ปลายปี 2552 วันที่ 28 ธันวาคม ขณะที่คนเสื้อแดงกลุ่มสมยศ พฤกษาเกษมสุขจัดงาน “ตากสินมหาราช : กฤษฎาภินิหารอันบดบังมิได้” เพื่อตอกย้ำข้อมูลการปราบดาภิเษกของปฐมบรมกษัตริย์ต้นราชวงศ์จักรีเมื่อ 227 ปีก่อน เพื่อสื่อสัญลักษณ์บางประการมาสู่การเมืองไทยวันนี้โดยปรากฏข้อความในสื่อของพวกเขาว่า “แม้จะสิ้นวงศ์ไปแล้ว และแม้เหตุการณ์ผ่านไปนานถึง 227 ปี แต่กฤษฎาภินิหารของพระเจ้าตากสินมหาราชนั้นก็บดบังมิได้” และจักรภพ เพ็ญแขเขียนบทความชิ้นล่าสุดของเขาบอกตอนหนึ่งว่า “ข้อเสวนาในเวลาอันควรเพื่อให้ประเทศชาติอยู่รอดได้ จึงต้องเกี่ยวข้องกับพระราชอำนาจโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้” ผมนั่งไปดูงานที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน บนโต๊ะข้างหน้ามีปากกาลูกลื่นของสำนักงานอยู่ด้ามหนึ่ง จารึกบนปากกานั้นทำให้ครุ่นคิดไปหลายประการ
“หากคนดีนิ่งเฉย...คนไม่ดียิ่งแพร่พันธุ์”
ครุ่นคิดถึงบทความที่นำเสนอ ณ ที่นี้ว่าพวกเราต้องเตรียมความคิดไว้รับมือกับข้อเสนอของคนเสื้อแดงบางกลุ่มและนักวิชาการจำนวนหนึ่งหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งใหญ่ เพราะหนึ่งในข้อเสนอนั้นจะเลยไปถึงรัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์แน่นอน และพวกเราจะรับมือด้วยการด่าอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องตอบโต้ด้วยปัญญาและข้อเท็จจริงของประเทศไทย
ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่าไม่ได้คิดมากไปเอง พวกเขาเอาแน่ !
พลิกดูปากกาที่จารึกคำคมแล้ว อยากจะเสนอเพิ่มเติมว่าในมุมมองของผมควรจะเพิ่มประโยคหนึ่งตรงกลาง เป็นดั่งนี้ครับ
“หากคนดีนิ่งเฉย และไร้การจัดตั้ง คนไม่ดียิ่งแพร่พันธุ์”
ขอขีดเส้นใต้ตรงคำ “ไร้การจัดตั้ง” ด้วย !
คนเสื้อแดงวันนี้แม้จะแตกความคิดเป็นหลากหลายกลุ่ม บางกรณีก็ขัดแย้งกัน แต่ที่เห็นกันแน่นอนคือพวกเขาพยายามจัดตั้งให้เป็นระบบ และพยายามจะยกระดับให้ห่างออกมาจากแค่การสนับสนุนบุคคลและโจมตีบุคคลมาเป็นลักษณะที่พอจะเรียกได้ว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น
ปกติแล้วไม่ว่าจะจัดตั้งกันอย่างไร ก็ยากจะทัดเทียมการจัดตั้งขององค์กรราชการทหาร ตำรวจ มหาดไทย และ ฯลฯ ที่เป็นหลักให้รัฐไทยสมัยใหม่มากว่า 100 ปี แต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่ปกติครับ แม้องค์กรราชการจะยังมีความเข้มแข็งในทางการจัดตั้งอยู่ แต่เวลาผ่านไป เทคโนโลยีการสื่อสารพัฒนาขึ้น สถานการณ์การเมืองทั้งในประเทศและนอกประเทศไม่เหมือนเดิม ที่ว่าได้เปรียบเห็น ๆ ก็ไม่แน่เสมอไปในระยะยาว
โดยเฉพาะความคิดนำของคนระดับบนที่ผมค่อนข้างเห็นว่าดูเบาความหนักเบาของสถานการณ์เกินไป
และพยายามจะวางตัวเป็นกลาง
ภาระของคนดีนอกองค์กรราชการทหาร ตำรวจ มหาดไทย และ ฯลฯ จึงหนักหนาสาหัสขึ้น
เราต้องทิ้งคำถามทำนองว่า “เมื่อไหร่จะจบ” ไป เพราะศึกนี้ไม่จบง่ายอย่างที่คิดกันแน่นอน ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ถ้าเรานิ่งเฉย หรือเคลื่อนไหวในลักษณะไร้การจัดตั้ง อะไรจะเกิดขึ้น เมื่อไร และอย่างไร
ผมตอบไม่ได้ และไม่คิดจะตอบ
ในฐานะที่ต้องเขียนบทความชิ้นนี้ล่วงหน้าเกือบ 1 สัปดาห์ นึกถึงบทความที่เคยเขียนไว้ ณ ที่นี้เมื่อไม่นานมานี้เรื่อง “กบทูจะหัก” จำได้ไหมครับพี่น้อง
