ASTVผู้จัดการรายวัน-ขสมก.เปิดศักราชเข็นประมูลเอ็นจีวี4,000 คัน อีกรอบ คาดในเม.ย.-พ.ค. ขณะที่กรรมการทีโออาร์และราคากลางปรับเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกผู้พิการ,เพิ่มวงเงินประกันภัย,ลดค่าลงทุนอู่จอดรถ ชี้ไม่ต้องเสนอครม.พิจารณาแล้ว “ผอ.ขสมก.”ระบุโครงการช้ากระทบแผนฟื้นฟูทำให้ภาระหนี้เพิ่ม ขณะที่บขส.แซงหน้าซื้อรถ 30 จำนวน20 คัน กว่า 100 ล้านบาทแทนรถเก่าที่ปลดระวาง
นายโอภาส เพชรมุณี ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการพิจารณารายละเอียดโครงการ จัดหารถโดยสารปรับอากาศที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง (CNG) จำนวน 4,000 คัน วงเงิน 63,000 ล้านบาท ที่มีนายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน จะดำเนินงานเสร็จสิ้นในปลายเดือนม.ค.นี้ โดยขณะนี้คณะอนุกรรมการ 2 ชุด คือคณะอนุกรรมการพิจารณาร่างเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) และคณะอนุกรรมการพิจารณาราคากลางได้สรุปเรื่องแล้ว และคาดว่าจะสามารถเปิดประกวดราคาได้ประมาณเดือนเม.ย.-พ.ค. 2553
โดยเบื้องต้นจะต้องปรับรายละเอียดในบางประเด็นเพื่อความเหมาะสม เช่น เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการทั้ง 4,000 คัน , เพิ่มวงเงินประกันภัยจากแผนเดิม 30 บาทต่อคันต่อวัน นื่องจากคณะอนุกรรมการพิจารณาราคากลางเห็นว่าเป็นวงเงินประกันที่ต่ำเกินไป, รวมถึงการลงทุนอู่จอดรถที่มีมูลค่าลดลงจากแผนเดิมที่กำหนดไว้ 2,000-3,000 ล้านต่อแห่ง เหลือ 1,000 ล้านบาทต่อแห่ง เพราะใช้ที่ดินของหน่วยงานราชการ
ทั้งนี้ แม้มูลค่าโครงการจะปรับเปลี่ยนจากเดิมที่คณะรัฐมนตรี ได้พิจารณาไว้แต่คงไม่ต้องเสนอขอความเห็นชอบจากที่ประชุมครม.อีก เนื่องจากมูลค่าโครงการที่เสนอครม.ที่ผ่านมานั้นเป็นกรอบเบื้องต้น ที่คำนวณตามงานที่จะเกิดขึ้น สามารถเปลี่ยนแปลงวงเงินได้ตามความเหมาะสม โดยหลังจากคณะกรรมการฯ สรุปรายละเอียดทั้งหมดแล้ว ขสมก.จะกำหนดขั้นตอนและกรอบเวลาการทำงาน เพื่อรายงานให้ ครม. รับทราบ
“หากการดำเนินงานจากนี้เป็นไปตามกรอบเวลาที่กำหนด คาดว่าจะเสนอครม. ได้ปลายเดือนก.พ. และเปิดประมูลได้ช่วงเม.ย.-พ.ค.นี้ ซึ่งตามขั้นตอนจะใช้เวลาประมูลประมาณ 2 เดือนจากนั้น จะเริ่มทยอยรับรถล็อตแรกจำนวน 1,500 คันในอีก 15 เดือน”นายโอภาสกล่าว
สำหรับความคืบหน้าแผนฟื้นฟู ขสมก.นั้นนายโอภาสกล่าวว่า ครม.ได้มีมติเห็นชอบแผนตามที่ ขสมก.เสนอแล้ว ตั้งแต่เดือนก.ย. 2552 ประกอบด้วย การขอพักการชำระหนี้ (เงินต้น) จำนวน 67,000 ล้านบาท ซึ่งขสมก.กู้เงินมาจ่ายดอกเบี้ยเดือนละ 2,000 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน ทั้งนี้มีเงื่อนไขว่า การดำเนินโครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง (CNG)ได้เป็นรูปธรรม ขสมก.จะมีรายได้และกำไรมาทยอยจ่ายเงินต้น
ซึ่งหากโครงการจัดหารถ 4,000 คัน ยิ่งล่าช้าขสมก.จะต้องแบกรับภาระหนี้มากขึ้น โดยปัจจุบันขสมก.ขาดทุนปีละ 6,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ขสมก.ยังต้องให้พนักงานเกษียณก่อนกำหนด หรือ เออร์รี่รีไทน์ รวม 3,900 คน แบ่งเป็นล็อตแรก 1,600 คน เงินชดเชยประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยตามแผนจะเหลือพนักงานประมาณ 9,900 คน ก็จากเดิม 17,000 คน
บขส. แซงหน้าดอดซื้อรถ 30 แทนรถเก่า
นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงการจัดหารถปรับอากาศเอ็นจีวี จำนวน 800 คัน ของบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ว่า ก่อนหน้านี้ ครม. ได้อนุมัติในหลักการแล้วโดยให้กระทรวงคมนาคม และบขส.ทบทวนรายละเอียดอีกครั้งโดยคาดว่าจะดำเนินการจัดหาวิธีเช่าซื้อ
นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวว่า ได้ส่งรายละเอียดโครงการจัดหารถเอ็นจีวี 800คัน วงเงิน 5,600 ล้านบาท หรือ คันละ 7 ล้านบาท ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) พิจารณาแล้ว พร้อมกันนี้ บขส.ได้ดำเนินการจัดหา (ซื้อ) รถโดยสารไม่ประจำทาง หรือรถโดยสารสาร30 จำนวน 20 คัน เพื่อนำมาทดแทนรถโดยสารที่วิ่งประจำทางของบขส.ที่ต้องปลดระวางเรียบร้อยแล้ว วงเงินงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท
นายโอภาส เพชรมุณี ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการพิจารณารายละเอียดโครงการ จัดหารถโดยสารปรับอากาศที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง (CNG) จำนวน 4,000 คัน วงเงิน 63,000 ล้านบาท ที่มีนายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน จะดำเนินงานเสร็จสิ้นในปลายเดือนม.ค.นี้ โดยขณะนี้คณะอนุกรรมการ 2 ชุด คือคณะอนุกรรมการพิจารณาร่างเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) และคณะอนุกรรมการพิจารณาราคากลางได้สรุปเรื่องแล้ว และคาดว่าจะสามารถเปิดประกวดราคาได้ประมาณเดือนเม.ย.-พ.ค. 2553
โดยเบื้องต้นจะต้องปรับรายละเอียดในบางประเด็นเพื่อความเหมาะสม เช่น เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการทั้ง 4,000 คัน , เพิ่มวงเงินประกันภัยจากแผนเดิม 30 บาทต่อคันต่อวัน นื่องจากคณะอนุกรรมการพิจารณาราคากลางเห็นว่าเป็นวงเงินประกันที่ต่ำเกินไป, รวมถึงการลงทุนอู่จอดรถที่มีมูลค่าลดลงจากแผนเดิมที่กำหนดไว้ 2,000-3,000 ล้านต่อแห่ง เหลือ 1,000 ล้านบาทต่อแห่ง เพราะใช้ที่ดินของหน่วยงานราชการ
ทั้งนี้ แม้มูลค่าโครงการจะปรับเปลี่ยนจากเดิมที่คณะรัฐมนตรี ได้พิจารณาไว้แต่คงไม่ต้องเสนอขอความเห็นชอบจากที่ประชุมครม.อีก เนื่องจากมูลค่าโครงการที่เสนอครม.ที่ผ่านมานั้นเป็นกรอบเบื้องต้น ที่คำนวณตามงานที่จะเกิดขึ้น สามารถเปลี่ยนแปลงวงเงินได้ตามความเหมาะสม โดยหลังจากคณะกรรมการฯ สรุปรายละเอียดทั้งหมดแล้ว ขสมก.จะกำหนดขั้นตอนและกรอบเวลาการทำงาน เพื่อรายงานให้ ครม. รับทราบ
“หากการดำเนินงานจากนี้เป็นไปตามกรอบเวลาที่กำหนด คาดว่าจะเสนอครม. ได้ปลายเดือนก.พ. และเปิดประมูลได้ช่วงเม.ย.-พ.ค.นี้ ซึ่งตามขั้นตอนจะใช้เวลาประมูลประมาณ 2 เดือนจากนั้น จะเริ่มทยอยรับรถล็อตแรกจำนวน 1,500 คันในอีก 15 เดือน”นายโอภาสกล่าว
สำหรับความคืบหน้าแผนฟื้นฟู ขสมก.นั้นนายโอภาสกล่าวว่า ครม.ได้มีมติเห็นชอบแผนตามที่ ขสมก.เสนอแล้ว ตั้งแต่เดือนก.ย. 2552 ประกอบด้วย การขอพักการชำระหนี้ (เงินต้น) จำนวน 67,000 ล้านบาท ซึ่งขสมก.กู้เงินมาจ่ายดอกเบี้ยเดือนละ 2,000 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน ทั้งนี้มีเงื่อนไขว่า การดำเนินโครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง (CNG)ได้เป็นรูปธรรม ขสมก.จะมีรายได้และกำไรมาทยอยจ่ายเงินต้น
ซึ่งหากโครงการจัดหารถ 4,000 คัน ยิ่งล่าช้าขสมก.จะต้องแบกรับภาระหนี้มากขึ้น โดยปัจจุบันขสมก.ขาดทุนปีละ 6,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ขสมก.ยังต้องให้พนักงานเกษียณก่อนกำหนด หรือ เออร์รี่รีไทน์ รวม 3,900 คน แบ่งเป็นล็อตแรก 1,600 คน เงินชดเชยประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยตามแผนจะเหลือพนักงานประมาณ 9,900 คน ก็จากเดิม 17,000 คน
บขส. แซงหน้าดอดซื้อรถ 30 แทนรถเก่า
นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงการจัดหารถปรับอากาศเอ็นจีวี จำนวน 800 คัน ของบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ว่า ก่อนหน้านี้ ครม. ได้อนุมัติในหลักการแล้วโดยให้กระทรวงคมนาคม และบขส.ทบทวนรายละเอียดอีกครั้งโดยคาดว่าจะดำเนินการจัดหาวิธีเช่าซื้อ
นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวว่า ได้ส่งรายละเอียดโครงการจัดหารถเอ็นจีวี 800คัน วงเงิน 5,600 ล้านบาท หรือ คันละ 7 ล้านบาท ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) พิจารณาแล้ว พร้อมกันนี้ บขส.ได้ดำเนินการจัดหา (ซื้อ) รถโดยสารไม่ประจำทาง หรือรถโดยสารสาร30 จำนวน 20 คัน เพื่อนำมาทดแทนรถโดยสารที่วิ่งประจำทางของบขส.ที่ต้องปลดระวางเรียบร้อยแล้ว วงเงินงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท