**เป็นโจทย์ใหญ่รับศักราชใหม่ ปีเสือดุ สำหรับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ผู้นำประเทศไทย ที่ต้องรีบจัดแจงแก้ไข ไม่แพ้ปมร้อนจากเสือร้ายหน้าเหลี่ยม สั่งลูกสมุนเตรียมบุกเผาบ้านเผาเมือง เข้ายึดประเทศกันต้นปีนี้
กับกรณีที่ นพ.บรรลุ ศิริพานิช ประธานกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงโครงการไทยเข้มแข็งในกระทรวงสาธารณสุข แบผลการสอบสวน สรุปว่าส่อไปในทางทุจริต
**“โกงเข้มแข็ง”
ท้าทายกฎเหล็ก 9 ข้อที่นายกฯอภิสิทธิ์ประกาศไว้จะยึดถือการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างเคร่งครัด และความรับผิดชอบทางการเมือง มีมาตรฐานที่สูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย
ฉะนั้นเหตุเกิดที่กระทรวงสาธารณสุข จึงเป็นเรื่องที่กระทบความรู้สึกและความคาดหวังต่อรัฐบาลชุดนี้เป็นอย่างมาก โดยที่ต้องขอชื่นชม “หมอน้อย” วิทยา แก้วภราดัย ที่ไขก๊อกรับผิดชอบกับผลการสอบสวนที่ออกมา
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องของการแสดง“สปิริต” โดยสมบูรณ์แบบ เพราะตั้งแต่แรกก็ยังเสียงแข็ง ยังไม่มีการทุจริต แต่ที่สุดก็ยังช่วยรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎเหล็กผู้นำไว้
การลาออกครั้งนี้ สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ทางหนึ่งอาจจะมองว่า คนในพรรคการเมืองนี้ พวกเดียวกันพร้อมเชือดเสมอ แต่อีกมุมก็ชี้ให้เห็นถึงระบบพรรคที่เข็มแข็ง พร้อมตัดเนื้อร้าย สละอวัยวะ รักษาชีวิต ถึงได้อยู่มานาน
แต่ที่เป็นปัญหา แรงสะเทือนในกระทรวงสาธารณสุข เหวี่ยงไปที่เก้าอี้รัฐมนตรีช่วย มานิต นพอมรบดี ที่ถึงแม้ผลการสอบสวนชี้ชัดว่า มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยพฤติกรรมเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหลายโครงการ ดึงโครงการเข้าพื้นที่ จ.ราชบุรี ของตัวเอง และส่อไปในทางทุจริต
แต่เจ้าตัวยังดื้อตาใส สะกดคำว่า “ละอาย” ไม่ถูก ยังชี้ว่าโครงการไทยเข้มแข็ง ยังไม่มีอนุมัติงบฯ จึงยังไม่มีการการโกง โดยในประเด็นนี้ ทั่นรมต.คงไม่เคยได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ถึงกลเกมการโกงของหลายหน่วยงานในรัฐบาลนี้
ไม่ได้บอกว่าเป็นที่กระทรวงสาธารณสุข แต่รู้กันดีในหมู่ผู้รับเหมา บริษัทห้างร้าน ไม่ว่าเจ้าเล็กเจ้าใหญ่ หากต้องการได้ “งาน”ในบางหน่วยงานรัฐ ที่มีผู้มีอำนาจ “โฉ่งฉ่าง” เร่งด่วนในการทำมาหารับประทาน กำหนดค่า “ต๋ง” หักค่าหัวคิวส่ง สูงไม่แพ้ยุคระบอบทักษิณ
**อัพราคากันไปถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์!
และไม่ต้องเสียเวลารอการอนุมัติเงิน อนุมัติงบฯ เวลาน้อย ต้องเร่งฟาสต์ฟู้ดส์-แดกด่วน มีการกำหนดเงื่อนไขลับเฉพาะคนต้องการงาน “จ่ายครึ่ง” ก่อน เมื่องานเสร็จค่อยควักมาให้ครบในส่วนที่เหลือ
เรื่องนี้ที่รู้ดีว่าใคร “เสี่ยรถหรู” ที่หอบเงินหนีไปต่างประเทศรู้ดี ที่เสียก้อนโต “จองตั๋ว” รถเมล์เอ็นจีวีไว้ แต่ถึงเวลา รถดันมาช้า แถมส่อว่าจะอดโดยสารเมล์ปรับอากาศอัดก๊าซธรรมชาติอย่างที่หวัง ประเมินแล้ว อยู่ก็เจ๊ง เลยต้องแจวหนีไปปักหลักเมืองนอก
