรรมโครงการประหยัดอื่นๆ ที่พนักงานเป็นผู้คิดริเริ่มจึงนับเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้ภารกิจครั้งนี้ประสบความสำเร็จ
นอกจากนี้ โครงการประหยัด 400 ล้านบาท นับเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการของบริษัทพลิกกลับมามีกำไรในปี 52 เช่นเดียวกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวย คือ การผลักดันการขายทั้งในส่วนของตลาดภายในประเทศและส่งออกเพิ่มมากขึ้น ทำให้บริษัทมียอดขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนที่สูงสุดในประเทศไทย และบริษัทสามารถจัดหาวัตถุดิบที่มีราคาถูกในปริมาณที่เหมาะสมตามความต้องการทำให้มีค่าการรีด (Rolling Spread)สูง อีกทั้งการควบคุมให้ส่วนสูญเสียจากการผลิต และการใช้พลังงานให้น้อยลง ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จในการลดต้นทุนการผลิตอีกด้วย
โครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งของแผนการลดผลกระทบจากวิกฤติการเงินและแนวทางการแก้ไขปัญหาของ SSI โดยบริษัทได้ออกมาตรการต่าง ๆ มารองรับเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ดำเนินการอยู่แล้ว ทั้งในส่วนของสำนักงานกรุงเทพฯ และโรงงานที่บางสะพาน ประกอบด้วยการลดค่าใช้จ่ายทางตรงและทางอ้อม โครงการประหยัดการใช้พลังงาน การปรับเปลี่ยนสัญญาจ้างเหมา การควบคุมค่าใช้จ่ายล่วงเวลา การใช้อัตรากำลังคนที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งได้ความร่วมมือจากพนักงานในทุกระดับในการเสนอความคิดเห็นและให้คำแนะนำเพื่อการปรับปรุงหรือพัฒนามาตรการต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย เมื่อผนวกกับกิจกรรมโครงการประหยัดอื่นๆ ที่พนักงานเป็นผู้คิดริเริ่มจึงนับเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้ภารกิจครั้งนี้ประสบความสำเร็จ
นอกจากนี้ โครงการประหยัด 400 ล้านบาท นับเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการของบริษัทพลิกกลับมามีกำไรในปี 52 เช่นเดียวกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวย คือ การผลักดันการขายทั้งในส่วนของตลาดภายในประเทศและส่งออกเพิ่มมากขึ้น ทำให้บริษัทมียอดขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนที่สูงสุดในประเทศไทย และบริษัทสามารถจัดหาวัตถุดิบที่มีราคาถูกในปริมาณที่เหมาะสมตามความต้องการทำให้มีค่าการรีด (Rolling Spread)สูง อีกทั้งการควบคุมให้ส่วนสูญเสียจากการผลิต และการใช้พลังงานให้น้อยลง ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จในการลดต้นทุนการผลิตอีกด้วย