xs
xsm
sm
md
lg

ดวงชะตาเมืองไทย 2553 : ตอนที่ 1 ปฐมบท ดวงชะตาเมืองไทยกับเจตนารมณ์เมื่อครั้งเเรกเริ่มก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์

เผยแพร่:   โดย: ณัฐ นรรัตน์

โดย อ.ณัฐ นรรัตน์

การก่อกำเนิดเกิดสถาบันเล็กๆ ตั้งต้นตั้งเเต่ครอบครัวเดี่ยว พัฒนาการไปจนถึงครอบครัวรวม ที่มีทั้งพ่อเเม่ลูกปู่ย่าตายายเรื่อยไป จากรุ่นสู่รุ่น เชื่อเเน่ว่าหลายท่านผู้อ่านย่อมต้องมีประวัติความเป็นมาของวงศ์ตระกูลของตนโยงลากยาวจากรุ่นเเรกๆ ที่ยังจำได้เเตกสายแตกเหล่าจนกลายเป็นเเผนผังญาติพี่น้องพ่อเเม่บรรพบุรุษสืบต่อเนื่อง จนน่าจะสับสนในบางช่วงของตนเองไปบ้างเนื่องด้วยการบันทึกจดจำมีการขาดตอนตามกาลเวลา นั่นเป็นเพียงจุดเล็กๆ ของส่วนหนึ่งที่ยิ่งใหญ่มหาศาลกว้างไกลในทุกมิติกว่ามากเเสนมากซึ่งก็คือ การก่อกำเนิดของประเทศชาติโดยเฉพาะ ชาติไทย ในอดีตเรามีชนชาติบรรพบุรุษที่เชื่อว่าเป็นรากของคนไทยในปัจจุบัน มาเเต่ครั้งสมัยน่านเจ้า ต่อมาด้วยยุคเเห่งประวัติศาสตร์ กรุงสุโขทัยจากนั้นเวลาก็เคลื่อนคล้อยขึ้นมาถึงยุคกรุงศรีอยุธยาเมืองเเห่งความเจริญถึงขีดสุดในความสุขเเละอาณาเขตที่กว้างใหญ่ไพศาล กาลเวลาก็ยังมิได้หยุดอยู่กับที่ย่อมปูทางมาถึงรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กรุงธนบุรีเเต่วันเวลาก็พาบรรพบุรุษของเรามาถึงทางเเยกอันสำคัญเป็นรอยต่อของการผลัดเปลี่ยนตามกงล้อของกาลเวลาหรือบางท่านจะว่าเป็นเพราะโชคชะตา ซึ่งเข็มเวลาได้ชี้อย่างชัดเจนจนมาถึง ยุคทองคำ ยุคเเห่งการพัฒนาอย่างรวดเร็วในทุกๆด้านซึ่งก็คือ “กรุงรัตนโกสินทร์”

ปฐมบรมกษัตริย์ของกรุงรัตนโกสินทร์หรือราชวงศ์จักรีซึ่งก็คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อครั้งในช่วงเวลาที่ทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติเมื่อพระชนม์มายุ 47 พรรษา ในกาลเวลาครั้งต้นปีพุทธศักราช 2325 พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่า กรุงธนบุรีเป็นเมืองเล็กไม่เหมาะจะเป็นราชธานี ตัวพระราชวังก็อยู่ในระหว่างวัดเเจ้งกับวัดท้ายตลาด จะขยับขยายได้ยาก ส่วนฝั่งตรงข้ามนั้น มีอาณาเขตกว้างขวาง เเม้ข้าศึกมารุกรานก็ป้องกันได้ง่าย จึงโปรดให้พระยาธรรมาธิกรณ์กับพระยาวิจิตรนาวี เป็นผู้อำนวยการวางเเบบเเปลนเเละเป็นเเม่กองคุมช่างเพื่อที่จะสร้างพระนครเเละหาตำเเหน่งวางศิลาฤกษ์ เพื่อจะทำการวางดวงพระชะตาเมือง หลักเมืองเป็นประเพณีพราหมณ์มีมาตั้งเเต่อินเดียในอดีต ที่ต้องสร้างหลักเมืองอีกประการสืบเนื่องจากการรวมตัวกันตั้งเเต่สถาบันครอบครัวหลายๆครัวก่อให้เกิดชุมชนหลายชุมชนก่อให้เกิดหมู่บ้าน หลายๆหมู่บ้านก่อให้เกิดเมืองเเละหลายๆเมืองมารวมตัวกันจึงก่อให้เกิดประเทศเสมือนดั่งนครหลายๆ นครรวมกันจึงเป็นมหานคร โดยมีกรุงเทพเป็นจุดศูนย์กลางของประเทศสยามในเพลาดังกล่าวตั้งเเต่นั้นเป็นต้นมา

พิธีการยกเสาเอกหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเสาหลักเมืองจึงมีความสำคัญในลักษณะของการรวมกลุ่มกันหลากหลาย เมืองย่อมต้องมีหลัก เพื่อเป็นสิ่งรวมจิตใจเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นปึกเเผ่นของคนในชาติเเละเพื่อให้รู้สึกถึงความมั่นคงในการร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียวกันต่อจากนี้เป็นต้นไป เสาหลักเมืองนั้นทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์เป็นไม้มงคลข้างในเป็นช่องบรรจุเทวรูปเทพารักษ์พระหลักเมืองเเละพระสุพรรณบัตรจารึกดวงชะตาเมือง ซึ่งวันเวลาของการวางฤกษ์ก่อตั้งดวงเมืองของกรุงรัตนโกสิทร์ตรงกับจันทรคติกาลใน วันอาทิตย์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีขาล ปีพุทธศักราช 2325 เวลาย่ำรุ่งเเล้วเก้าบาท โดยตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 คำว่าย่ำรุ่งเเล้วเก้าบาทนั้นเเปลได้ว่า คำว่าย่ำรุ่งก็คือหกโมงเช้าเเละในสมัยก่อน ช่วงเวลา 1 บาทนั้นมี 6 นาที ดังนั้นเก้าบาทจึงเป็นเวลาเท่ากับ 54 นาที นั่นเองจึงสรุปวันเวลาที่เเท้จริงของดวงพระชะตาเมืองได้ว่า ก่อตั้ง ณ.วันอาทิตย์ที่ 21 เดือนเมษายน ปีพุทธศักราช 2325 เวลา 06:54 น. จากนี้เรามาเจาะลึกถึงสิ่งที่ปรากฎในดวงพระชาตาเมืองไทยว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่1 พระองค์ทรงมีพระปรีชาญาณในการพิจารณาโปรดเกล้าให้ใช้ฤกษ์ดวงพระชะตาเมือง ด้วยวันเดือนปีเเละเวลาอันเป็นมิ่งมงคลที่ดียิ่งต่อประเทศชาติเเละพสกนิกรจากวันนั้นจนมาถึงวันนี้ อย่างไรบ้าง

ดวงพระชะตาเมืองไทยมีลัคนาสถิตย์อยู่ในราศีเมษ เป็นราศีเเม่ธาตุไฟโดยมีดาวพระอาทิตย์ 1 กุมจุดเกิดซึ่งดาวอาทิตย์เปรียบเสมือนเป็นตัวเเทนของพระมหากษัตริย์เมื่อเข้ามาประทับ ณ.จุดลัคนาซึ่งก็คือบ้านเมือง ประเทศเเปลความให้เห็นถึง ประเทศไทยเรานี้นั้นประชาชน ความสงบสุขของบ้านเมืองของประเทศเเละพระมหากษัตริย์ย่อมเป็นหนึ่งเดียวกันเสมอไม่มีทางเเยกขาดจากกันได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาวที่เป็นตัวเเทนพระราชาก็คือดาวพระอาทิตย์ 1 ได้ตำเเหน่งในมุมชะตาเป็นถึงมหาอุจจ์เเปลว่ามีกำลังสูงที่สุด จึงเป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงบ้านเมืองนี้ย่อมมีกษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถเเละเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนอยู่คู่กันเเละหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวมาโดยตลอดเเยกขาดจากกันไม่ได้ไม่มีทางอย่างเด็ดขาดบวกกับดาวอาทิตย์ 1 ที่ได้ตำเเหน่งมหาอุจจ์เเปลว่ามีกำลังสูงที่สุด ย่อมเป็นเครื่องยืนยันถึงความเเข็งเเกร่งเป็นพลังวาสนาชั้นสูงสุดของโหราศาสตร์ไทย ที่หมายถึงพระมหากษัตริย์ไทยเรานี้จะไม่มีวันที่ใครจะมาทำร้ายทำลายลงได้อย่างเเน่นอน เหนือกว่านั้นผู้ที่คิดบั่นทอนสถาบันสูงสุดในมุมชะตาดาวตัวเเทนอริศัตรูของประเทศมีตำเเหน่งเป็นนิจจ์เเปลว่าหมดพลังไร้กำลังความต่อเนื่อง ย่อมเป็นที่ประจักษ์ให้เห็นอย่างชัดเจนในอดีตที่ผ่านมาสำหรับผู้คิดร้าย ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนเเปลงย่อมพบจุดจบอย่างคาดไม่ถึงมาทุกยุคทุกสมัย

หนำซ้ำทุกการกระทำอันมิบังควรในทุกเหตุการณ์ที่ผ่านๆมากลับจะทำให้ดาวอาทิตย์ 1 ตัวเเทนพระราชามีกำลังย้อนคืนกลับมาอย่างรวดเร็วเเละรุนเเรงกว่าเดิมหลายเท่าตัวในทุกครั้ง เพิ่มความเเข็งเเกร่งของดวงดาวที่เป็นตัวเเทนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้โดดเด่นมากขึ้นกว่าเดิมในทุกครา เป็นไปได้อย่างยิ่งถ้าเราย้อนอดีตกลับไปดูในสมัยกรุงศรีอยุธยาจะเห็นถึงการโค่นล้มราชวงศ์ น้องฆ่าพี่ หลานฆ่าอา เเม่ทัพล้มเจ้านายของตน เป็นอย่างนี้ครั้งเเล้วครั้งเล่าจนในปลายรัชสมัยเเทบไม่เหลือคนเก่ง คนดี มีฝีมือในการปกป้องอาณาประชาราษฎร์ ด้วยเหตุนี้เองการวางดวงชะตาของระบอบสถาบันสูงสุดในการเริ่มต้นพระนครใหม่เมื่อครั้งพ.ศ. 2325 รัชกาลที่1จึงทรงตั้งพระทัยดำริให้ดวงดาวซึ่งเป็นตัวเเทนของสถาบันพระมหากษัตริย์มีความเเข็งเเกร่ง คงทนเเละสมบูรณ์เเบบที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเห็นการโค่นล้มผลัดเปลี่ยนอำนาจของจุดศูนย์รวมจิตใจของคนในประเทศก็คือพระเจ้าอยู่หัวเเบบเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาอีกต่อไป

การนี้จึงปรากฎผลสืบต่อมาในลักษณะเปรียบเทียบระหว่างสมัยกรุงศรีอยุธยาเเละสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ก็จะเห็นความเเตกต่างได้อย่างชัดเจนเมื่อพูดถึงความมั่นคงในระบอบกษัตริย์ทั้งสองยุค