**งบฯจะมา หรือไม่มา แค่ชงเรื่องไว้ ยุคนี้ก็อิ่มหมีพีมันกันได้แล้ว!
ฉะนั้น เชื่อว่าถึงที่สุด แม้รมต.มานิต จะดื้อดึง ดึงดันอย่างไร แต่จากกระแสกดดันจากประชาชนคนไทย ที่ “เกลียดโกง” เข้าไส้ เชื่อว่าสุดท้ายก็ทวนกระแสอยู่ต่อไปไม่ได้ และถึงวันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องของการแสดงสปิริต เข้าใจในคุณธรรมจริยธรรมของนักการเมืองที่ดี
ถึงเวลานั้นก็คงเป็นเรื่องของพรรคภูมิใจไทย จะชี้ขาด โดยเฉพาะ สมศักดิ์ เทพสุทิน นายใหญ่มัชฌิมาฯ เจ้าของโควตา หาก“มานิต”ไปแล้ว จะหาใครมาเสียบแทน!
**ข่าวว่า แรงเหวี่ยงจากการลาออกของ วิทยา สะเทือนไปถึงประเทศสหรัฐอเมริกา สมศักดิ์ ที่อยู่ระหว่างการทัวร์เสี่ยงดวงในต่างแดน ถึงกับอยู่เที่ยวต่อไม่ได้ เลื่อนกำหนดกลับประเทศไทยเร็วกว่ากำหนด
โดยที่เป็นปัญหาในกลุ่มของ “สมศักดิ์” นอกจากมีตัวเลือกให้พิจารณาจำกัด ขณะที่มานิต เป็นที่หวังพึ่ง เพราะถือเป็นนายทุนใหญ่ บัญชีทรัพย์สิน กว่า 300 ล้านบาท มากกว่า ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย เจ้าสัว ชิโนไทย ที่มีทรัพย์สิน 100 กว่าล้าน
**เรื่องทุน จึงเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาของสมศักดิ์ ครั้งนี้ก็เช่นกัน หากยึดในเงื่อนไขสัญญาใจ การเปลี่ยนตัว รมต. อาจต้องปรึกษาหารือ “มานิต” ที่มีสิทธิในโควต้าเช่นกัน ไม่ให้ต้องขาดทุนบักโกรก
และจากรายชื่อแคนดิเดต ที่อยู่ในข่ายจะได้เสียบนั่งเก้าอี้แทนมานิต ล้วนเป็นส.ส.หน้าใหม่ ส.ต.ในกลุ่ม หรือนายทุนของกลุ่มมัชฌิมาฯ ทั้ง บุญยิ่ง นิติกาญจนา-วีรศักดิ์ จินารัตน์ 2 ที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ สมนึก เฮงวาณิชย์ ส.ส.บุรีรัมย์ คนใกล้ชิดนายมานิต อุดมลักษณ์ เพ็งนรพัฒน์ ส.ส.ศรีสะเกษ ภรรยาของ นพ.จาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ คนสนิทของสมศักดิ์ รวมทั้ง วิวัฒน์ เลาหพูนรังษี นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ อารียา กรุ๊ป ที่วันนี้เข้ามานั่งเป็นประธานบอร์ดองค์การคลังสินค้า (อคส.)
