ASTVผู้จัดการรายวัน – “เดอะพิซซ่า” เปิดเกมรุกขยายช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ ทุ่มงบ 15 ล้านบาทพัฒนา “โมบายมาร์เก็ตติ้ง” เสริมทัพบริการจัดส่งเป็น 3 ช่องทาง หวังเพิ่มโอกาส พร้อมดันรายได้ปีนี้เติบโต 8% ทะลุ 4,000 ล้านบาท
นางสาวยุคนธร วิเศษโกสิน ผู้อำนวยการตลาดไทยและต่างประเทศ เดอะพิซซ่า คอมปะนี ในเครือไมเนอร์กรุ๊ป เปิดเผยว่า จากตัวเลขรอบล่าสุดเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2554 จากเอซีนีลเส็น ของธุรกิจอาหารพบว่า ตลาดรวมมีการเติบโตที่ดี โดยแต่ละเซ็กเม้นท์แยกเป็นดังนี้คือ กลุ่มพิซซ่าเติบโตมากที่สุดประมาณ 67% กลุ่มไอศกรีมเติบโต 60% กลุ่มไก่ทอดเติบโต 43% กลุ่มเบอร์เกอร์เติบโต 40% ส่วนกลุ่มอาหารเกาหลีเติบโต 135% เป็นต้น
โดยที่กลุ่มพิซซ่านั้น ตลาดรวมเมื่อปีที่แล้วมีประมาณ 5,500 ล้านบาท คาดว่าปีนี้จะเติบโตอย่างต่ำ 10% ซึ่งมีผู้เล่นรายใหญ่ที่เป็นเชนเพียง 2 รายเท่านั้น โดยที่บริษัทฯเป็นผู้ผลักดันตลาดรวมให้เติบโตมากที่สุด
ทั้งนี้บริษัทฯฯตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้ (2554) ไว้ที่ 4,000 ล้านบาท หรือเติบโต 8% ซึ่งจะกลับไปใกล้เคียงกับเมื่อช่วงปี 2551 หลังจากที่ ช่วง 2-3 ปีมานี้จะเติบโตต่ำกว่านั้นตลอด ส่วนไตรมาสแรกปีนี้เติบโตถึง 15% มากกว่าที่ตั้งเป้าไว้ที่ 10% และยังมากกว่าปีที่แล้วที่เติบโตเพียง 5% เท่านั้น
ปัจจัยหลักที่ทำให้เติบโตมาจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น กำลังซื้อดีขึ้น อีกทั้งการทำตลาดส่งเสริมการขายต่อเนื่องของบริษัทฯเองซึ่งแคมเปญที่ใช้อยู่คือ ซื้อ 1 แถม 1 ซึ่งได้รับการตอบรับดีมียอดขายแต่ละสาขาเติบโตเฉลี่ย 12% และการเพิ่มโอกาสในการขายจากการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายมากขึ้น เช่น เพิ่มสาขาใหม่อีกอย่างต่ำ 12-15 สาขาในปีนี้ โดยเปิดไปแล้ว 3 สาขา และรีโนเวตสาขาด้วยงบ 200 ล้านบาท และใช้งบตลาดเพิ่มขึ้น 20%
ล่าสุดบริษัทฯใช้เงินลงทุน 15 ล้านบาทในการเปิดตัวบริการ โมบายออร์เดอร์แอพพลิเคชัน มาร์เก็ตติง โดยร่วมมือกับทางโอกิลวี่วันในการพัฒนาดาต้าเบสต่างๆ ในการสั่งพิซซ่าผ่านสมาร์ทโฟนสำหรับ ไอโฟน, ไอแพด, แบล็คเบอร์รี่โบล์ด 9700 และสมาร์ทโฟนที่มีระบบปฎิบัติการบนแอนดรอย ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายนนี้ และเป็นรายแรกในธุรกิจอาหารที่มีบริการแบบนี้ โดยส่งอาหารไม่เกิน 30 นาทีเหมือนเดิม
โดยปัจจุบันมีผู้ใช้สมาร์ทโฟนผ่าน 4 เครือข่ายผู้ให้บริการหลักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆมากกว่า 3 ล้านคนในไทยแล้ว จึงเห็นโอกาสดังกล่าว และในต่างประเทศเช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย ก็มีการบริการขายผ่านโมบายออร์เดอร์ถึง 80% แล้ว