“แผ่นดินจะกลับ ก็เหมือนไฟดับสิ้นแสง ถ้ากบทูจะหัก จะเอาไม้น้อยค้ำยัน มิอาจจะทานกำลังไว้ได้”
“คฤหาสน์ใหญ่ใกล้พังทลาย จะเอาเสาไม้น้อยค้ำยันนั้นไม่ได้”
เป็นคำกล่าวของซีซี ที่ปรึกษาคนหนึ่งของเล่าปี่
กบทูเป็นคำไทยสมัยเก่า แปลว่าคานยอดหลังคา
ผมรู้สึกอย่างนี้หลายครั้งตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ครั้งล่าสุดก็วันที่ท่านนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะกรุณาให้เกียรติไปตอบกระทู้ด่วนเรื่องเกี่ยวกับการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ที่วุฒิสภาครั้งล่าสุด
ปัญหาหนักหนาสาหัสวันนี้ที่เกิดขึ้นกับบ้านเมือง และสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นผลมาจากการรัฐประหาร 19 กันยาน 2549 ที่รัฐประหารแล้วไม่ดำเนินการปฏิวัติประชาธิปไตย – หรือจะเรียกว่าปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ – อย่างต่อเนื่อง เหตุผล 4 ประการของความจำเป็นในการรัฐประหารที่ระบุไว้ในแถลงการณ์ฉบับที่ 1 นั้นถูกแล้ว แต่ผิดที่ไม่ได้ดำเนินการต่อเนื่องหลังจากนั้น แถมยังไม่เลือกวิธีการผิด ๆ ที่ล้มเหลวมาแล้วของระบอบเผด็จการทหารรุ่นเก่า ๆ มาปัดฝุ่นใช้อีก ผมไม่อยากจะพูดฟื้นฝอยหาตะเข็บ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีบางคนคิดง่าย ๆ ว่าเรื่องนี้มันง่าย ๆ เหมือนก่อน จึงไม่คิดจะใช้ช่วงเวลาของอำนาจคณะปฏิวัติทำอะไรที่ทำไม่ได้ในยามปกติ ทำเพื่อปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่นะครับ ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง กลับประกาศว่าจะไม่ใช้อำนาจ และจะคืนประชาธิปไตยให้โดยเร็วที่สุด โดยให้มีเลือกตั้งภายในเวลาเท่านั้นเท่านี้ แล้วก็ดำเนินยุทธวิธีที่พยายามแยกสลายพรรคไทยรักไทย แล้วดึงนักการเมืองอาชีพออกมาตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมาให้ภักดีต่อทหาร โดยหาเงินใส่ลงไป แล้วก็พยายามผลักดันให้มีการเขียนกติกาใหม่ที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับการเลือกตั้งของพรรคการเมืองฝ่ายที่แอบสนับสนุนตน ซึ่งก็ปรากฏว่าล้มเหลว เดือดร้อนคนดีนอกระบบต้องออกมาเคลื่อนไหวกลางถนนยาวนาน 193 วันจนบาดเจ็บล้มตายไปนับสิบนับร้อย
มีสถานการณ์เอื้อต่อการนำไปสู่การปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ หรือจะเรียกว่าปฏิวัติประชาธิปไตย ก็ไม่มีใครที่พอมีศักยภาพคิดที่จะทำ
สุดท้ายก็ได้แค่การเปลี่ยนขั้วทางการเมือง
รัฐบาลใหม่หน้าตาดูดี แต่เนื้อหาหากใจเป็นธรรมแล้วก็ต้องยอมรับว่าแม้จะเอาใจช่วยกันอย่างไรก็เหนื่อยใจเหลือเกิน
จากเดิมจะเอารัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้ถูกยกระดับเป็นแตะรัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์
บางครั้งคนดีที่ไร้อำนาจวาสนาไม่ได้อยู่ในวงในอำนาจรัฐก็อยากจะวางเฉย วางมือตบ วางไมค์ วางปากกา ปล่อยให้พวกท่านรับผิดชอบบ้านเมืองไปตามแนวทางของท่าน แต่ก็ไม่อาจต้านทานจิตสำนึกที่จงรักภักดีอย่างถึงที่สุดได้
แม้จะรู้ว่าที่สุดก็อาจจะต้องเจ็บปวดอีกครั้ง
สวัสดีปีใหม่ครับ
ขอให้ระลึกว่าปีนี้พวกเราจะประสบ “สวัสดี” ได้ ขอความกรุณานำประโยคที่ผมเสนอมาไปพิจารณา....
