สหวิริยาสตีลอินดัสตรี งวดสิ้นปี 52 กวาดกำไร 1,272.40 ล้านบาท ขณะงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 5,166.20 ล้านบาท ผลจากยอดขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนเพิ่มเพิ่มถึง 71% เน้นขายเหล็กแผ่นชั้นคุณภาพพิเศษ เพิ่มส่วนแบ่งตลาดมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการ พร้อมเดินหน้าลดต้นทุนดำเนินงาน
นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI แจ้งงบการเงินงวดสิ้นปี 52 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 52 ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 1,272.40 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีผลขาดทุนสุทธิ 5,166.20 ล้านบาท หรือฟื้นกำไร 126% ผลจากบริษัทมีรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 32,887.6 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ายอดขายของปี 51 ซึ่งมี 26,966.3 ล้านบาท เป็นผลมาจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 71% แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยลดลง 29 % ก็ตาม นอกจากนี้บริษัทมีรายได้จากการขายเศษเหล็ก 300.2 ล้านบาท เทียบกับยอดขายของปี 51 ซึ่งมี 488.5 ล้านบาท บริษัทย่อยมีรายได้จากการให้บริการ 227.8 ล้านบาทต่ำกว่ารายได้ของปี 51 ซึ่งมี 308.8 ล้านบาท บริษัทและบริษัทย่อยขาดทุนขั้นต้นจากการขายและบริการ ก่อนการโอนกลับบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือ 2,312.0 ล้านบาท เทียบกับกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการ ก่อนหักขาดทุนบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือ 2,145.9 ล้านบาท ของปี 51 เนื่องจากปริมาณขายเพิ่มขึ้นและส่วนต่างระหว่างราคาขายและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น
ขณะที่ไตรมาส4 ปี 52 ว่า มีรายได้รวม 9,563 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 9,441 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,786 ล้านบาท หรือ 470 % จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนรายได้อื่นเพิ่มขึ้นจากการโอนกลับบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือสุทธิ 5,373.2 ล้านบาท ส่วนบริษัทมีขาดทุนบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือสุทธิ 5,440.0 ล้านบาท ทำให้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการหลังการโอนกลับบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือ
" ปี 52 นับเป็นปีที่บริษัทประสบความสำเร็จมาก เนื่องจากสามารถทำให้ผลการดำเนินงานกลับมามีกำไรดี ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจรวมถึงต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นและภาวะอุตสาหกรรมเหล็กยังคงซบเซา แต่บริษัทสามารถพลิกจากขาดทุนเป็นกำไรได้ จากการบริหารงานโปร่งใสภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี เน้นการขายสินค้าประเภทเหล็กแผ่นชั้นคุณภาพพิเศษ เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดโดยการมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการให้ดียิ่งขึ้น และการประหยัด 300 ล้านที่ประสบความสำเร็จเกินเป้าหมาย ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานได้ทั้งสิ้น 423 ล้านบาท "
นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งมั่นสร้างผลตอบแทนแก่ชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยจัดทำโครงการพัฒนาชุมชนและสังคมที่มุ่งไปสู่ความยั่งยืน ทั้งทางด้านการพัฒนาการศึกษา การพัฒนารายได้สู่ชุมชน การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม การดูแลคุณภาพชีวิต วัฒนธรรม และสาธารณสุข รวมถึงกิจกรรมเพื่อสังคมสำหรับผู้ด้อยโอกาส โดยบริษัทคาดการณ์ว่าปีนี้ เศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัวจากการปฏิบัติตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ
นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI แจ้งงบการเงินงวดสิ้นปี 52 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 52 ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 1,272.40 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีผลขาดทุนสุทธิ 5,166.20 ล้านบาท หรือฟื้นกำไร 126% ผลจากบริษัทมีรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 32,887.6 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ายอดขายของปี 51 ซึ่งมี 26,966.3 ล้านบาท เป็นผลมาจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 71% แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยลดลง 29 % ก็ตาม นอกจากนี้บริษัทมีรายได้จากการขายเศษเหล็ก 300.2 ล้านบาท เทียบกับยอดขายของปี 51 ซึ่งมี 488.5 ล้านบาท บริษัทย่อยมีรายได้จากการให้บริการ 227.8 ล้านบาทต่ำกว่ารายได้ของปี 51 ซึ่งมี 308.8 ล้านบาท บริษัทและบริษัทย่อยขาดทุนขั้นต้นจากการขายและบริการ ก่อนการโอนกลับบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือ 2,312.0 ล้านบาท เทียบกับกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการ ก่อนหักขาดทุนบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือ 2,145.9 ล้านบาท ของปี 51 เนื่องจากปริมาณขายเพิ่มขึ้นและส่วนต่างระหว่างราคาขายและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น
ขณะที่ไตรมาส4 ปี 52 ว่า มีรายได้รวม 9,563 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 9,441 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,786 ล้านบาท หรือ 470 % จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนรายได้อื่นเพิ่มขึ้นจากการโอนกลับบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือสุทธิ 5,373.2 ล้านบาท ส่วนบริษัทมีขาดทุนบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือสุทธิ 5,440.0 ล้านบาท ทำให้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการหลังการโอนกลับบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือ
" ปี 52 นับเป็นปีที่บริษัทประสบความสำเร็จมาก เนื่องจากสามารถทำให้ผลการดำเนินงานกลับมามีกำไรดี ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจรวมถึงต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นและภาวะอุตสาหกรรมเหล็กยังคงซบเซา แต่บริษัทสามารถพลิกจากขาดทุนเป็นกำไรได้ จากการบริหารงานโปร่งใสภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี เน้นการขายสินค้าประเภทเหล็กแผ่นชั้นคุณภาพพิเศษ เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดโดยการมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการให้ดียิ่งขึ้น และการประหยัด 300 ล้านที่ประสบความสำเร็จเกินเป้าหมาย ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานได้ทั้งสิ้น 423 ล้านบาท "
นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งมั่นสร้างผลตอบแทนแก่ชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยจัดทำโครงการพัฒนาชุมชนและสังคมที่มุ่งไปสู่ความยั่งยืน ทั้งทางด้านการพัฒนาการศึกษา การพัฒนารายได้สู่ชุมชน การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม การดูแลคุณภาพชีวิต วัฒนธรรม และสาธารณสุข รวมถึงกิจกรรมเพื่อสังคมสำหรับผู้ด้อยโอกาส โดยบริษัทคาดการณ์ว่าปีนี้ เศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัวจากการปฏิบัติตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