ปัจจุบันบริษัทฯมีบริการเดอะพิซซ่าผ่าน 3 ช่องทางหลักคือ 1.นั่งทานในร้าน สัดส่วนยอดขาย 40% 2.บริการจัดส่งหรือดีวิเลอรี่ 40% และ 3.เทคโฮม 20% โดยที่บริการแบบ จัดส่งนั้น มีการเติบโตมากที่สุด 13% โดยมี 3 แอพพลิเคชั่นคือ 1.ผ่านเบอร์ 1112 สัดส่วนมากที่สุด เกือบ 80-90% 2.ผ่านเว๊บไซต์ ซึ่งปีที่แล้วมีมากถึง 87,000 ออร์เดอร์ ล่าสุดคือ โมบายออร์เดอร์ ซึ่งท่าผนมาสัดส่วนรายด้ของบริการจัดส่งมาจาก รกึงเทพฯ 80% และต่างจังหวัด 20%
ทั้งนี้ ตัวเลขของลูกค้าที่สั่งผ่านบริการจัดส่งขณะนี้คือ 650,000 รายต่อเดือน เทียบกับมีนาคมปีที่แล้ว มี 550,000 คน โดยที่บริษัทฯตั้งเป้าหมายมาจาก 2 ช่องทางคือ ผ่านเว๊บไซต์ และโมบายออร์เดอร์ ในปีนี้ประมาณ 185,000 ออร์เดอร์หรือ 30% จาก 550,000 ออร์เดอร์โดยเฉลี่ยทั้งปี จากปีที่แล้วที่มีเพียง 5% โดยมีเจ้าหน้าที่คอลล์เซ็นเตอร์มากกว่า 200 รายให้บริการ
สำหรับราคาอาหารและโปรโมชั่นในทุกช่องทางขณะนี้ยังคงเหมือนกันไม่แตกต่างกัน แต่ในช่องทางเว๊บรวมทั้งโมบายฯจะมีรายละเอียดในด้านของการให้ข้อมูลที่ละเอียดและชัดเจนมากกว่ารวมทั้งง่ายต่อการเลือกอาหาร สำหรับยอดใช้จ่ายลูกค้าขณะนี้หากสั่งผ่าน 1112 จะมียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 460 บาทต่อออร์เดอร์ หากผ่านเว๊บมียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 550 บาทขึ้นไปต่อออร์เดอร์ ส่วนหากนั่งทานในร้านจะมียอดใช้จ่ายมากกว่านั้น
นางสาวยุคนธร วิเศษโกสิน ผู้อำนวยการตลาดไทยและต่างประเทศ เดอะพิซซ่า คอมปะนี ในเครือไมเนอร์กรุ๊ป เปิดเผยว่า จากตัวเลขรอบล่าสุดเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2554 จากเอซีนีลเส็น ของธุรกิจอาหารพบว่า ตลาดรวมมีการเติบโตที่ดี โดยแต่ละเซ็กเม้นท์แยกเป็นดังนี้คือ กลุ่มพิซซ่าเติบโตมากที่สุดประมาณ 67% กลุ่มไอศกรีมเติบโต 60% กลุ่มไก่ทอดเติบโต 43% กลุ่มเบอร์เกอร์เติบโต 40% ส่วนกลุ่มอาหารเกาหลีเติบโต 135% เป็นต้น
โดยที่กลุ่มพิซซ่านั้น ตลาดรวมเมื่อปีที่แล้วมีประมาณ 5,500 ล้านบาท คาดว่าปีนี้จะเติบโตอย่างต่ำ 10% ซึ่งมีผู้เล่นรายใหญ่ที่เป็นเชนเพียง 2 รายเท่านั้น โดยที่บริษัทฯเป็นผู้ผลักดันตลาดรวมให้เติบโตมากที่สุด
ทั้งนี้บริษัทฯฯตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้ (2554) ไว้ที่ 4,000 ล้านบาท หรือเติบโต 8% ซึ่งจะกลับไปใกล้เคียงกับเมื่อช่วงปี 2551 หลังจากที่ ช่วง 2-3 ปีมานี้จะเติบโตต่ำกว่านั้นตลอด ส่วนไตรมาสแรกปีนี้เติบโตถึง 15% มากกว่าที่ตั้งเป้าไว้ที่ 10% และยังมากกว่าปีที่แล้วที่เติบโตเพียง 5% เท่านั้น
