สังคมเราเป็นอะไรไปแล้ว ทำไมความชอบธรรมช่างมีได้ยากเหลือเกิน! ทำไมคนจอมปลอมช่างเยอะเหลือเกิน! . . .
การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่แกนนำได้จัดให้มีการชุมนุมที่เขายายเที่ยงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทั้งที่แดดแรง หญ้าแห้ง ลมแรง แต่ไฟบนเขายายเที่ยงกลับจุดไม่ติด
เหตุก็เพราะหมดความชอบธรรมนั่นเอง
การออกมาแถลงข่าวเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาของนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา เกี่ยวกับคดีบุกรุกเขายายเที่ยงของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และต่อมาสำนักงานอัยการสูงสุดได้แถลงอย่างเป็นทางการอีกครั้งในฐานะผู้รับผิดชอบฟ้องร้องคดีได้ทำให้ประเด็นการเคลื่อนไหวของแกนนำคนเสื้อแดงในเรื่องการบุกรุกป่าสงวนก็ดี หรือเรื่องการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกันที่เรียกกันว่าสองมาตรฐานก็ดีหมดความชอบธรรมไปในทันที
เป็นยิ่งกว่าฝนห่าใหญ่ที่ซัดสาดเข้าใส่ผู้ชุมนุมเสียอีก
พี่น้องคนเสื้อแดงที่เป็นผู้มีเหตุมีผลโปรดไตร่ตรองให้ดีอีกครั้งว่า ในช่วงหลังๆ ที่ผ่านมา ทำไมการชุมนุมของพวกคุณจึงมีจำนวนคนเข้าร่วมลดน้อยลงอย่างน่าใจหาย ไม่ว่าจะที่ใดก็ตามโดยที่ทางการก็มิได้มีการพยายามสร้างเงื่อนไขขัดขวางแต่ประการใดเลย
เหตุก็เพราะแกนนำของพวกคุณไม่สามารถตอบคำถามสังคมในหลายๆ ประเด็น ที่สะท้อนถึงความชอบธรรมในการชุมนุม เช่น
การล้มอำมาตย์จะหมายถึงการล้มล้างสถาบันฯ ใช่หรือไม่ และทำไมจึงต้องล้มด้วย
ทำไมการเคลื่อนไหวของแกนนำพวกคุณจึงไปสอดคล้อง สนับสนุน ความเคลื่อนไหวกดดันประเทศไทย โดยคนต่างชาติ เช่น ฮุนเซน
ทำไมแกนนำพวกคุณจึงร่ำรวยมั่งคั่งขึ้นทุกวัน และโกหกเก่งมากขึ้น ไม่ต้องดูอะไรมากวัดจากจำนวนผู้เข้าที่คาดว่าจะเข้าร่วมชุมนุมทั้งก่อนหน้าและระหว่างการชุมนุมก็ได้ หากซื่อสัตย์กับตัวเองก็จะพบว่าแตกต่างกันจากที่แกนนำพวกคุณอ้างมากกว่า 10 เท่าทุกครั้งไป
พี่น้องเอย คนที่โกหกได้หน้าตาเฉยจักไม่ทำบาปนั้นไม่มีหรอก
และที่สำคัญที่สุดก็คือ หากคุณเป็นคนหนึ่งไม่ยอมรับเรื่องสองมาตรฐาน ทำไมแกนนำพวกคุณจึงไม่ยอมพูดความจริงที่ไม่มีใครในประเทศไทยปฏิเสธได้ว่า ทักษิณ ชินวัตรได้พิสูจน์ตนเองโดยกระบวนการยุติธรรมแล้วว่ามีความผิดต้องติดคุก 2 ปี ซึ่งเป็นคำพิพากษาของศาลเดียวกับที่ นายรักเกียรติ สุขธนะ กำนันเป๊าะ นายวัฒนา อัศวเหม และใครๆ อีกหลายๆ คนได้เข้ามาพิสูจน์ตนเองกับกติกาของสังคมมาแล้วเช่นกัน
หากทักษิณไม่ได้กระทำผิดจริง ทักษิณจะหาอะไรมาพิสูจน์ความถูกต้องของตัวเองได้ดีเท่านี้อีกแล้วนอกจากกระบวนการยุติธรรมที่คนอื่นๆ ในประเทศนี้เขาก็ยอมรับกัน เพราะหากผ่านได้ก็เท่ากับว่าสังคมยอมรับว่าทักษิณบริสุทธิ์