**จะเป็นใครในบัญชีพิจารณา ก็ขึ้นอยู่กับ “สมศักดิ์” จะขายขาด ตุนไว้ก่อนยามที่ยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะอยู่ได้อีกนานเท่าใด จะมีเวลาบริหารจัดงานความสมบูรณ์บนเก้าอี้ที่ได้รับโควต้ามาได้นานเพียงไหน
หากยกให้ ขายขาดให้นายทุน โดยเฉพาะวิวัฒน์ เลาหพูนรังสี เจ้าสัวอสังหาริมทรัพย์ ที่ถึงแม้วันนี้จะมีปมยุ่งๆใน อคส.ว่าด้วยเรื่องการอนุมัติการแต่งตั้งบริษัทเอกชนเป็นตัวแทน ซื้อ-ขาย ส่งออกข้าว เรื่องใหญ่จน ดีเอสไอ เข้ามาตรวจสอบแล้ว
รวมทั้งการบริหารงาน ที่ผ่านมา 1 ปี ก็ยังไม่มี ผอ.อคส.เป็นตัวเป็นตน อาจโยกย้ายเปลี่ยนที่ หนีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ มานั่งเก้าอี้ที่ใหญ่กว่า ถ้ากล้าควัก ก็คุยกันได้
ส่วน วีรศักดิ์ จินารัตน์ แม้จะอยู่ในกลุ่ม แต่เพราะงวดก่อนผิดหวัง อีกทั้งเป็นคนสนิทของ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ ที่เก็บผ้าผ่อนกลับไปเป็นขุนพลภาคกลางให้ระบอบทักษิณเรียบร้อย “สมศักดิ์” คงพิจารณาหนัก เว้นแต่หน้าตักใหญ่ กล้าทุ่ม
ส่วนที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ อีกราย บุญยิ่ง ภรรยาของวิวัฒน์ นิติกาญจนา กับอีกราย อุดมลักษณ์ คนร่วมเตียง หมอจาตุรงค์ และ สมนึก ถือเป็นคนใกล้ชิดสมศักดิ์ ที่พอจะวางใจได้ หากจะใส่ชื่อไว้ให้อยู่ในตำแหน่ง แบบหวังยาว รอโกยเอาดาบหน้า
ในตัวเลือกที่มีจำกัด ในการจัดคนมาเสียบเก้าอี้ เป็นเรื่องหนักใจของสมศักดิ์ แต่ที่ต้องขบคิดพิจารณาอย่างหนักเสียยิ่งกว่า ก็คือนายกฯอภิสิทธิ์ จะตัดสินใจปรับเปลี่ยนอย่างไรในการอัพเกรด ครม. จากผลกระทบต่อเนื่องมาจากกระทรวงสาธารณสุขครั้งนี้
จะใช้กลยุทธ์ปรับใหญ่ ไปทีเดียวเลย หรือปรับเล็ก รอยกเครื่องกันทั้งครม.ทีเดียวหลังผ่านศึกนอก ทั้งม็อบเสื้อแดง และการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะถ้าปรับใหญ่ แรงกระเพื่อมก็รุนแรงทั้งในพรรค และพรรคร่วมรัฐบาลก็จะได้ช่องต่อรอง อ้างจำนวนเสียงแลกกระทรวง
**โดยเฉพาะในประชาธิปัตย์ เวลานี้วิ่งกันฝุ่นตลบ แรงกระเพื่อมกระฉอกออกมาให้คนนอกรับรู้กันแล้ว โดยแคนดิเดตที่มาจะมานั่งเก้าอี้ ทั้งยึดโควตาภาค ก็มี
**นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ และ ชินวรณ์ บุณยเกียรติ ที่ถือเป็นเจ้าของโควต้า จ.นครศรีธรรมราช นอกจากนี้ ทั้ง เฉลิมชัย ศรีอ่อน จุติ ไกรฤกษ์ องอาจ คล้ามไพบูลย์ ก็อาวุโสพอที่จะใช้สิทธิทวงตำแหน่ง
หากปรับเล็ก ก็มีทั้งสูตร โยกเอา จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ มาบริหารกระทรวงยุ่งเหยิงสาธารณสุข แล้วหาคนใหม่นั่งเก้าอี้แทน หรือเปลี่ยนใจใช้ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ว่าที่รองนายกฯ ใช้ความเขี้ยว และภาพความสะอาด มานั่งเก้าอี้จัดการเรื่องฉาว การเมืองในกระทรวงคุณหมอ
แล้วให้ กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ อยู่ที่ตำแหน่งรองนายกฯ สกรีนงานพรรคร่วมต่อ ส่วนเลขาธิการนายกฯ ค่อยหาตัวกันอีกที
ขณะที่อีกสูตร หากอภิสิทธิ์ ตัดสินใจปรับใหญ่ ก็มีกระแสข่าวว่าอาจมีการแลกกระทรวงพาณิชย์มาดูแลเอง เพื่อดูงานด้านเศรษฐกิจให้ครบระบบ โดยสูตรนี้อาจจะเป็น จุติ ไกรฤกษ์ หรือ เกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานหอการค้านานาชาติ มาเป็นรมว.พาณิชย์
อย่างไรก็ตาม การปรับครม.จาก “สาธารณสุขเอฟเฟ็กต์” ครั้งนี้ เป็นอีกครั้งที่จะพิสูจน์ความเป็นผู้นำของอภิสิทธิ์ หากปรับเล็กก็เหมือนไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เพียงเปลี่ยนตัวโดยยึดโควต้าจำนวนเสียงหนุนรัฐบาล มากกว่าประสิทธิภาพการบริหารงาน