ประการต่อมาเราจะเห็นได้อีกว่าดาวพระจันทร์ 2 ในพื้นชะตาอยู่ในเรือนภพพันธุ ดาวพระจันทร์หรือดาวจันทร์นี้เป็นตัวเเทนของเเม่ เพราะพระอาทิตย์ 1 นั้นเป็นตัวเเทนของพ่อ โดยที่ดาวจันทร์ยังมีกำลังอยู่ในขั้นสูงมากๆคือมีตำเหน่งที่เรียกตามตำราโหราศาสตร์ไทยว่าเป็นถึง เกษตราธิบดี เเปลว่ามั่นคงเพราะในสมัยก่อนการที่ผู้ใดจะมีความมั่นคงในชีวิตในทรัพย์สินได้นั้นย่อมต้องมีเครื่องชี้วัดอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือจำนวนการครอบครองพื้นที่เรือกสวนไร่นา ผู้ที่มียศฐาบรรดาศักดิ์สูงๆ ก็จะมีที่ดินไว้ทำการเกษตร ทำการเพาะปลูกหรือไว้ครอบครองเป็นจำนวนมาก ดังนั้นคำว่าดาวดวงนั้นได้ตำเเหน่งเกษตราธิบดีย่อมต้องมีความสมบูรณ์เเละความมั่นคงอยู่ในตัวเเล้วนั่นเอง ในดวงเมืองดาวจันทร์2 อยู่ในเรือนภพพันธุเเปลให้เห็นถึง บ้านเมืองเรานี้ย่อมมีความสมบูรณ์ในพื้นที่ ที่ดิน ในน้ำมีปลาในนามีข้าว มีความอุดมสมบูรณ์ของเเปลงเกษตร ภาคเกษตรกรรมผลิตผลงานอันมีคุณภาพออกมา น้ำท่าค่อนข้างสมบูรณ์ ภัยธรรมชาติที่จะเข้ามาทำลายเสมือนดั่งต่างประเทศที่เกิดเหตุภัยธรรมชาติอย่างรุนเเรงนั้นไม่มี บ้านเมืองเราตั้งเเต่วางฤกษ์พระชะตาเรื่อยมา นั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงที่ดิน สภาพอากาศ สิ่งเเวดล้อม ชีวิตความเป็นอยู่เปรียบได้ดั่งเเผ่นดินทอง เหมาะเเก่การทำการเกษตรเเละสร้างผลประโยชน์จากผืนดินเเทบจะทุกตารางนิ้ว เช่นเดียวกันที่ดาวจันทร์ 2 ตัวเเทนของความเป็นเเม่เเละถ้ามองลึกไปกว่านั้นความเป็นเเม่ของเเผ่นดิน นั้นก็คือพระราชินี ในตำเเหน่งของดวงดาวจันทร์ 2 อยู่ในเรือนภพพันธุ ก็คือความร่มเย็นของบ้านเมือง ความสุขในการอยู่อาศัยในประเทศไทยเรานี้ เเปลความตามดาวจะได้ดังนี้ ในบ้านเมืองเรานอกจากจะมีดาวพระอาทิตย์ 1 ซึ่งก็คือพ่อของเเผ่นดินมีกำลังสูงสุดในดวงเมืองซึ่งจะนำพาความสุข นำพาอนาคตที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรให้สมบูรณ์ตามพื้นที่เเต่ละพื้นที่ได้มากที่สุดเเละเป็นศูนย์รวมจิตใจ ของคนทั้งประเทศเเล้ว ยังมีพระราชินี ที่ตามพระชะตาดวงเมืองเมื่อครั้งเเรกเริ่มตั้งพระนคร ก็อยู่ในมุมของการให้ความรัก ให้ความสุขเเละให้ความร่มเย็นต่อลูกหลานของพระองค์อย่างต่อเนื่องเเละมากขึ้นเรื่อยๆ เสมอมามิได้ขาด

การวางฤกษ์เช่นนี้เองที่ตอกย้ำให้เห็นถึงพระปรีชาญาณของบูรพกษัตราธิราชเจ้าชาวไทยซึ่งทรงเล็งเห็นอนาคตความเป็นไปในบ้านเมืองของลูกหลานของพระองค์เเละหาวิธี ค้นทางออกในกาลต่อมาถึงความร่มเย็นเป็นสุข ความสงบสุขในบ้านเมืองจะบังเกิดมีได้นั้น ตัวเเทนของสิ่งที่จะต้องเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติที่มิอาจจะเเยกขาดจากกันได้ตลอดกาลซึ่งอันเป็นมหามงคลตามดวงพระชะตาเมืองนั้นก็คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยของเรานั่นเอง

(ในครั้งต่อไปพบกับ วิเคราะห์ดวงชะตาเมืองไทยเมื่อครั้งเเรกเริ่มเเบบเจาะลึกตอน 2 ในมุมดาวดวงอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อคนในประเทศเเละระบบต่างๆของประเทศ จากนั้นในตอนที่ 3 จะว่าด้วยเรื่อง ผ่าอนาคตดวงชะตาประเทศไทยในปี พ.ศ.2553 )
กำลังโหลดความคิดเห็น