“หากคนดีนิ่งเฉย และไร้การจัดตั้ง คนไม่ดียิ่งแพร่พันธุ์”
“หากคนดีนิ่งเฉย...คนไม่ดียิ่งแพร่พันธุ์”
ครุ่นคิดถึงบทความที่นำเสนอ ณ ที่นี้ว่าพวกเราต้องเตรียมความคิดไว้รับมือกับข้อเสนอของคนเสื้อแดงบางกลุ่มและนักวิชาการจำนวนหนึ่งหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งใหญ่ เพราะหนึ่งในข้อเสนอนั้นจะเลยไปถึงรัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์แน่นอน และพวกเราจะรับมือด้วยการด่าอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องตอบโต้ด้วยปัญญาและข้อเท็จจริงของประเทศไทย
ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่าไม่ได้คิดมากไปเอง พวกเขาเอาแน่ !
พลิกดูปากกาที่จารึกคำคมแล้ว อยากจะเสนอเพิ่มเติมว่าในมุมมองของผมควรจะเพิ่มประโยคหนึ่งตรงกลาง เป็นดั่งนี้ครับ
“หากคนดีนิ่งเฉย และไร้การจัดตั้ง คนไม่ดียิ่งแพร่พันธุ์”
ขอขีดเส้นใต้ตรงคำ “ไร้การจัดตั้ง” ด้วย !
คนเสื้อแดงวันนี้แม้จะแตกความคิดเป็นหลากหลายกลุ่ม บางกรณีก็ขัดแย้งกัน แต่ที่เห็นกันแน่นอนคือพวกเขาพยายามจัดตั้งให้เป็นระบบ และพยายามจะยกระดับให้ห่างออกมาจากแค่การสนับสนุนบุคคลและโจมตีบุคคลมาเป็นลักษณะที่พอจะเรียกได้ว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น
ปกติแล้วไม่ว่าจะจัดตั้งกันอย่างไร ก็ยากจะทัดเทียมการจัดตั้งขององค์กรราชการทหาร ตำรวจ มหาดไทย และ ฯลฯ ที่เป็นหลักให้รัฐไทยสมัยใหม่มากว่า 100 ปี แต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่ปกติครับ แม้องค์กรราชการจะยังมีความเข้มแข็งในทางการจัดตั้งอยู่ แต่เวลาผ่านไป เทคโนโลยีการสื่อสารพัฒนาขึ้น สถานการณ์การเมืองทั้งในประเทศและนอกประเทศไม่เหมือนเดิม ที่ว่าได้เปรียบเห็น ๆ ก็ไม่แน่เสมอไปในระยะยาว
โดยเฉพาะความคิดนำของคนระดับบนที่ผมค่อนข้างเห็นว่าดูเบาความหนักเบาของสถานการณ์เกินไป
และพยายามจะวางตัวเป็นกลาง
ภาระของคนดีนอกองค์กรราชการทหาร ตำรวจ มหาดไทย และ ฯลฯ จึงหนักหนาสาหัสขึ้น
เราต้องทิ้งคำถามทำนองว่า “เมื่อไหร่จะจบ” ไป เพราะศึกนี้ไม่จบง่ายอย่างที่คิดกันแน่นอน ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ถ้าเรานิ่งเฉย หรือเคลื่อนไหวในลักษณะไร้การจัดตั้ง อะไรจะเกิดขึ้น เมื่อไร และอย่างไร
ผมตอบไม่ได้ และไม่คิดจะตอบ
ในฐานะที่ต้องเขียนบทความชิ้นนี้ล่วงหน้าเกือบ 1 สัปดาห์ นึกถึงบทความที่เคยเขียนไว้ ณ ที่นี้เมื่อไม่นานมานี้เรื่อง “กบทูจะหัก” จำได้ไหมครับพี่น้อง
“แผ่นดินจะกลับ ก็เหมือนไฟดับสิ้นแสง ถ้ากบทูจะหัก จะเอาไม้น้อยค้ำยัน มิอาจจะทานกำลังไว้ได้”
“คฤหาสน์ใหญ่ใกล้พังทลาย จะเอาเสาไม้น้อยค้ำยันนั้นไม่ได้”
เป็นคำกล่าวของซีซี ที่ปรึกษาคนหนึ่งของเล่าปี่
กบทูเป็นคำไทยสมัยเก่า แปลว่าคานยอดหลังคา