**อภิสิทธิ์ ควรใช้โอกาสนี้ สรรหาคนที่มีประสิทธิภาพมาทำงาน โดยเฉพาะในช่วงที่บ้านเมืองวิกฤติ ต้องการการผ่าตัดใหญ่มากกว่าจะหมักหมมซุกปัญหาไว้ใต้พรม แต่ควรต้องยกเครื่องใหม่รัฐบาลกันไปเลยทีเดียว
เชื่อว่าด้วยกระแสความต้องการ สิ่งที่ประชาชนอยากเห็นคือ รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ ทำงานเป็น ฉับไว และเข้าใจในสถานการณ์บ้านเมืองในยามไม่ปกติ ต้องเลิกกังวลต่อการที่ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลอาจไม่พอใจ เอะอะโวยวาย แต่คงไม่มีใครอยากไปสู่สนามเลือกตั้งก่อนกำหนด หรือเสี่ยงพลิกขั้วย้ายข้างกันเป็นแน่
โดยต้องมีการกำหนดเงื่อนไขเข้มงวด ให้พรรคร่วมรัฐบาลสรรหาคนที่เหมาะสมตำแหน่งเพื่อเข้ามาเพื่อไม่ใช่เพื่อปันเก้าอี้ภายในพรรค หรือกลุ่มก๊วน ปล่อยให้แย่ง “ชามข้าว” ขายเก้าอี้ตำแหน่งให้นายทุนที่กระสันอำนาจ ซ้ำรอยเดิม 1 ปีที่ผ่านมา
**ต้องพิสูจน์ภาวะความเป็นผู้นำ เพราะหากเพียงปรับครม.เพื่อบริหารการเมือง ยอมให้ใส่ใครก็ได้มาเป็นรัฐมนตรี เพื่อความอยู่รอดของรัฐบาล ยืดเวลาบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีต่อไป ก็คงเหมาะสมกับฉายาที่ได้รับแล้วว่า เป็นแค่ผู้นำ “หล่อหลักลอย”
กับกรณีที่ นพ.บรรลุ ศิริพานิช ประธานกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงโครงการไทยเข้มแข็งในกระทรวงสาธารณสุข แบผลการสอบสวน สรุปว่าส่อไปในทางทุจริต
**“โกงเข้มแข็ง”
ท้าทายกฎเหล็ก 9 ข้อที่นายกฯอภิสิทธิ์ประกาศไว้จะยึดถือการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างเคร่งครัด และความรับผิดชอบทางการเมือง มีมาตรฐานที่สูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย
ฉะนั้นเหตุเกิดที่กระทรวงสาธารณสุข จึงเป็นเรื่องที่กระทบความรู้สึกและความคาดหวังต่อรัฐบาลชุดนี้เป็นอย่างมาก โดยที่ต้องขอชื่นชม “หมอน้อย” วิทยา แก้วภราดัย ที่ไขก๊อกรับผิดชอบกับผลการสอบสวนที่ออกมา
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องของการแสดง“สปิริต” โดยสมบูรณ์แบบ เพราะตั้งแต่แรกก็ยังเสียงแข็ง ยังไม่มีการทุจริต แต่ที่สุดก็ยังช่วยรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎเหล็กผู้นำไว้
การลาออกครั้งนี้ สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ทางหนึ่งอาจจะมองว่า คนในพรรคการเมืองนี้ พวกเดียวกันพร้อมเชือดเสมอ แต่อีกมุมก็ชี้ให้เห็นถึงระบบพรรคที่เข็มแข็ง พร้อมตัดเนื้อร้าย สละอวัยวะ รักษาชีวิต ถึงได้อยู่มานาน
แต่ที่เป็นปัญหา แรงสะเทือนในกระทรวงสาธารณสุข เหวี่ยงไปที่เก้าอี้รัฐมนตรีช่วย มานิต นพอมรบดี ที่ถึงแม้ผลการสอบสวนชี้ชัดว่า มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยพฤติกรรมเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหลายโครงการ ดึงโครงการเข้าพื้นที่ จ.ราชบุรี ของตัวเอง และส่อไปในทางทุจริต
แต่เจ้าตัวยังดื้อตาใส สะกดคำว่า “ละอาย” ไม่ถูก ยังชี้ว่าโครงการไทยเข้มแข็ง ยังไม่มีอนุมัติงบฯ จึงยังไม่มีการการโกง โดยในประเด็นนี้ ทั่นรมต.คงไม่เคยได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ถึงกลเกมการโกงของหลายหน่วยงานในรัฐบาลนี้
ไม่ได้บอกว่าเป็นที่กระทรวงสาธารณสุข แต่รู้กันดีในหมู่ผู้รับเหมา บริษัทห้างร้าน ไม่ว่าเจ้าเล็กเจ้าใหญ่ หากต้องการได้ “งาน”ในบางหน่วยงานรัฐ ที่มีผู้มีอำนาจ “โฉ่งฉ่าง” เร่งด่วนในการทำมาหารับประทาน กำหนดค่า “ต๋ง” หักค่าหัวคิวส่ง สูงไม่แพ้ยุคระบอบทักษิณ
**อัพราคากันไปถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์!
และไม่ต้องเสียเวลารอการอนุมัติเงิน อนุมัติงบฯ เวลาน้อย ต้องเร่งฟาสต์ฟู้ดส์-แดกด่วน มีการกำหนดเงื่อนไขลับเฉพาะคนต้องการงาน “จ่ายครึ่ง” ก่อน เมื่องานเสร็จค่อยควักมาให้ครบในส่วนที่เหลือ
เรื่องนี้ที่รู้ดีว่าใคร “เสี่ยรถหรู” ที่หอบเงินหนีไปต่างประเทศรู้ดี ที่เสียก้อนโต “จองตั๋ว” รถเมล์เอ็นจีวีไว้ แต่ถึงเวลา รถดันมาช้า แถมส่อว่าจะอดโดยสารเมล์ปรับอากาศอัดก๊าซธรรมชาติอย่างที่หวัง ประเมินแล้ว อยู่ก็เจ๊ง เลยต้องแจวหนีไปปักหลักเมืองนอก
**งบฯจะมา หรือไม่มา แค่ชงเรื่องไว้ ยุคนี้ก็อิ่มหมีพีมันกันได้แล้ว!
ฉะนั้น เชื่อว่าถึงที่สุด แม้รมต.มานิต จะดื้อดึง ดึงดันอย่างไร แต่จากกระแสกดดันจากประชาชนคนไทย ที่ “เกลียดโกง” เข้าไส้ เชื่อว่าสุดท้ายก็ทวนกระแสอยู่ต่อไปไม่ได้ และถึงวันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องของการแสดงสปิริต เข้าใจในคุณธรรมจริยธรรมของนักการเมืองที่ดี
ถึงเวลานั้นก็คงเป็นเรื่องของพรรคภูมิใจไทย จะชี้ขาด โดยเฉพาะ สมศักดิ์ เทพสุทิน นายใหญ่มัชฌิมาฯ เจ้าของโควตา หาก“มานิต”ไปแล้ว จะหาใครมาเสียบแทน!
**ข่าวว่า แรงเหวี่ยงจากการลาออกของ วิทยา สะเทือนไปถึงประเทศสหรัฐอเมริกา สมศักดิ์ ที่อยู่ระหว่างการทัวร์เสี่ยงดวงในต่างแดน ถึงกับอยู่เที่ยวต่อไม่ได้ เลื่อนกำหนดกลับประเทศไทยเร็วกว่ากำหนด
โดยที่เป็นปัญหาในกลุ่มของ “สมศักดิ์” นอกจากมีตัวเลือกให้พิจารณาจำกัด ขณะที่มานิต เป็นที่หวังพึ่ง เพราะถือเป็นนายทุนใหญ่ บัญชีทรัพย์สิน กว่า 300 ล้านบาท มากกว่า ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย เจ้าสัว ชิโนไทย ที่มีทรัพย์สิน 100 กว่าล้าน
**เรื่องทุน จึงเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาของสมศักดิ์ ครั้งนี้ก็เช่นกัน หากยึดในเงื่อนไขสัญญาใจ การเปลี่ยนตัว รมต. อาจต้องปรึกษาหารือ “มานิต” ที่มีสิทธิในโควต้าเช่นกัน ไม่ให้ต้องขาดทุนบักโกรก
และจากรายชื่อแคนดิเดต ที่อยู่ในข่ายจะได้เสียบนั่งเก้าอี้แทนมานิต ล้วนเป็นส.ส.หน้าใหม่ ส.ต.ในกลุ่ม หรือนายทุนของกลุ่มมัชฌิมาฯ ทั้ง บุญยิ่ง นิติกาญจนา-วีรศักดิ์ จินารัตน์ 2 ที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ สมนึก เฮงวาณิชย์ ส.ส.บุรีรัมย์ คนใกล้ชิดนายมานิต อุดมลักษณ์ เพ็งนรพัฒน์ ส.ส.ศรีสะเกษ ภรรยาของ นพ.จาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ คนสนิทของสมศักดิ์ รวมทั้ง วิวัฒน์ เลาหพูนรังษี นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ อารียา กรุ๊ป ที่วันนี้เข้ามานั่งเป็นประธานบอร์ดองค์การคลังสินค้า (อคส.)