หากทักษิณไม่ได้กระทำผิด ทักษิณจะหนีไม่มาฟังคำพิพากษาหรือ มีแต่คนที่รู้ตัวเองว่าผิดหรือมีสองมาตรฐานไม่ยอมรับกติกาที่คนทั่วไปในสังคมเท่านั้นที่จะหนีไม่มาฟังคำพิพากษาของศาล
ไม่มีใครในโลกนี้สามารถเปลี่ยนความจริงนี้ได้ ไม่มีจริงๆ แม้แต่นายรักเกียรติ สุขธนะยังเลือกยอมรับในที่สุด เพราะหากไม่ยอมรับในวันนั้นก็ไม่มีวันนี้ของพระรักเกียรติอีกต่อไป
ครั้งหน้าลองถามแกนนำพวกคุณในคำถามเหล่านี้บ้างก็ดีนะ เพราะหากไร้ซึ่งความชอบธรรมก็จะไร้ซึ่งแนวร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วพวกคุณคนเสื้อแดงจะหาหนทางบรรลุข้อเรียกร้องได้อย่างไร
ในขณะเดียวกัน การนิ่งไม่ตอบรับหรือปฏิเสธต่อข้อถามเกี่ยวกับการคืนที่ดินเขายายเที่ยงของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ได้ทำให้ความชอบธรรมในการเป็นหนึ่งในคณะองคมนตรีต้องมัวหมองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้อัยการจะไม่ดำเนินคดีด้วยเหตุผลของการไม่มีเจตนาบุกรุกก็ตาม แต่อย่าลืมว่าการไม่แสดงความบริสุทธิ์ใจและประวิงเวลาโดยถือครองในสิ่งที่ตนเองมิอาจถือเป็นกรรมสิทธิ์ได้ย่อมไม่เป็นการดีกับตนเองและตำแหน่งที่ตนเองดำรงอยู่
ความชอบธรรมจึงอยู่เหนือกว่ากฎหมาย เพราะกฎหมายเป็นเพียงมาตรฐานขั้นต่ำที่วางไว้ให้คนในสังคมประพฤติปฏิบัติเท่านั้น แต่มิได้หมายความว่าทำตามกฎหมายแล้วจะมีความชอบธรรมเสมอไป
อย่าพยายามให้เหลือเชื้อไฟไว้ให้จุดอีกเลย
เฉกเช่นเดียวกับนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่ได้ยับยั้งการมอมเมาสังคมโดยยกเลิกหวยออนไลน์ 2 ตัว 3 ตัว แม้โดยกฎหมายจะสามารถทำได้และในเชิงเศรษฐกิจในฐานะผู้นำรัฐบาลก็มีเหตุผลในด้านรายได้สนับสนุน แต่นายกฯ อภิสิทธิ์กลับเลือกการประพฤติดีประพฤติชอบตามครรลองของศีลธรรมไม่ข้องแวะกับอบายมุข ที่เป็นความชอบธรรมมากกว่าเสียอีก
ดังนั้นการที่นายกฯ อภิสิทธิ์จึงมีความชอบธรรมที่ให้รัฐมนตรีที่พัวพันกับการทุจริตในกระทรวงสาธารณสุขลาออกเมื่อผลการสอบสวนปรากฏ แม้จะผิดกฎหมายหรือไม่ยังไม่มีใครชี้ได้ แต่การลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบเป็นมาตรฐานที่สังคมเห็นด้วยว่า เป็น “ความชอบธรรม” ที่พึงปฏิบัติ ดังนั้นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติที่มีความชอบธรรมจึงควรได้รับการยกย่องสรรเสริญจากสังคมไม่ว่าจะเป็นนายวิทยา แก้วภราดัย หรือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ในทางตรงกันข้าม การกลับมติของ ป.ป.ช.ในเรื่องที่ได้มีการชี้มูลความผิดในกรณี 7 ต.ค. 51 ไปแล้วของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณและ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้วที่ให้ปลดออกจากราชการโดย ก.ตร.จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายสำนึกแห่งความชอบธรรมเป็นอย่างยิ่ง