ปัจจัยหลักที่ทำให้เติบโตมาจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น กำลังซื้อดีขึ้น อีกทั้งการทำตลาดส่งเสริมการขายต่อเนื่องของบริษัทฯเองซึ่งแคมเปญที่ใช้อยู่คือ ซื้อ 1 แถม 1 ซึ่งได้รับการตอบรับดีมียอดขายแต่ละสาขาเติบโตเฉลี่ย 12% และการเพิ่มโอกาสในการขายจากการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายมากขึ้น เช่น เพิ่มสาขาใหม่อีกอย่างต่ำ 12-15 สาขาในปีนี้ โดยเปิดไปแล้ว 3 สาขา และรีโนเวตสาขาด้วยงบ 200 ล้านบาท และใช้งบตลาดเพิ่มขึ้น 20%
ล่าสุดบริษัทฯใช้เงินลงทุน 15 ล้านบาทในการเปิดตัวบริการ โมบายออร์เดอร์แอพพลิเคชัน มาร์เก็ตติง โดยร่วมมือกับทางโอกิลวี่วันในการพัฒนาดาต้าเบสต่างๆ ในการสั่งพิซซ่าผ่านสมาร์ทโฟนสำหรับ ไอโฟน, ไอแพด, แบล็คเบอร์รี่โบล์ด 9700 และสมาร์ทโฟนที่มีระบบปฎิบัติการบนแอนดรอย ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายนนี้ และเป็นรายแรกในธุรกิจอาหารที่มีบริการแบบนี้ โดยส่งอาหารไม่เกิน 30 นาทีเหมือนเดิม
โดยปัจจุบันมีผู้ใช้สมาร์ทโฟนผ่าน 4 เครือข่ายผู้ให้บริการหลักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆมากกว่า 3 ล้านคนในไทยแล้ว จึงเห็นโอกาสดังกล่าว และในต่างประเทศเช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย ก็มีการบริการขายผ่านโมบายออร์เดอร์ถึง 80% แล้ว
ปัจจุบันบริษัทฯมีบริการเดอะพิซซ่าผ่าน 3 ช่องทางหลักคือ 1.นั่งทานในร้าน สัดส่วนยอดขาย 40% 2.บริการจัดส่งหรือดีวิเลอรี่ 40% และ 3.เทคโฮม 20% โดยที่บริการแบบ จัดส่งนั้น มีการเติบโตมากที่สุด 13% โดยมี 3 แอพพลิเคชั่นคือ 1.ผ่านเบอร์ 1112 สัดส่วนมากที่สุด เกือบ 80-90% 2.ผ่านเว๊บไซต์ ซึ่งปีที่แล้วมีมากถึง 87,000 ออร์เดอร์ ล่าสุดคือ โมบายออร์เดอร์ ซึ่งท่าผนมาสัดส่วนรายด้ของบริการจัดส่งมาจาก รกึงเทพฯ 80% และต่างจังหวัด 20%
ทั้งนี้ ตัวเลขของลูกค้าที่สั่งผ่านบริการจัดส่งขณะนี้คือ 650,000 รายต่อเดือน เทียบกับมีนาคมปีที่แล้ว มี 550,000 คน โดยที่บริษัทฯตั้งเป้าหมายมาจาก 2 ช่องทางคือ ผ่านเว๊บไซต์ และโมบายออร์เดอร์ ในปีนี้ประมาณ 185,000 ออร์เดอร์หรือ 30% จาก 550,000 ออร์เดอร์โดยเฉลี่ยทั้งปี จากปีที่แล้วที่มีเพียง 5% โดยมีเจ้าหน้าที่คอลล์เซ็นเตอร์มากกว่า 200 รายให้บริการ
สำหรับราคาอาหารและโปรโมชั่นในทุกช่องทางขณะนี้ยังคงเหมือนกันไม่แตกต่างกัน แต่ในช่องทางเว๊บรวมทั้งโมบายฯจะมีรายละเอียดในด้านของการให้ข้อมูลที่ละเอียดและชัดเจนมากกว่ารวมทั้งง่ายต่อการเลือกอาหาร สำหรับยอดใช้จ่ายลูกค้าขณะนี้หากสั่งผ่าน 1112 จะมียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 460 บาทต่อออร์เดอร์ หากผ่านเว๊บมียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 550 บาทขึ้นไปต่อออร์เดอร์ ส่วนหากนั่งทานในร้านจะมียอดใช้จ่ายมากกว่านั้น