ในขณะที่บทความนี้ลงตีพิมพ์ เหตุการณ์สุริยุปราคาครั้งล่าสุดก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว เพราะเป็นสุริยุปราคาที่เกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2553 เวลาราวบ่าย 2 โมงครึ่ง ไปสิ้นสุดเอาเกือบบ่าย 3 โมง
เป็นอุปราคาที่มองเห็นในบางที่บางจุด สำหรับในประเทศไทยเห็นได้ที่จังหวัดภูเก็ตและจังหวัดเชียงใหม่
ในขณะที่กำลังเกิดอุปราคานั้น มีคนเขียนทวิตเตอร์ถามขึ้นในทวิภพว่า การที่ราหูอมอาทิตย์ในครั้งนี้ จะเป็นสัญญาณดีร้ายประการใด
ก็ได้เขียนตอบไปตามประสาของนักเล่นทวิตเตอร์ที่ใครถามอะไรกันมา หากพอมีความรู้จะตอบได้ก็ต้องช่วยกันตอบ เพื่อทำให้ทวิภพหรือโลกใบเหลี่ยมของชาวเว็บทั้งหลายเป็นโลกที่อำนวยประโยชน์และความสุขแก่มนุษย์ แทนที่จะเป็นโลกของการทะเลาะเบาะแว้ง หรือแสดงอารมณ์ไม่เข้าท่าต่าง ๆ นานาต่อกัน
ได้เขียนตอบไปว่า อุปราคาคราวนี้ไม่เกี่ยวกับราหู
ในสมัยโบราณนั้น มีความเชื่อว่าอุปราคาที่เกิดขึ้นไม่ว่าจันทรุปราคา หรือสุริยุปราคา เป็นเรื่องที่เทพอสูรตนหนึ่งที่มีชื่อว่าราหูได้ไล่จับพระจันทร์และพระอาทิตย์มาอมไว้ จึงทำให้พระอาทิตย์และพระจันทร์มืดดำไป
จึงเป็นที่มาของพิธีกรรมและกระบวนการในการช่วยพระจันทร์และพระอาทิตย์ด้วยการทำเสียงดังเพื่อไล่ราหู ไม่ว่าด้วยการจุดประทัด ตีกลอง และร้องตะโกนว่าช่วยจันทร์ ช่วยอาทิตย์
เมื่อยามอยู่ในวัยเด็กก็ได้รับคติความเชื่อเช่นนี้มาเหมือนกัน เคยออกไปตีกลองร้อง “ช่วยจันทร์เจ้าเอ๋ย” หรือไม่ก็ “ช่วยอาทิตย์เจ้าเอ๋ย” อยู่หลายครั้งหลายหน
แต่เมื่อได้ร่ำเรียนอะไรต่อมิอะไรมากขึ้นก็ได้รู้ว่าไม่ได้เกี่ยวกับราหู เพราะเทพอสูรที่มีชื่อว่าราหูนั้นไม่ได้อยู่ในจักรราศี แต่เป็นอีกเรื่องอีกราวหนึ่งต่างหาก เพียงแต่ชื่อมาพ้องกันกับดาวพระราหู ซึ่งใช้ในการพยากรณ์ทางโหราศาสตร์
การที่เกิดอุปราคาก็เพราะว่าไม่ดวงจันทร์หรือโลก ได้ไปขวางแสงของพระอาทิตย์ หรืออีกนัยหนึ่งโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกันทั้งพระอาทิตย์ โลก พระจันทร์
ถ้ายามที่โคจรมาอยู่ในแนวเดียวกันนั้น โลกอยู่ระหว่างกลาง เงาของโลกก็จะไปบังดวงจันทร์ ก็จะเกิดเป็นจันทรุปราคา แต่ถ้าดวงจันทร์อยู่ระหว่างกลาง ดวงจันทร์ก็จะบังแสงจากดวงอาทิตย์ ก็จะเกิดเป็นสุริยุปราคา
จะเป็นอุปราคาเต็มดวงหรือไม่เต็มดวงก็ขึ้นอยู่กับวิถีการโคจรว่าอยู่ในแนวเส้นตรงที่ตรงดิ่งกันหรือว่าเบี่ยงเบนออกไปมากและน้อย และจะเห็นในพื้นที่ใดของโลกก็ขึ้นอยู่กับว่าพื้นที่นั้นอยู่ในแนวที่จะเห็นดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ ณ เวลานั้นๆ หรือไม่
เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเสมอๆ เพราะในแต่ละปีนั้นดวงจันทร์โคจรรอบโลก และโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ย่อมมีจังหวะจะโคนที่วิถีโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกันหลายครั้ง บ้างก็โลกอยู่กลาง บ้างก็ดวงจันทร์อยู่กลาง จึงเกิดเป็นอุปราคาขึ้น
กล่าวโดยรวม อุปราคาทั้งปวงล้วนเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และโลก โคจรตามวิถีโคจรอันเป็นไปตามธรรมชาติ หาได้มีสิ่งใดหรือผู้ใดบันดาลให้เป็นไปแต่ประการใดไม่ และมิได้ส่งผลใดๆ ต่อการกระทำของคน
เพราะคนเราจะทำการใดย่อมขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดการกระทำนั้น โดยรวมกล่าวได้ว่ากิเลสนั่นแล้วคือเหตุปัจจัยของการกระทำต่างๆ ของคน และเมื่อทำกรรมอันใดลงไปแล้วก็ย่อมมีวิบากกรรมเกิดขึ้นเสมอ นี่ก็เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่ไม่ผันแปรเป็นอย่างอื่นตามความต้องการของใคร
ในวันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2553 ที่เกิดสุริยุปราคานั้น ไม่เกี่ยวกับพระราหูหรือดาวราหู เพราะในวันนั้นดวงอาทิตย์โคจรอยู่ที่ราศีมังกร ที่ระยะ 1 องศา 10 ฟิลิปดา ในขณะที่ดาวราหูโคจรอยู่ที่ราศีธนู ระยะ 26 องศา 10 ฟิลิปดา ถ้าหากวัดเป็นระยะทางก็ไกลกันอักโข จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกันดังที่มีผู้ตั้งคำถามแต่ประการใด
คือไม่ได้เกี่ยวข้องในแง่ที่ราหูเป็นเทพอสูรอมพระอาทิตย์ หรือในแง่ดาวเดือนในจักรราศีที่พระราหูทับพระอาทิตย์แต่ประการใดเลย
ในวันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2553 ในช่วงที่พระอาทิตย์โคจรอยู่ในราศีมังกร ที่ระยะ 1 องศา 10 ฟิลิปดานั้น ดวงจันทร์ก็โคจรรอบโลกอยู่ และ ณ เวลาประมาณ 14 นาฬิกานั้น ดวงจันทร์ก็โคจรเข้าสู่ราศีมังกร
โคจรเคลื่อนคล้อยไปตามจักรราศีตั้งแต่ 0 องศาเริ่มไป 1 ฟิลิปดา แล้วโคจรเรื่อยไปจนถึง 1 องศาเศษๆ วิถีโคจรของดวงจันทร์ซึ่งกำลังโคจรรอบโลกอยู่นั้นก็ไปขวางทางแสงจากพระอาทิตย์เข้าพอดี
จึงทำให้แนวที่ดวงจันทร์ขวางดวงอาทิตย์นั้นเกิดเงามืดขึ้น นั่นคือเมื่อมองจากพื้นโลกไปยังดวงอาทิตย์ก็จะเห็นเงามืด นั่นแหละเป็นดวงจันทร์ที่อยู่ในแนวเดียวกันคั่นกลางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ จึงขวางทางเดินของแสง แล้วทำให้เห็นเงามืดขึ้น