การที่อ้างว่าบุคคลทั้ง 2 ไม่ได้กระทำผิดในฐานทุจริตต่อหน้าที่ ดังนั้น ป.ป.ช.จึงไม่มีอำนาจมาชี้ว่าผิดหรือไม่ และอาศัยกฎหมายของตำรวจมาเป็นข้ออ้างในการกลับมติลงโทษให้กลับเข้ารับราชการใหม่ได้เนื่องจากอุทธรณ์ที่ยื่นมาให้พิจารณาฟังขึ้น
ตรรกะข้างต้นฟังดูแล้วคล้อยตามได้ไม่ยาก แต่หากพิจารณาดูให้รอบคอบก็จะทราบได้โดยแจ้งชัดว่า การกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐในความผิดที่อยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช.นั้นมิได้มีเฉพาะความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่แต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ยังมีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการอีกด้วย (ม.88 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริตพ.ศ. 2542) นอกจากนี้ใน ม. 96 ของพ.ร.บ.ดังกล่าวยังได้ระบุว่า การอุทธรณ์ทำได้เฉพาะอุทธรณ์ดุลพินิจในการสั่งลงโทษเท่านั้นว่าผู้มีอำนาจสั่งลงโทษหนักหรือเบาเกินไป แต่มิอาจหมายความว่าสามารถพิจารณาสิ่งที่ ป.ป.ช.ชี้ความผิดไปแล้วได้ไม่
ดังนั้นการที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณที่เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ อภิสิทธิ์ในฐานะประธาน ก.ตร.จะมากล่าวว่าตนเองปฏิบัติงานโดยชอบเพราะเป็นมติของที่ประชุม ตนไม่รู้เรื่องกฎหมายดังนั้นจึงต้องฟัง และหากนายกฯ อภิสิทธิ์ไม่ทักท้วงจะเป็นความชอบธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ได้หรือไม่ เป็นความท้าทายต่อสำนึกของความชอบธรรมที่สังคมมีต่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
เรื่องนี้วิญญูชนคงพิจารณาได้เพราะมิใช่เป็นเรื่องข้อกฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่มีข้อเท็จจริงปรากฏให้เห็นเป็นประจักษ์อยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะโดยคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ และหลักการและเหตุผลของการจัดตั้ง ป.ป.ช.ตามกฎหมาย เพราะสิ่งที่ ป.ป.ป.ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของ ป.ป.ช.ล้มเหลวก็คือการถูกพลิกมติที่ชี้ว่าผิดเป็นถูก เนื่องจาก ป.ป.ป.ไม่มีอำนาจลงโทษทางวินัย แต่ต้องให้เจ้าสังกัดเป็นผู้สั่งลงโทษ ดังนั้นหากผู้มีอำนาจลงโทษสั่งให้สอบสวนใหม่และพลิกกลับในสิ่งที่ ป.ป.ป.ชี้ว่าผิดให้เป็นถูกได้ ความสำคัญในการปราบปรามการประพฤติมิชอบในวงราชการที่มิใช่การทุจริตแต่เพียงอย่างเดียวก็จะล่มสลายไปโดยง่าย
หากนายสุเทพ เทือกสุบรรณบอกไม่มีความรู้ก็คงไม่มีความชอบธรรมที่จะมาปฏิบัติหน้าที่กำกับดูแล ก.ตร. หรือหากรู้แต่ไม่สนใจปล่อยให้เป็นเหมือนอดีตที่ ป.ป.ป.ประสบมาก็ยิ่งจะไร้ความชอบธรรมเสียยิ่งกว่ากรณีแรก
ความชอบธรรมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งในสังคมปัจจุบัน และสังคมเราจะต้องไม่ยินยอมให้คนจอมปลอม คนปลิ้นปล้อน มาลอยหน้าลอยตาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวได้ง่ายๆ อีกต่อไป
การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่แกนนำได้จัดให้มีการชุมนุมที่เขายายเที่ยงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทั้งที่แดดแรง หญ้าแห้ง ลมแรง แต่ไฟบนเขายายเที่ยงกลับจุดไม่ติด
เหตุก็เพราะหมดความชอบธรรมนั่นเอง
การออกมาแถลงข่าวเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาของนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา เกี่ยวกับคดีบุกรุกเขายายเที่ยงของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และต่อมาสำนักงานอัยการสูงสุดได้แถลงอย่างเป็นทางการอีกครั้งในฐานะผู้รับผิดชอบฟ้องร้องคดีได้ทำให้ประเด็นการเคลื่อนไหวของแกนนำคนเสื้อแดงในเรื่องการบุกรุกป่าสงวนก็ดี หรือเรื่องการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกันที่เรียกกันว่าสองมาตรฐานก็ดีหมดความชอบธรรมไปในทันที
เป็นยิ่งกว่าฝนห่าใหญ่ที่ซัดสาดเข้าใส่ผู้ชุมนุมเสียอีก
พี่น้องคนเสื้อแดงที่เป็นผู้มีเหตุมีผลโปรดไตร่ตรองให้ดีอีกครั้งว่า ในช่วงหลังๆ ที่ผ่านมา ทำไมการชุมนุมของพวกคุณจึงมีจำนวนคนเข้าร่วมลดน้อยลงอย่างน่าใจหาย ไม่ว่าจะที่ใดก็ตามโดยที่ทางการก็มิได้มีการพยายามสร้างเงื่อนไขขัดขวางแต่ประการใดเลย
เหตุก็เพราะแกนนำของพวกคุณไม่สามารถตอบคำถามสังคมในหลายๆ ประเด็น ที่สะท้อนถึงความชอบธรรมในการชุมนุม เช่น
การล้มอำมาตย์จะหมายถึงการล้มล้างสถาบันฯ ใช่หรือไม่ และทำไมจึงต้องล้มด้วย
ทำไมการเคลื่อนไหวของแกนนำพวกคุณจึงไปสอดคล้อง สนับสนุน ความเคลื่อนไหวกดดันประเทศไทย โดยคนต่างชาติ เช่น ฮุนเซน
ทำไมแกนนำพวกคุณจึงร่ำรวยมั่งคั่งขึ้นทุกวัน และโกหกเก่งมากขึ้น ไม่ต้องดูอะไรมากวัดจากจำนวนผู้เข้าที่คาดว่าจะเข้าร่วมชุมนุมทั้งก่อนหน้าและระหว่างการชุมนุมก็ได้ หากซื่อสัตย์กับตัวเองก็จะพบว่าแตกต่างกันจากที่แกนนำพวกคุณอ้างมากกว่า 10 เท่าทุกครั้งไป
พี่น้องเอย คนที่โกหกได้หน้าตาเฉยจักไม่ทำบาปนั้นไม่มีหรอก
และที่สำคัญที่สุดก็คือ หากคุณเป็นคนหนึ่งไม่ยอมรับเรื่องสองมาตรฐาน ทำไมแกนนำพวกคุณจึงไม่ยอมพูดความจริงที่ไม่มีใครในประเทศไทยปฏิเสธได้ว่า ทักษิณ ชินวัตรได้พิสูจน์ตนเองโดยกระบวนการยุติธรรมแล้วว่ามีความผิดต้องติดคุก 2 ปี ซึ่งเป็นคำพิพากษาของศาลเดียวกับที่ นายรักเกียรติ สุขธนะ กำนันเป๊าะ นายวัฒนา อัศวเหม และใครๆ อีกหลายๆ คนได้เข้ามาพิสูจน์ตนเองกับกติกาของสังคมมาแล้วเช่นกัน
หากทักษิณไม่ได้กระทำผิดจริง ทักษิณจะหาอะไรมาพิสูจน์ความถูกต้องของตัวเองได้ดีเท่านี้อีกแล้วนอกจากกระบวนการยุติธรรมที่คนอื่นๆ ในประเทศนี้เขาก็ยอมรับกัน เพราะหากผ่านได้ก็เท่ากับว่าสังคมยอมรับว่าทักษิณบริสุทธิ์
หากทักษิณไม่ได้กระทำผิด ทักษิณจะหนีไม่มาฟังคำพิพากษาหรือ มีแต่คนที่รู้ตัวเองว่าผิดหรือมีสองมาตรฐานไม่ยอมรับกติกาที่คนทั่วไปในสังคมเท่านั้นที่จะหนีไม่มาฟังคำพิพากษาของศาล
