xs
xsm
sm
md
lg

PAPหวังปี53เติบโตระดับ20% ชี้งบรัฐอัดสู่ระบบเม็ดงานเพียบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - แปซิฟิกไพพ์ คาดปี 52 ผลงานเข้าเป้า 3,500 ล้านบาท แม้ครึ่งปีแรกไม่สวยมั่นใจครึ่งปีหลังรายได้งาม เผยปี 53 เน้นหาตลาดใหม่เพิ่ม ขยายฐานลูกค้าลดเสี่ยงหลังพบการแข่งขันสูง หวังรัฐดันโครงการเมกะโปรเจ็กต์ออกสู่ตลาด มั่นใจเติบโตระดับ 20% จากปีก่อน

นายสมชัย เลขะพจน์พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน) หรือ PAP เปิดเผยว่าผลงานปี 52 คาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ระดับ 3,500 ล้านบาท แม้ครึ่งปีแรกผลงานไม่ได้สวยนักเพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเมื่อปี 51 และต่อเนื่องมาถึงปี 52 เรื่อยมาจนถึงช่วงกลางปีนี้ ซึ่้งถือว่าเข้าสู่ไตรมาส 3 เศรษฐกิจของประเทศเริ่มนิ่งและผลงานของบริษัทดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดย PAP มีกำไรสุทธิ 66.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 123.80 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 57.39 ล้านบาท หรือกำไรเพิ่ม 215.68 % โดยบริษัทมีรายได้รวม 761.50 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่างวดเดียวกันของปีก่อน 277.15 ล้านบาทหรื 26.68% อันเกิดจากราคาขายของเหล็กปรับตัวลดลงเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่วนต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายในการขายลดลง

" ไตรมาส 4 ปี52 เชื่อว่าตัวเลขน่าจะใกล้เคียงกับกับไตรมาส 3 หรืออาจต่ำกว่าเนื่องจากราคาวัตถุดิบอย่างเหล็กผันผวนขยับขึ้นมาแตะ 21 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมที่อยู่ระดับ 20 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาที่ถือว่าไม่น่าตกใจนัก เพราะเมื่อปี 51 ราคาเหล็กผันผวนมาก โดยไต่ระดับไปที่ 25 บาทต่อกิโลกรัมก่อนพุ่งไปที่ 36 บาทต่อกิโลกรัม ยากต่อการคาดคะเน แต่ถ้าเทียบกับปีก่อนไตรมาสนี้เราจะดีกว่า " นายสมชัยกล่าว

โดยหลังจากที่ก่อนหน้า บริษัทเคยเก็งกำไรจากราคาเหล็กตามภาวะตลาดด้วยการสต๊อกไว้ปริมาณมากแม้จะระมัดระวัง แต่ก็ทำให้เกิดผลขาดทุน จนส่งผลให้บริษัทขาดทุนจากการสต๊อกเหล็ก ดังนั้นจึงได้หันมาเน้นบริหารต้นทุนด้วยการระบายสินค้าในสต๊อก เพื่อลดปริมาณและหันมาเน้นการระบายวัตถุดิบในสต๊อกให้อยู่ในระยะเวลา 3 เดือนเพื่้อป้องกันผลขาดทุนหลังจากปีก่อนราคาเหล็กผันผวนหนัก ดังนั้น แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว เงินเฟ้อจะสูงขึ้น แต่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ภายใต้แบรนด์ของตัวเองค่อนข้างเน้นเรื่องของคุณภาพและพยายามทำการค้าแบบไม่หวือหวา เพื่อป้องกันความเสี่ยง

นายสมชัยกล่าวว่า ปี 53 จะเน้นทำการตลาดมากขึ้น ด้วยการหาตลาดใหม่ ๆ ในสหรัฐฯ แคนาดา นอกเหนือจากตลาดเดิม ๆ ที่เคยส่งจำหน่ายอย่างตะวันออกกลาง สิงคโปร์ เป็นหลัก แต่ในปี 52 บริษัทแทบไม่มีการส่งออกเลย จากเดิมที่ส่งออก 15-20% เหลือเพียง 1 % เท่านั้น อันเป็นผลจากวิกฤตทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทำให้ดีมานด์ในตลาดแทบไม่มี

" สหรัฐฯน่าจะไปได้ดี เพราะประเทศ เขาไม่ผลิตสินค้าพวกนี้แล้ว เนื่องจากต้องใช้แรงงานพอสมควร ซึ่งจะมีต้นทุนสูง ขณะที่จีนเองก็ต้องจ่ายภาษีถูกแอนตี้ดัมปิ้ง 10% ส่วนเราจ่ายเพียง 5% ดังนั้นจะทำให้เราเราสู้ราคาได้ "