ปรากฏการณ์ธรรมชาติแบบนี้ ในทางดาราศาสตร์เฉพาะส่วนที่นำมาใช้กับการพยากรณ์ในทางโหราศาสตร์จะเรียกว่าจันทร์ดับ เพราะมีหลักวิชาการคำนวณว่าเมื่อวันเวลาใดก็ตามที่ดวงจันทร์โคจรเข้าไปอยู่ในวิถีหรือแนวเดียวกันกับดวงอาทิตย์ ในระยะที่ห่างกันไม่เกิน 1 องศาแล้ว ถือว่าวันเวลานั้นเป็นวันเวลาพระจันทร์ดับ
ผลคำนวณทางดาราศาสตร์ที่ถือเอาอาทิตย์อุทัย ที่อำเภอพิบูลย์มังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ตามแบบฉบับของนายทองเจือ อ่างแก้ว คำนวณได้ว่าเวลาที่จันทร์ดับนั้นคือเวลา 13.48 นาฬิกา
เพราะเหตุที่ดวงจันทร์โคจรเร็วกว่าพระเคราะห์อื่นๆ ในวันที่ 15 มกราคม ศกนี้ ดวงจันทร์จึงโคจรผ่านวิถีดาวหลายดวง
นั่นคือโคจรผ่านพระราหูในเวลา 0.04 นาฬิกา ผ่านพระศุกร์เมื่อเวลา 04.25 นาฬิกา เริ่มเข้าแนวรัศมีของพระอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 8.31 นาฬิกา และดับสนิทในเวลา 13.48 นาฬิกา
แต่เพราะพื้นที่อันเป็นแนวเดียวกันนั้นไปใกล้เคียงเอาที่จังหวัดภูเก็ตและจังหวัดภูเก็ตเป็นพื้นที่ที่เห็นดวงอาทิตย์ไม่พร้อมกับอำเภอพิบูลย์มังสาหาร เมื่อคำนวณเป็นเวลาปัจจุบันจึงต่างกันหลายนาที
แล้วถามว่าการมีอุปราคาและการที่พระจันทร์โคจรทับดาวต่างๆ หลายดวงในวันเดียวกันเช่นนี้ ได้ส่งผลอะไรกับโลกมนุษย์ของเราบ้าง?
ดวงจันทร์นั้นโคจรอยู่ใกล้โลกมากที่สุด แรงดึงดูดของโลกกับดวงจันทร์มีผลกระทบต่อน้ำ ยามใดที่ดวงจันทร์โคจรใกล้โลกตรงกับพื้นที่ที่เป็นแหล่งน้ำใดๆ ไม่ว่าทะเลหรือมหาสมุทร ก็จะส่งผลให้น้ำไหลหลั่งมารวมกัน ทำให้เกิดสภาพน้ำขึ้น นี่เป็นกฎธรรมชาติ
ทว่ามนุษย์เรานี้ก็มีน้ำในตัวเป็นส่วนมาก ดังนั้นการโคจรของดวงจันทร์จึงส่งอิทธิพลกับน้ำในตัวมนุษย์ด้วย
ดังเช่น การมีระดูหรือประจำเดือนของสตรีนั้น หากรู้เวลากำเนิดวางลัคนาได้แม่นยำแล้ว นักคำนวณผู้ปรีชาจริงก็จะสามารถคำนวณวันเวลามีประจำเดือนของสตรีนั้นเพื่อคำนวณการตั้งครรภ์ได้ และนี่คือรากฐานของวิชาการให้ฤกษ์เรียงหมอน
นอกจากดวงจันทร์มีอิทธิพลต่อน้ำในร่างกายมนุษย์แล้ว ยังมีอิทธิพลต่ออารมณ์ความรู้สึกและความคิดจิตใจของมนุษย์ด้วย
พึงสังเกตว่าพิธีกรรมสำคัญหรือการแสดงพระธรรมสำคัญๆ ในพระพุทธศาสนานั้น พระตถาคตเจ้าผู้ทรงเป็นสัพพัญญูและทรงรู้แจ้งโลกได้ถือเอาวันพระจันทร์เพ็ญเป็นวันทำพิธีกรรมหรือแสดงพระธรรมสำคัญๆ ทั้งสิ้น