**จะเป็นใครในบัญชีพิจารณา ก็ขึ้นอยู่กับ “สมศักดิ์” จะขายขาด ตุนไว้ก่อนยามที่ยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะอยู่ได้อีกนานเท่าใด จะมีเวลาบริหารจัดงานความสมบูรณ์บนเก้าอี้ที่ได้รับโควต้ามาได้นานเพียงไหน
หากยกให้ ขายขาดให้นายทุน โดยเฉพาะวิวัฒน์ เลาหพูนรังสี เจ้าสัวอสังหาริมทรัพย์ ที่ถึงแม้วันนี้จะมีปมยุ่งๆใน อคส.ว่าด้วยเรื่องการอนุมัติการแต่งตั้งบริษัทเอกชนเป็นตัวแทน ซื้อ-ขาย ส่งออกข้าว เรื่องใหญ่จน ดีเอสไอ เข้ามาตรวจสอบแล้ว
รวมทั้งการบริหารงาน ที่ผ่านมา 1 ปี ก็ยังไม่มี ผอ.อคส.เป็นตัวเป็นตน อาจโยกย้ายเปลี่ยนที่ หนีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ มานั่งเก้าอี้ที่ใหญ่กว่า ถ้ากล้าควัก ก็คุยกันได้
ส่วน วีรศักดิ์ จินารัตน์ แม้จะอยู่ในกลุ่ม แต่เพราะงวดก่อนผิดหวัง อีกทั้งเป็นคนสนิทของ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ ที่เก็บผ้าผ่อนกลับไปเป็นขุนพลภาคกลางให้ระบอบทักษิณเรียบร้อย “สมศักดิ์” คงพิจารณาหนัก เว้นแต่หน้าตักใหญ่ กล้าทุ่ม
ส่วนที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ อีกราย บุญยิ่ง ภรรยาของวิวัฒน์ นิติกาญจนา กับอีกราย อุดมลักษณ์ คนร่วมเตียง หมอจาตุรงค์ และ สมนึก ถือเป็นคนใกล้ชิดสมศักดิ์ ที่พอจะวางใจได้ หากจะใส่ชื่อไว้ให้อยู่ในตำแหน่ง แบบหวังยาว รอโกยเอาดาบหน้า
ในตัวเลือกที่มีจำกัด ในการจัดคนมาเสียบเก้าอี้ เป็นเรื่องหนักใจของสมศักดิ์ แต่ที่ต้องขบคิดพิจารณาอย่างหนักเสียยิ่งกว่า ก็คือนายกฯอภิสิทธิ์ จะตัดสินใจปรับเปลี่ยนอย่างไรในการอัพเกรด ครม. จากผลกระทบต่อเนื่องมาจากกระทรวงสาธารณสุขครั้งนี้
จะใช้กลยุทธ์ปรับใหญ่ ไปทีเดียวเลย หรือปรับเล็ก รอยกเครื่องกันทั้งครม.ทีเดียวหลังผ่านศึกนอก ทั้งม็อบเสื้อแดง และการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะถ้าปรับใหญ่ แรงกระเพื่อมก็รุนแรงทั้งในพรรค และพรรคร่วมรัฐบาลก็จะได้ช่องต่อรอง อ้างจำนวนเสียงแลกกระทรวง
**โดยเฉพาะในประชาธิปัตย์ เวลานี้วิ่งกันฝุ่นตลบ แรงกระเพื่อมกระฉอกออกมาให้คนนอกรับรู้กันแล้ว โดยแคนดิเดตที่มาจะมานั่งเก้าอี้ ทั้งยึดโควตาภาค ก็มี
**นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ และ ชินวรณ์ บุณยเกียรติ ที่ถือเป็นเจ้าของโควต้า จ.