ไม่มีใครในโลกนี้สามารถเปลี่ยนความจริงนี้ได้ ไม่มีจริงๆ แม้แต่นายรักเกียรติ สุขธนะยังเลือกยอมรับในที่สุด เพราะหากไม่ยอมรับในวันนั้นก็ไม่มีวันนี้ของพระรักเกียรติอีกต่อไป
ครั้งหน้าลองถามแกนนำพวกคุณในคำถามเหล่านี้บ้างก็ดีนะ เพราะหากไร้ซึ่งความชอบธรรมก็จะไร้ซึ่งแนวร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วพวกคุณคนเสื้อแดงจะหาหนทางบรรลุข้อเรียกร้องได้อย่างไร
ในขณะเดียวกัน การนิ่งไม่ตอบรับหรือปฏิเสธต่อข้อถามเกี่ยวกับการคืนที่ดินเขายายเที่ยงของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ได้ทำให้ความชอบธรรมในการเป็นหนึ่งในคณะองคมนตรีต้องมัวหมองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้อัยการจะไม่ดำเนินคดีด้วยเหตุผลของการไม่มีเจตนาบุกรุกก็ตาม แต่อย่าลืมว่าการไม่แสดงความบริสุทธิ์ใจและประวิงเวลาโดยถือครองในสิ่งที่ตนเองมิอาจถือเป็นกรรมสิทธิ์ได้ย่อมไม่เป็นการดีกับตนเองและตำแหน่งที่ตนเองดำรงอยู่
ความชอบธรรมจึงอยู่เหนือกว่ากฎหมาย เพราะกฎหมายเป็นเพียงมาตรฐานขั้นต่ำที่วางไว้ให้คนในสังคมประพฤติปฏิบัติเท่านั้น แต่มิได้หมายความว่าทำตามกฎหมายแล้วจะมีความชอบธรรมเสมอไป
อย่าพยายามให้เหลือเชื้อไฟไว้ให้จุดอีกเลย
เฉกเช่นเดียวกับนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่ได้ยับยั้งการมอมเมาสังคมโดยยกเลิกหวยออนไลน์ 2 ตัว 3 ตัว แม้โดยกฎหมายจะสามารถทำได้และในเชิงเศรษฐกิจในฐานะผู้นำรัฐบาลก็มีเหตุผลในด้านรายได้สนับสนุน แต่นายกฯ อภิสิทธิ์กลับเลือกการประพฤติดีประพฤติชอบตามครรลองของศีลธรรมไม่ข้องแวะกับอบายมุข ที่เป็นความชอบธรรมมากกว่าเสียอีก
ดังนั้นการที่นายกฯ อภิสิทธิ์จึงมีความชอบธรรมที่ให้รัฐมนตรีที่พัวพันกับการทุจริตในกระทรวงสาธารณสุขลาออกเมื่อผลการสอบสวนปรากฏ แม้จะผิดกฎหมายหรือไม่ยังไม่มีใครชี้ได้ แต่การลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบเป็นมาตรฐานที่สังคมเห็นด้วยว่า เป็น “ความชอบธรรม” ที่พึงปฏิบัติ ดังนั้นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติที่มีความชอบธรรมจึงควรได้รับการยกย่องสรรเสริญจากสังคมไม่ว่าจะเป็นนายวิทยา แก้วภราดัย หรือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ในทางตรงกันข้าม การกลับมติของ ป.ป.ช.ในเรื่องที่ได้มีการชี้มูลความผิดในกรณี 7 ต.ค. 51 ไปแล้วของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณและ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้วที่ให้ปลดออกจากราชการโดย ก.ตร.จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายสำนึกแห่งความชอบธรรมเป็นอย่างยิ่ง
การที่อ้างว่าบุคคลทั้ง 2 ไม่ได้กระทำผิดในฐานทุจริตต่อหน้าที่ ดังนั้น ป.ป.ช.จึงไม่มีอำนาจมาชี้ว่าผิดหรือไม่ และอาศัยกฎหมายของตำรวจมาเป็นข้ออ้างในการกลับมติลงโทษให้กลับเข้ารับราชการใหม่ได้เนื่องจากอุทธรณ์ที่ยื่นมาให้พิจารณาฟังขึ้น