เช่น ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตรเป็นปฐมเทศนาในวันเพ็ญเดือน 8 ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ในวันเพ็ญเดือน 3 ทรงแสดงมหาสติปัฏฐานในวันเพ็ญเดือน 12 เป็นต้น
ปรากฏการณ์ธรรมชาติดังที่แสดงมานี้ความจริงไม่ใช่เรื่องลี้ลับหรือมหัศจรรย์อันใด เพราะส่องกล้องดูด้วยตาก็เห็นได้ บางครั้งไม่ต้องส่องกล้องก็มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หรือผู้มีปัญญาวิชาคุณก็รู้ได้ด้วยการคำนวณ ดังเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณอุปราคาล่วงหน้าที่อำเภอหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อันลือเลื่องในครั้งกระโน้น
แต่ก็มีคนบางกลุ่มบางพวกลุ่มหลงงมงาย ถือเอาการโคจรของดวงดาวว่ามีผลมีอิทธิพลต่อบ้านเมืองและมนุษย์ บางคนก็ถึงกับวางแผนป่วนบ้านชิงเมืองกันในวันที่ 15 มกราคม 2553 ตามคำแนะนำของพวกหมอดู ซึ่งในวันนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่มีความหมายใดๆ เลย และไม่มีคุณค่าในทางความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย
แต่ความจริงที่เห็นนั้นลองมองดีๆ เถิด ก็จะเห็นว่าอุปราคานั้นได้แสดงธรรมให้เห็นอย่างแจ้งชัด ดังที่พระตถาคตเจ้าเคยตรัสไว้ว่า พระอาทิตย์และพระจันทร์อันมีฤทธิ์ ย่อมเศร้าหมองได้ด้วยเมฆหมอกฉันใด ผู้มีอำนาจก็อาจเศร้าหมองได้ด้วยผู้คนแวดล้อมฉันนั้น.
เป็นอุปราคาที่มองเห็นในบางที่บางจุด สำหรับในประเทศไทยเห็นได้ที่จังหวัดภูเก็ตและจังหวัดเชียงใหม่
ในขณะที่กำลังเกิดอุปราคานั้น มีคนเขียนทวิตเตอร์ถามขึ้นในทวิภพว่า การที่ราหูอมอาทิตย์ในครั้งนี้ จะเป็นสัญญาณดีร้ายประการใด
ก็ได้เขียนตอบไปตามประสาของนักเล่นทวิตเตอร์ที่ใครถามอะไรกันมา หากพอมีความรู้จะตอบได้ก็ต้องช่วยกันตอบ เพื่อทำให้ทวิภพหรือโลกใบเหลี่ยมของชาวเว็บทั้งหลายเป็นโลกที่อำนวยประโยชน์และความสุขแก่มนุษย์ แทนที่จะเป็นโลกของการทะเลาะเบาะแว้ง หรือแสดงอารมณ์ไม่เข้าท่าต่าง ๆ นานาต่อกัน
ได้เขียนตอบไปว่า อุปราคาคราวนี้ไม่เกี่ยวกับราหู
ในสมัยโบราณนั้น มีความเชื่อว่าอุปราคาที่เกิดขึ้นไม่ว่าจันทรุปราคา หรือสุริยุปราคา เป็นเรื่องที่เทพอสูรตนหนึ่งที่มีชื่อว่าราหูได้ไล่จับพระจันทร์และพระอาทิตย์มาอมไว้ จึงทำให้พระอาทิตย์และพระจันทร์มืดดำไป
จึงเป็นที่มาของพิธีกรรมและกระบวนการในการช่วยพระจันทร์และพระอาทิตย์ด้วยการทำเสียงดังเพื่อไล่ราหู ไม่ว่าด้วยการจุดประทัด ตีกลอง และร้องตะโกนว่าช่วยจันทร์ ช่วยอาทิตย์
