นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ( SSI ) ชี้แจงผลการดำเนินงาน ไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 52 และ 2551 ว่าบริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 1,313 ล้านบาทขณะที่งวดเดียวกันของปี 51 ขาดทุนสุทธิ 1,375.46 ล้านบาท อันเป็นผลจากบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวม 9,328 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 9,179 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,475 ล้านบาท หรือ 37 % จากงวดเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ SSI ยังกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการ 922.4 ล้านบาทพุ่งสูงจากปี 51 ที่มี 362.3 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปี 51 อันเป็นผลจากส่วนต่างระหว่างราคาขายและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น บวกกับกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการหลังการโอนกลับค่าเผื่อการลดมูลค่าสินค้าคงเหลือ 1,580.9 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี51 ซึ่งมีขาดทุนขั้นต้นจากการขายและบริการหลังหักค่าเผื่อการลดมูลค่าสินค้าคงเหลือ 994.5 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการที่เติบโต เนื่องจากการผลักดันการขายทั้งในส่วนของตลาดภายในประเทศและส่งออกเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการขายเพิ่มขึ้นถึง 142 % เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 51 นับเป็นยอดขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนที่สูงสุดในประเทศไทย อีกทั้งสามารถจัดหาวัตถุดิบที่มีราคาถูกในปริมาณที่เหมาะสมตามความต้องการทำให้มีค่าการรีด (Rolling Spread) สูง และยังควบคุมให้ส่วนสูญเสียจากการผลิตและควบคุมการใช้พลังงานให้น้อยลง ซึ่งประสบความสำเร็จในการลดต้นทุนการผลิต โดยโครงการ
" ประหยัด300ล้าน " ซึ่งเป็นโครงการที่ประสบผลสำเร็จในเดือน ต.ค. ถือว่าเร็วกว่าเป้าหมาย ส่งผลให้บริษัทปรับเป้าหมายประหยัดเพิ่มเป็น 400 ล้านบาทในสิ้นปีนี้
นายวินกล่าวว่าอุตสาหกรรมเหล็กได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยมีสัญญานที่ดีจากราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นมา และการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมพลังงาน บริษัทจึงได้ปรับเป้าหมายปริมาณการผลิตและจำหน่ายปี 52 เป็น 1.9 ล้านตัน เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทร่วมทุนและบริษัทย่อยสามารถส่งผลตอบแทนที่ดีกลับสู่บริษัทแม่อย่างน่าพอใจ
นอกจากนี้ SSI ยังกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการ 922.4 ล้านบาทพุ่งสูงจากปี 51 ที่มี 362.3 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปี 51 อันเป็นผลจากส่วนต่างระหว่างราคาขายและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น บวกกับกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการหลังการโอนกลับค่าเผื่อการลดมูลค่าสินค้าคงเหลือ 1,580.9 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี51 ซึ่งมีขาดทุนขั้นต้นจากการขายและบริการหลังหักค่าเผื่อการลดมูลค่าสินค้าคงเหลือ 994.5 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการที่เติบโต เนื่องจากการผลักดันการขายทั้งในส่วนของตลาดภายในประเทศและส่งออกเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการขายเพิ่มขึ้นถึง 142 % เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 51 นับเป็นยอดขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนที่สูงสุดในประเทศไทย อีกทั้งสามารถจัดหาวัตถุดิบที่มีราคาถูกในปริมาณที่เหมาะสมตามความต้องการทำให้มีค่าการรีด (Rolling Spread) สูง และยังควบคุมให้ส่วนสูญเสียจากการผลิตและควบคุมการใช้พลังงานให้น้อยลง ซึ่งประสบความสำเร็จในการลดต้นทุนการผลิต โดยโครงการ
" ประหยัด300ล้าน " ซึ่งเป็นโครงการที่ประสบผลสำเร็จในเดือน ต.ค. ถือว่าเร็วกว่าเป้าหมาย ส่งผลให้บริษัทปรับเป้าหมายประหยัดเพิ่มเป็น 400 ล้านบาทในสิ้นปีนี้
นายวินกล่าวว่าอุตสาหกรรมเหล็กได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยมีสัญญานที่ดีจากราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นมา และการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมพลังงาน บริษัทจึงได้ปรับเป้าหมายปริมาณการผลิตและจำหน่ายปี 52 เป็น 1.9 ล้านตัน เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทร่วมทุนและบริษัทย่อยสามารถส่งผลตอบแทนที่ดีกลับสู่บริษัทแม่อย่างน่าพอใจ