ตรรกะข้างต้นฟังดูแล้วคล้อยตามได้ไม่ยาก แต่หากพิจารณาดูให้รอบคอบก็จะทราบได้โดยแจ้งชัดว่า การกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐในความผิดที่อยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช.นั้นมิได้มีเฉพาะความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่แต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ยังมีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการอีกด้วย (ม.88 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริตพ.ศ. 2542) นอกจากนี้ใน ม. 96 ของพ.ร.บ.ดังกล่าวยังได้ระบุว่า การอุทธรณ์ทำได้เฉพาะอุทธรณ์ดุลพินิจในการสั่งลงโทษเท่านั้นว่าผู้มีอำนาจสั่งลงโทษหนักหรือเบาเกินไป แต่มิอาจหมายความว่าสามารถพิจารณาสิ่งที่ ป.ป.ช.ชี้ความผิดไปแล้วได้ไม่
ดังนั้นการที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณที่เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ อภิสิทธิ์ในฐานะประธาน ก.ตร.จะมากล่าวว่าตนเองปฏิบัติงานโดยชอบเพราะเป็นมติของที่ประชุม ตนไม่รู้เรื่องกฎหมายดังนั้นจึงต้องฟัง และหากนายกฯ อภิสิทธิ์ไม่ทักท้วงจะเป็นความชอบธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ได้หรือไม่ เป็นความท้าทายต่อสำนึกของความชอบธรรมที่สังคมมีต่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
เรื่องนี้วิญญูชนคงพิจารณาได้เพราะมิใช่เป็นเรื่องข้อกฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่มีข้อเท็จจริงปรากฏให้เห็นเป็นประจักษ์อยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะโดยคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ และหลักการและเหตุผลของการจัดตั้ง ป.ป.ช.ตามกฎหมาย เพราะสิ่งที่ ป.ป.ป.ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของ ป.ป.ช.ล้มเหลวก็คือการถูกพลิกมติที่ชี้ว่าผิดเป็นถูก เนื่องจาก ป.ป.ป.ไม่มีอำนาจลงโทษทางวินัย แต่ต้องให้เจ้าสังกัดเป็นผู้สั่งลงโทษ ดังนั้นหากผู้มีอำนาจลงโทษสั่งให้สอบสวนใหม่และพลิกกลับในสิ่งที่ ป.ป.ป.ชี้ว่าผิดให้เป็นถูกได้ ความสำคัญในการปราบปรามการประพฤติมิชอบในวงราชการที่มิใช่การทุจริตแต่เพียงอย่างเดียวก็จะล่มสลายไปโดยง่าย
หากนายสุเทพ เทือกสุบรรณบอกไม่มีความรู้ก็คงไม่มีความชอบธรรมที่จะมาปฏิบัติหน้าที่กำกับดูแล ก.ตร. หรือหากรู้แต่ไม่สนใจปล่อยให้เป็นเหมือนอดีตที่ ป.ป.ป.ประสบมาก็ยิ่งจะไร้ความชอบธรรมเสียยิ่งกว่ากรณีแรก
ความชอบธรรมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งในสังคมปัจจุบัน และสังคมเราจะต้องไม่ยินยอมให้คนจอมปลอม คนปลิ้นปล้อน มาลอยหน้าลอยตาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวได้ง่ายๆ อีกต่อไป