โดย PAP ยังคงเป้าหมายการจำหน่ายสินค้าท่อขนาดใหญ่ ขนาด 20 นิ้ว ที่สัดส่วน 20% ที่เหลือเป็นท่อขนาดอื่น ๆ ซึ่งท่อที่เป็นพาณิชย์จะเป็นท่อขนาดกลางคือ 4 นิ้วถึง 8 นิ้ว เพราะท่อขนาดนี้จะใช้ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ส่วนท่อขนาดใหญ่ถือว่าตลาดยังคงแคบเพราะการใช้ท่อขนาดนี้จะใช้ในอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ เช่นการก่อสร้างอาคาร เป็นต้น ขณะที่ตัวเลขมาร์จิ้นของสินค้าที่ผลิตอยู่ที่ 5% ขณะการขายสินค้ากำหนดที่ราคา SPOT

" การตลาดของธุรกิจของเราถือว่ารุนแรงมากขึ้น จากก่อนหน้าที่คู่แข่งมีน้อยรายมาก แต่ปัจจุบันพบว่ามีหลายเจ้าที่หันมาผลิตสินค้าเช่นดียวกับเรา เราจึงต้องปรับกลยุทธ์ด้านการตลาดมากขึ้น ซึ่งปีหน้าเราจะหันมาลงทุนตั้งออฟฟิศเซ็นเตอร์ในต่างจังหวัดเพื่อสะดวกต่อการติดต่อกับลูกค้าหวังให้เป็นศูนย์กลางในกาตติดต่อกับศูนย์กลางที่กรุงเทพ ฯ เพื่อกระจายสินค้าให้ทั่วถึงลูกค้าในต่างจังหวัด ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างศึกษารายละเอียดและความชัดเจนจะเห็นในปีหน้า "

นายสมชัยกล่าวว่าเชื่อว่าปี 53 แม้ปีนี้จะผิดแผนบ้าง เนื่องจากมองว่าเม็ดเงินจากโครงการเมกะโปรเจ็กต์และโครงการไทยเข้มแข็งจะออกสู่ตลาดในปีนี้ทว่าล่าช้าไปกว่าที่กำหนด แต่เชื่อว่าปีหน้าเม็ดเงินจะไหลเข้าสู่ระบบบ้าง เพราะอย่างน้อยโครงการรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ เริ่มชัดเจนและเซ็นสัญญาแล้ว ดังนั้น การก่อสร้างและความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างที่เกี่ยวเนื่องต่าง ๆ ย่อมเกิดขึ้น และจะส่งผลดีต่อบริษัทด้วย ซึ่งปัจจุบัน PAP มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 3 แสนตัน เป็นกำลังการผลิตที่ยังไม่เต็มที่นัก เพราะการเพิ่มกำลังผลิตเพื่อรองรับการเติบโตและความต้องการภาคการก่อสร้าง แต่เมื่อภาคการก่อสร้างขนาดใหญ่ชะลอตัวตามวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปี 51 ทำให้ความต้องการสินค้าลดลง

อย่างไรก็ดี ปีหน้า PAP ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้จากปีนี้ระดับ 20% เพราะมองว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวให้เห็นแล้ว และเชื่อว่าการเมืองน่าจะนิ่งกว่าที่ผ่านมา เพราะเมื่อเกิดการเมืองวุ่น ทำให้โครงการต่าง ๆ ไม่เกิดขึ้นและการลงทุนไม่มี ทำให้ดีมานด์กับซัพพลายไม่สอดคล้องกัน และบางโครงการล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น จึงทำให้สินค้าล้นตลาดเกิดการแข่งขันสูง

สำหรับการลงทุนใหม่ ๆ นั้น บริษัทก็ให้ความสนใจเช่นกัน แต่ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนเนื่องจากการลงทุนต้องค่อยเป็นค่อยไปและปัจจุบันบริษัทยังไม่ชัดเจน เพราะมีหลากหลายอย่างที่สามารถต่อยอดธุรกิจได้ ปัจจุบัน PAP มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ( D/E RATIO ) ที่ระดับ 0.75-0.80 เท่า ซึ่งถือว่ายังต่ำในการทำธุรกิจ แต่ผู้บริหารให้เหตุผลว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะก่อหนี้ แต่เมื่อถึงเวลาจะใช้เงินก็ต้องใช้เพื่อการลงทุน
กำลังโหลดความคิดเห็น