นครศรีธรรมราช นอกจากนี้ ทั้ง เฉลิมชัย ศรีอ่อน จุติ ไกรฤกษ์ องอาจ คล้ามไพบูลย์ ก็อาวุโสพอที่จะใช้สิทธิทวงตำแหน่ง
หากปรับเล็ก ก็มีทั้งสูตร โยกเอา จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ มาบริหารกระทรวงยุ่งเหยิงสาธารณสุข แล้วหาคนใหม่นั่งเก้าอี้แทน หรือเปลี่ยนใจใช้ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ว่าที่รองนายกฯ ใช้ความเขี้ยว และภาพความสะอาด มานั่งเก้าอี้จัดการเรื่องฉาว การเมืองในกระทรวงคุณหมอ
แล้วให้ กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ อยู่ที่ตำแหน่งรองนายกฯ สกรีนงานพรรคร่วมต่อ ส่วนเลขาธิการนายกฯ ค่อยหาตัวกันอีกที
ขณะที่อีกสูตร หากอภิสิทธิ์ ตัดสินใจปรับใหญ่ ก็มีกระแสข่าวว่าอาจมีการแลกกระทรวงพาณิชย์มาดูแลเอง เพื่อดูงานด้านเศรษฐกิจให้ครบระบบ โดยสูตรนี้อาจจะเป็น จุติ ไกรฤกษ์ หรือ เกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานหอการค้านานาชาติ มาเป็นรมว.พาณิชย์
อย่างไรก็ตาม การปรับครม.จาก “สาธารณสุขเอฟเฟ็กต์” ครั้งนี้ เป็นอีกครั้งที่จะพิสูจน์ความเป็นผู้นำของอภิสิทธิ์ หากปรับเล็กก็เหมือนไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เพียงเปลี่ยนตัวโดยยึดโควต้าจำนวนเสียงหนุนรัฐบาล มากกว่าประสิทธิภาพการบริหารงาน
**อภิสิทธิ์ ควรใช้โอกาสนี้ สรรหาคนที่มีประสิทธิภาพมาทำงาน โดยเฉพาะในช่วงที่บ้านเมืองวิกฤติ ต้องการการผ่าตัดใหญ่มากกว่าจะหมักหมมซุกปัญหาไว้ใต้พรม แต่ควรต้องยกเครื่องใหม่รัฐบาลกันไปเลยทีเดียว
เชื่อว่าด้วยกระแสความต้องการ สิ่งที่ประชาชนอยากเห็นคือ รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ ทำงานเป็น ฉับไว และเข้าใจในสถานการณ์บ้านเมืองในยามไม่ปกติ ต้องเลิกกังวลต่อการที่ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลอาจไม่พอใจ เอะอะโวยวาย แต่คงไม่มีใครอยากไปสู่สนามเลือกตั้งก่อนกำหนด หรือเสี่ยงพลิกขั้วย้ายข้างกันเป็นแน่
โดยต้องมีการกำหนดเงื่อนไขเข้มงวด ให้พรรคร่วมรัฐบาลสรรหาคนที่เหมาะสมตำแหน่งเพื่อเข้ามาเพื่อไม่ใช่เพื่อปันเก้าอี้ภายในพรรค หรือกลุ่มก๊วน ปล่อยให้แย่ง “ชามข้าว” ขายเก้าอี้ตำแหน่งให้นายทุนที่กระสันอำนาจ ซ้ำรอยเดิม 1 ปีที่ผ่านมา
**ต้องพิสูจน์ภาวะความเป็นผู้นำ เพราะหากเพียงปรับครม.เพื่อบริหารการเมือง ยอมให้ใส่ใครก็ได้มาเป็นรัฐมนตรี เพื่อความอยู่รอดของรัฐบาล ยืดเวลาบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีต่อไป ก็คงเหมาะสมกับฉายาที่ได้รับแล้วว่า เป็นแค่ผู้นำ “หล่อหลักลอย”