เมื่อยามอยู่ในวัยเด็กก็ได้รับคติความเชื่อเช่นนี้มาเหมือนกัน เคยออกไปตีกลองร้อง “ช่วยจันทร์เจ้าเอ๋ย” หรือไม่ก็ “ช่วยอาทิตย์เจ้าเอ๋ย” อยู่หลายครั้งหลายหน
แต่เมื่อได้ร่ำเรียนอะไรต่อมิอะไรมากขึ้นก็ได้รู้ว่าไม่ได้เกี่ยวกับราหู เพราะเทพอสูรที่มีชื่อว่าราหูนั้นไม่ได้อยู่ในจักรราศี แต่เป็นอีกเรื่องอีกราวหนึ่งต่างหาก เพียงแต่ชื่อมาพ้องกันกับดาวพระราหู ซึ่งใช้ในการพยากรณ์ทางโหราศาสตร์
การที่เกิดอุปราคาก็เพราะว่าไม่ดวงจันทร์หรือโลก ได้ไปขวางแสงของพระอาทิตย์ หรืออีกนัยหนึ่งโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกันทั้งพระอาทิตย์ โลก พระจันทร์
ถ้ายามที่โคจรมาอยู่ในแนวเดียวกันนั้น โลกอยู่ระหว่างกลาง เงาของโลกก็จะไปบังดวงจันทร์ ก็จะเกิดเป็นจันทรุปราคา แต่ถ้าดวงจันทร์อยู่ระหว่างกลาง ดวงจันทร์ก็จะบังแสงจากดวงอาทิตย์ ก็จะเกิดเป็นสุริยุปราคา
จะเป็นอุปราคาเต็มดวงหรือไม่เต็มดวงก็ขึ้นอยู่กับวิถีการโคจรว่าอยู่ในแนวเส้นตรงที่ตรงดิ่งกันหรือว่าเบี่ยงเบนออกไปมากและน้อย และจะเห็นในพื้นที่ใดของโลกก็ขึ้นอยู่กับว่าพื้นที่นั้นอยู่ในแนวที่จะเห็นดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ ณ เวลานั้นๆ หรือไม่
เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเสมอๆ เพราะในแต่ละปีนั้นดวงจันทร์โคจรรอบโลก และโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ย่อมมีจังหวะจะโคนที่วิถีโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกันหลายครั้ง บ้างก็โลกอยู่กลาง บ้างก็ดวงจันทร์อยู่กลาง จึงเกิดเป็นอุปราคาขึ้น
กล่าวโดยรวม อุปราคาทั้งปวงล้วนเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และโลก โคจรตามวิถีโคจรอันเป็นไปตามธรรมชาติ หาได้มีสิ่งใดหรือผู้ใดบันดาลให้เป็นไปแต่ประการใดไม่ และมิได้ส่งผลใดๆ ต่อการกระทำของคน
เพราะคนเราจะทำการใดย่อมขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดการกระทำนั้น โดยรวมกล่าวได้ว่ากิเลสนั่นแล้วคือเหตุปัจจัยของการกระทำต่างๆ ของคน และเมื่อทำกรรมอันใดลงไปแล้วก็ย่อมมีวิบากกรรมเกิดขึ้นเสมอ นี่ก็เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่ไม่ผันแปรเป็นอย่างอื่นตามความต้องการของใคร
ในวันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2553 ที่เกิดสุริยุปราคานั้น ไม่เกี่ยวกับพระราหูหรือดาวราหู เพราะในวันนั้นดวงอาทิตย์โคจรอยู่ที่ราศีมังกร ที่ระยะ 1 องศา 10 ฟิลิปดา ในขณะที่ดาวราหูโคจรอยู่ที่ราศีธนู ระยะ 26 องศา 10 ฟิลิปดา ถ้าหากวัดเป็นระยะทางก็ไกลกันอักโข จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกันดังที่มีผู้ตั้งคำถามแต่ประการใด