ผมรู้สึกอย่างนี้หลายครั้งตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ครั้งล่าสุดก็วันที่ท่านนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะกรุณาให้เกียรติไปตอบกระทู้ด่วนเรื่องเกี่ยวกับการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ที่วุฒิสภาครั้งล่าสุด
ปัญหาหนักหนาสาหัสวันนี้ที่เกิดขึ้นกับบ้านเมือง และสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นผลมาจากการรัฐประหาร 19 กันยาน 2549 ที่รัฐประหารแล้วไม่ดำเนินการปฏิวัติประชาธิปไตย – หรือจะเรียกว่าปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ – อย่างต่อเนื่อง เหตุผล 4 ประการของความจำเป็นในการรัฐประหารที่ระบุไว้ในแถลงการณ์ฉบับที่ 1 นั้นถูกแล้ว แต่ผิดที่ไม่ได้ดำเนินการต่อเนื่องหลังจากนั้น แถมยังไม่เลือกวิธีการผิด ๆ ที่ล้มเหลวมาแล้วของระบอบเผด็จการทหารรุ่นเก่า ๆ มาปัดฝุ่นใช้อีก ผมไม่อยากจะพูดฟื้นฝอยหาตะเข็บ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีบางคนคิดง่าย ๆ ว่าเรื่องนี้มันง่าย ๆ เหมือนก่อน จึงไม่คิดจะใช้ช่วงเวลาของอำนาจคณะปฏิวัติทำอะไรที่ทำไม่ได้ในยามปกติ ทำเพื่อปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่นะครับ ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง กลับประกาศว่าจะไม่ใช้อำนาจ และจะคืนประชาธิปไตยให้โดยเร็วที่สุด โดยให้มีเลือกตั้งภายในเวลาเท่านั้นเท่านี้ แล้วก็ดำเนินยุทธวิธีที่พยายามแยกสลายพรรคไทยรักไทย แล้วดึงนักการเมืองอาชีพออกมาตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมาให้ภักดีต่อทหาร โดยหาเงินใส่ลงไป แล้วก็พยายามผลักดันให้มีการเขียนกติกาใหม่ที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับการเลือกตั้งของพรรคการเมืองฝ่ายที่แอบสนับสนุนตน ซึ่งก็ปรากฏว่าล้มเหลว เดือดร้อนคนดีนอกระบบต้องออกมาเคลื่อนไหวกลางถนนยาวนาน 193 วันจนบาดเจ็บล้มตายไปนับสิบนับร้อย
มีสถานการณ์เอื้อต่อการนำไปสู่การปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ หรือจะเรียกว่าปฏิวัติประชาธิปไตย ก็ไม่มีใครที่พอมีศักยภาพคิดที่จะทำ
สุดท้ายก็ได้แค่การเปลี่ยนขั้วทางการเมือง
รัฐบาลใหม่หน้าตาดูดี แต่เนื้อหาหากใจเป็นธรรมแล้วก็ต้องยอมรับว่าแม้จะเอาใจช่วยกันอย่างไรก็เหนื่อยใจเหลือเกิน
จากเดิมจะเอารัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้ถูกยกระดับเป็นแตะรัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์
บางครั้งคนดีที่ไร้อำนาจวาสนาไม่ได้อยู่ในวงในอำนาจรัฐก็อยากจะวางเฉย วางมือตบ วางไมค์ วางปากกา ปล่อยให้พวกท่านรับผิดชอบบ้านเมืองไปตามแนวทางของท่าน แต่ก็ไม่อาจต้านทานจิตสำนึกที่จงรักภักดีอย่างถึงที่สุดได้
แม้จะรู้ว่าที่สุดก็อาจจะต้องเจ็บปวดอีกครั้ง
สวัสดีปีใหม่ครับ
ขอให้ระลึกว่าปีนี้พวกเราจะประสบ “สวัสดี” ได้ ขอความกรุณานำประโยคที่ผมเสนอมาไปพิจารณา....
“หากคนดีนิ่งเฉย และไร้การจัดตั้ง คนไม่ดียิ่งแพร่พันธุ์”