ASTVผู้จัดการรายวัน – กลุ่มไมเนอร์ กรุ๊ปยอมรับธุรกิจโรงแรมปี 52 วูบ 35% ส่วนธุรกิจอาหาร-รีเทลโตสวนกระแส ส่งผลรายได้ทั้งปีทรงตัวจากปี 51 เชื่อปีนี้ท่องเที่ยวฟื้น ลุยเปิดอีก 4 แห่ง ตั้งเป้า 3 ปี รับบริหารโรงแรม 50 แห่งทั่วโลก ด้านตลาดอสังหาฯไฮเอนด์ เริ่มฟื้นความต้องการเพิ่ม ขณะที่สินค้าในตลาดมีน้อย เชื่อ เซนต์ รีจีส มูลค่า 4,000 ล้านบาทปิดการขายในปี 53
นางปรารถนา มงคลกุล ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2552 ภาพรวมของธุรกิจท่องเที่ยวชะลอตัวลงมากตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดยอัตราการเข้าพักลดลง 20% ขณะที่ราคาลดลง 15% อย่างไรก็ตามประเทศไทยถือว่าได้รับผลกระทบ 2 ต่อ ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจโลกและความไม่สงบทางการเมือง ทำให้รายได้จากธุรกิจโรงแรมลดลงถึง 35% อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีธุรกิจอื่นมาช่วย โดยเฉพาะรายได้จากธุรกิจอาหารที่มีอัตราการเติบโตกว่า 5% ในขณะที่รายได้จากธุรกิจรีเทลที่เริ่มดำเนินการในช่วงครึ่งปีหลัง 52 มีรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทมีธุรกิจหลัก 4 ประเภท คือ 1.ธุรกิจอาหารสัดส่วนประมาณ 50%, ธุรกิจโรงแรมสัดส่วน 30-35%, ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 5-10% และธุรกิจรีเทล ที่เริ่มดำเนินการในไทยประมาณกลางปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ธุรกิจอสังหาฯในช่วงปลายปีจะชะลอตัวลง แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดระดับไฮเอนด์ โดยตรวจสอบได้จากมีลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมโครงการมากขึ้น โดยโครงการเซนต์ รีจีส โฮเท็ล แอนด์ เรสซิเด็นซ์ ข้างโรงแรมโฟร์ซีซั่น บนถนนราชดำริ โดยพัฒนาในรูปแบบผสมผสานประกอบด้วย โรงแรมหรู 227 ห้อง และคอนโดมิเนียมจำนวน 53 ยูนิต ประกอบด้วยห้องชุด 3-4 ห้อง จำนวน 45 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.86-2.2 แสนบาท/ตร.ม. สัญญาเช่านาน 30 ปี ส่วนห้องเพนท์เฮ้าส์มี 4 ห้อง ราคา 62-193 ล้านบาท มูลค่าในส่วนของคอนโดมิเนียมประมาณ 4,000 ล้านบาท
โดยปัจจุบันคอนโดฯมียอดขายรวม 15% มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งห้องเพนท์เฮาส์ขายไปหมดแล้ว สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ยังมีอยู่มาก ขณะที่จำนวนสินค้าในตลาดมีน้อยลง ทำให้เชื่อว่าในปี 2553 บริษัทจะสามารถปิดการขายห้องชุดได้ทั้งหมด โดยจะเปิดขายอย่างเป็นทางการพร้อมเปิดให้บริการในส่วนของโรงแรมได้ในเดือนตุลาคมปีนี้
นางปรารถนา กล่าวต่อว่า ในปีนี้ บริษัทเชื่อว่าธุรกิจโรงแรมจะปรับตัวดีขึ้น ตามภาพรวมของเศรษฐกิจโลก โดยคาดว่าจะปรับขึ้นประมาณ 10% จากปี 52 และอัตราการเข้าพักจะเพิ่มขึ้นกว่า 60% จากที่ปี 52 มีอัตราเข้าพักเพียง 53% เท่านั้น ส่วนธุรกิจอาหารจะมีอัตราการเติบโตตามผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศอยู่แล้ว ส่วนธุรกิจพัฒนาอสังหาฯเพื่อขายจะมีรายได้เข้ามาในปีนี้ หลังจากที่ปี 52 ไม่มีรายได้ และธุรกิจรีแทลในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้กว่า 2,000 ล้านบาท กล่าวโดยรวมบริษัทจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 10% จากปี 52
สำหรับสถานการณ์ของธุรกิจโรงแรมในขณะนี้ มีโรงแรมที่รับบริหารจำนวน 30 แห่งทั่วโลก โดยได้ตั้งเป้าภายใน 3 ปีจะมีโรงแรมภายได้การบริหารงานของบริษัท 50 แห่งทั่วโลก โดยในปี 53 จะเปิดโรงแรมใหม่จำนวน 4 แห่ง ในไทย 1 แห่งคือ เซนต์ รีจีส ส่วนการลงทุนจะให้น้ำหนักทั้งในไทยและต่างประเทศในสัดส่วนที่เท่ากัน