คือไม่ได้เกี่ยวข้องในแง่ที่ราหูเป็นเทพอสูรอมพระอาทิตย์ หรือในแง่ดาวเดือนในจักรราศีที่พระราหูทับพระอาทิตย์แต่ประการใดเลย
ในวันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2553 ในช่วงที่พระอาทิตย์โคจรอยู่ในราศีมังกร ที่ระยะ 1 องศา 10 ฟิลิปดานั้น ดวงจันทร์ก็โคจรรอบโลกอยู่ และ ณ เวลาประมาณ 14 นาฬิกานั้น ดวงจันทร์ก็โคจรเข้าสู่ราศีมังกร
โคจรเคลื่อนคล้อยไปตามจักรราศีตั้งแต่ 0 องศาเริ่มไป 1 ฟิลิปดา แล้วโคจรเรื่อยไปจนถึง 1 องศาเศษๆ วิถีโคจรของดวงจันทร์ซึ่งกำลังโคจรรอบโลกอยู่นั้นก็ไปขวางทางแสงจากพระอาทิตย์เข้าพอดี
จึงทำให้แนวที่ดวงจันทร์ขวางดวงอาทิตย์นั้นเกิดเงามืดขึ้น นั่นคือเมื่อมองจากพื้นโลกไปยังดวงอาทิตย์ก็จะเห็นเงามืด นั่นแหละเป็นดวงจันทร์ที่อยู่ในแนวเดียวกันคั่นกลางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ จึงขวางทางเดินของแสง แล้วทำให้เห็นเงามืดขึ้น
ปรากฏการณ์ธรรมชาติแบบนี้ ในทางดาราศาสตร์เฉพาะส่วนที่นำมาใช้กับการพยากรณ์ในทางโหราศาสตร์จะเรียกว่าจันทร์ดับ เพราะมีหลักวิชาการคำนวณว่าเมื่อวันเวลาใดก็ตามที่ดวงจันทร์โคจรเข้าไปอยู่ในวิถีหรือแนวเดียวกันกับดวงอาทิตย์ ในระยะที่ห่างกันไม่เกิน 1 องศาแล้ว ถือว่าวันเวลานั้นเป็นวันเวลาพระจันทร์ดับ
ผลคำนวณทางดาราศาสตร์ที่ถือเอาอาทิตย์อุทัย ที่อำเภอพิบูลย์มังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ตามแบบฉบับของนายทองเจือ อ่างแก้ว คำนวณได้ว่าเวลาที่จันทร์ดับนั้นคือเวลา 13.48 นาฬิกา
เพราะเหตุที่ดวงจันทร์โคจรเร็วกว่าพระเคราะห์อื่นๆ ในวันที่ 15 มกราคม ศกนี้ ดวงจันทร์จึงโคจรผ่านวิถีดาวหลายดวง
นั่นคือโคจรผ่านพระราหูในเวลา 0.04 นาฬิกา ผ่านพระศุกร์เมื่อเวลา 04.25 นาฬิกา เริ่มเข้าแนวรัศมีของพระอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 8.31 นาฬิกา และดับสนิทในเวลา 13.48 นาฬิกา
แต่เพราะพื้นที่อันเป็นแนวเดียวกันนั้นไปใกล้เคียงเอาที่จังหวัดภูเก็ตและจังหวัดภูเก็ตเป็นพื้นที่ที่เห็นดวงอาทิตย์ไม่พร้อมกับอำเภอพิบูลย์มังสาหาร เมื่อคำนวณเป็นเวลาปัจจุบันจึงต่างกันหลายนาที
แล้วถามว่าการมีอุปราคาและการที่พระจันทร์โคจรทับดาวต่างๆ หลายดวงในวันเดียวกันเช่นนี้ ได้ส่งผลอะไรกับโลกมนุษย์ของเราบ้าง?
ดวงจันทร์นั้นโคจรอยู่ใกล้โลกมากที่สุด แรงดึงดูดของโลกกับดวงจันทร์มีผลกระทบต่อน้ำ ยามใดที่ดวงจันทร์โคจรใกล้โลกตรงกับพื้นที่ที่เป็นแหล่งน้ำใดๆ ไม่ว่าทะเลหรือมหาสมุทร ก็จะส่งผลให้น้ำไหลหลั่งมารวมกัน ทำให้เกิดสภาพน้ำขึ้น นี่เป็นกฎธรรมชาติ
ทว่ามนุษย์เรานี้ก็มีน้ำในตัวเป็นส่วนมาก ดังนั้นการโคจรของดวงจันทร์จึงส่งอิทธิพลกับน้ำในตัวมนุษย์ด้วย
ดังเช่น การมีระดูหรือประจำเดือนของสตรีนั้น หากรู้เวลากำเนิดวางลัคนาได้แม่นยำแล้ว นักคำนวณผู้ปรีชาจริงก็จะสามารถคำนวณวันเวลามีประจำเดือนของสตรีนั้นเพื่อคำนวณการตั้งครรภ์ได้ และนี่คือรากฐานของวิชาการให้ฤกษ์เรียงหมอน
นอกจากดวงจันทร์มีอิทธิพลต่อน้ำในร่างกายมนุษย์แล้ว ยังมีอิทธิพลต่ออารมณ์ความรู้สึกและความคิดจิตใจของมนุษย์ด้วย
พึงสังเกตว่าพิธีกรรมสำคัญหรือการแสดงพระธรรมสำคัญๆ ในพระพุทธศาสนานั้น พระตถาคตเจ้าผู้ทรงเป็นสัพพัญญูและทรงรู้แจ้งโลกได้ถือเอาวันพระจันทร์เพ็ญเป็นวันทำพิธีกรรมหรือแสดงพระธรรมสำคัญๆ ทั้งสิ้น
เช่น ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตรเป็นปฐมเทศนาในวันเพ็ญเดือน 8 ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ในวันเพ็ญเดือน 3 ทรงแสดงมหาสติปัฏฐานในวันเพ็ญเดือน 12 เป็นต้น
ปรากฏการณ์ธรรมชาติดังที่แสดงมานี้ความจริงไม่ใช่เรื่องลี้ลับหรือมหัศจรรย์อันใด เพราะส่องกล้องดูด้วยตาก็เห็นได้ บางครั้งไม่ต้องส่องกล้องก็มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หรือผู้มีปัญญาวิชาคุณก็รู้ได้ด้วยการคำนวณ ดังเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณอุปราคาล่วงหน้าที่อำเภอหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อันลือเลื่องในครั้งกระโน้น
แต่ก็มีคนบางกลุ่มบางพวกลุ่มหลงงมงาย ถือเอาการโคจรของดวงดาวว่ามีผลมีอิทธิพลต่อบ้านเมืองและมนุษย์ บางคนก็ถึงกับวางแผนป่วนบ้านชิงเมืองกันในวันที่ 15 มกราคม 2553 ตามคำแนะนำของพวกหมอดู ซึ่งในวันนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่มีความหมายใดๆ เลย และไม่มีคุณค่าในทางความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย
แต่ความจริงที่เห็นนั้นลองมองดีๆ เถิด ก็จะเห็นว่าอุปราคานั้นได้แสดงธรรมให้เห็นอย่างแจ้งชัด ดังที่พระตถาคตเจ้าเคยตรัสไว้ว่า พระอาทิตย์และพระจันทร์อันมีฤทธิ์ ย่อมเศร้าหมองได้ด้วยเมฆหมอกฉันใด ผู้มีอำนาจก็อาจเศร้าหมองได้ด้วยผู้คนแวดล้อมฉันนั้น.