“ปีนี้หวังว่า จะไม่เกิดความรุนแรงด้านการเมือง ไม่ว่าจะเป็นจากสีไหน เราจะได้ทำมาหากินกันซะที หลังจากที่ต้องหยุดชะงักมาปีกว่าแล้ว และหากปีนี้ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองก็จะน่าจะมีปัจจัยลบอื่นมากระทบธุรกิจ”
นางปรารถนา มงคลกุล ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2552 ภาพรวมของธุรกิจท่องเที่ยวชะลอตัวลงมากตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดยอัตราการเข้าพักลดลง 20% ขณะที่ราคาลดลง 15% อย่างไรก็ตามประเทศไทยถือว่าได้รับผลกระทบ 2 ต่อ ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจโลกและความไม่สงบทางการเมือง ทำให้รายได้จากธุรกิจโรงแรมลดลงถึง 35% อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีธุรกิจอื่นมาช่วย โดยเฉพาะรายได้จากธุรกิจอาหารที่มีอัตราการเติบโตกว่า 5% ในขณะที่รายได้จากธุรกิจรีเทลที่เริ่มดำเนินการในช่วงครึ่งปีหลัง 52 มีรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทมีธุรกิจหลัก 4 ประเภท คือ 1.ธุรกิจอาหารสัดส่วนประมาณ 50%, ธุรกิจโรงแรมสัดส่วน 30-35%, ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 5-10% และธุรกิจรีเทล ที่เริ่มดำเนินการในไทยประมาณกลางปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ธุรกิจอสังหาฯในช่วงปลายปีจะชะลอตัวลง แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดระดับไฮเอนด์ โดยตรวจสอบได้จากมีลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมโครงการมากขึ้น โดยโครงการเซนต์ รีจีส โฮเท็ล แอนด์ เรสซิเด็นซ์ ข้างโรงแรมโฟร์ซีซั่น บนถนนราชดำริ โดยพัฒนาในรูปแบบผสมผสานประกอบด้วย โรงแรมหรู 227 ห้อง และคอนโดมิเนียมจำนวน 53 ยูนิต ประกอบด้วยห้องชุด 3-4 ห้อง จำนวน 45 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.86-2.2 แสนบาท/ตร.ม. สัญญาเช่านาน 30 ปี ส่วนห้องเพนท์เฮ้าส์มี 4 ห้อง ราคา 62-193 ล้านบาท มูลค่าในส่วนของคอนโดมิเนียมประมาณ 4,000 ล้านบาท
โดยปัจจุบันคอนโดฯมียอดขายรวม 15% มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งห้องเพนท์เฮาส์ขายไปหมดแล้ว สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ยังมีอยู่มาก ขณะที่จำนวนสินค้าในตลาดมีน้อยลง ทำให้เชื่อว่าในปี 2553 บริษัทจะสามารถปิดการขายห้องชุดได้ทั้งหมด โดยจะเปิดขายอย่างเป็นทางการพร้อมเปิดให้บริการในส่วนของโรงแรมได้ในเดือนตุลาคมปีนี้
นางปรารถนา กล่าวต่อว่า ในปีนี้ บริษัทเชื่อว่าธุรกิจโรงแรมจะปรับตัวดีขึ้น ตามภาพรวมของเศรษฐกิจโลก โดยคาดว่าจะปรับขึ้นประมาณ 10% จากปี 52 และอัตราการเข้าพักจะเพิ่มขึ้นกว่า 60% จากที่ปี 52 มีอัตราเข้าพักเพียง 53% เท่านั้น ส่วนธุรกิจอาหารจะมีอัตราการเติบโตตามผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศอยู่แล้ว ส่วนธุรกิจพัฒนาอสังหาฯเพื่อขายจะมีรายได้เข้ามาในปีนี้ หลังจากที่ปี 52 ไม่มีรายได้ และธุรกิจรีแทลในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้กว่า 2,000 ล้านบาท กล่าวโดยรวมบริษัทจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 10% จากปี 52
สำหรับสถานการณ์ของธุรกิจโรงแรมในขณะนี้ มีโรงแรมที่รับบริหารจำนวน 30 แห่งทั่วโลก โดยได้ตั้งเป้าภายใน 3 ปีจะมีโรงแรมภายได้การบริหารงานของบริษัท 50 แห่งทั่วโลก โดยในปี 53 จะเปิดโรงแรมใหม่จำนวน 4 แห่ง ในไทย 1 แห่งคือ เซนต์ รีจีส ส่วนการลงทุนจะให้น้ำหนักทั้งในไทยและต่างประเทศในสัดส่วนที่เท่ากัน
“ปีนี้หวังว่า จะไม่เกิดความรุนแรงด้านการเมือง ไม่ว่าจะเป็นจากสีไหน เราจะได้ทำมาหากินกันซะที หลังจากที่ต้องหยุดชะงักมาปีกว่าแล้ว และหากปีนี้ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองก็จะน่าจะมีปัจจัยลบอื่นมากระทบธุรกิจ”