xs
xsm
sm
md
lg

วิทยาลาออก เสธ.หนั่นรักษาการ นายกฯ รื้อไทยเข้มแข็ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการ - มียางอาย "วิทยา แก้วภราดัย" ไขก๊อก หลังถูกชี้ไทยเข้มแข็งใน สธ.ส่อทุจริต ยันไม่ผิด พร้อมให้สอบต่อ "มารค์" สั่งทบทวนทุกโครงการใน สธ. ให้ "เสธ.หนั่น" รักษาการ รอปรับ ครม.หลังปีใหม่ ด้าน ขรก.ที่ติดร่างแหโวย ผลสอบไม่เป็นธรรม "คำนูณ" จี้ทบทวนไทยเข้มแข็งทุกโครงการ

หลังจากคณะกรรมการสอบสวนการทุจริตโครงการไทยเข้มแข็งในกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โดยมี นพ.บรรลุ ศิริพานิช เป็นประธาน ได้สรุปและแถลงผลการสอบสวน เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. ที่ผ่านมา ระบุว่าโครงการดังกล่าว ส่อไปในทางที่จะทำให้เกิดการทุจริตจริง พร้อมเสนอให้มีการพิจารณาทบบทวนโครงการใหม่ทั้งหมด

เมื่อเวลา 10.30 น. วานนี้ (29 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการ ได้แถลงข่าว ลาออกจากตำแหน่งรมว. สาธารณสุข โดยนายวิทยา กล่าวว่า ตนได้อ่านรายงานสรุปผลการสอบสวนจากสื่อแล้วว่า ตนได้ปฏิบัติหน้าที่โดยบกพร่อง ก็ต้องขอบคุณคณะกรรมการฯ ที่ยืนยันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในกระทรวงสาธารณสุข เป็นความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ของตน

นายวิทยา กล่าวว่า ตลอด 1 ปีที่ได้บริหารงานกระทรวงสาธารณสุข ตนได้ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ในส่วนของโครงการไทยเข็มแข็ง เริ่มต้นด้วยการให้กรอบนโยบายในการจัดสรรงบประมาณ และก็ให้ความวางใจกับทุกคนในกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะที่เป็นข้าราชการ และรับราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมานานทุกคน และทุกคนได้ยืนยันว่า ได้จัดทำตามกรอบนโนบายที่ให้ไว้

แต่หลังจากนั้นก็ปรากฏข่าวคราวว่า มีพฤติกรรมบางอย่างที่ส่อไปในทิศทางว่า มีการเตรียมการทุจริต ตนก็ตัดสินใจที่จะป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่องบประมาณแผ่นดิน โดยสั่งตั้งคณะกรรมการฯ ขึ้นสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นในกระทรวงสาธารณสุข

กรณีมีการร้องเรียนว่า ราคาบางอย่างเกินความเป็นจริง ก็ให้ตั้งคณะกรรมการฯ ขึ้นทบทวนทุกรายการ ราคา และที่สำคัญได้สั่งให้ยุติโครงการทุกโครงการในโครงการไทยเข้มแข็ง จนกว่าการสอบสวนจะเป็นที่ประจักษ์ และการทบทวนจะเป็นที่ยอมรับกันในกระทรวงสาธารณสุข

**เตรียมยื่นใบลาออกวันนี้

หลังจากนั้น ตนก็ได้เสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อความโปร่งใส โดยเสนอให้ท่านตั้งน.พ.บรรลุ และพล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ สอบสวนกรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมด และเมื่อผลการสอบออกมาเช่นนั้น ตนก็คิดว่าได้รับความเป็นธรรมจากคณะกรรมการฯ ที่ยืนยันว่า ตนบกพร่องต่อหน้าที่

"แต่สิ่งที่ผมคิดว่าจำเป็นต้องเรียนนายกรัฐมนตรี และได้กราบเรียนไปแล้ว เป็นการตัดสินใจของผมก็คือ ผมจำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบต่อความรู้สึกประชาชน เมื่อประชาชนรู้สึกว่า กระทรวงนี้มีความบกพร่อง มีการทุจริต สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เป็นอันตรายที่สุดสำหรับระบบประชาธิปไตย สำหรับการเมือง และสำหรับเสถียรภาพรัฐบาล ผมขอยืนยันกับพี่น้องประชาชนทั้งหมดว่า โครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข บาทเดียวยังไม่มีใครได้โกง ผมยังไม่เคยได้อนุมัติงบประมาณแม้แต่บาทเดียวไปให้ใคร และผมได้ใช้กระบวนการระมัดระวังอย่างถึงที่สุด จนตั้งคณะกรรมการฯ ที่มีน.พ.บรรลุเป็นประธานในการสอบทั้งหมด เพราะฉะนั้นพี่น้องประชาชนไม่ต้องกังวล ทุกบาททุกสตางค์ ยังไม่มีการทุจริต แต่เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อความรู้สึกอารมณ์ของพี่น้องประชาชน วันนี้คณะกรรมการฯ บอกผมบกพร่อง ผมก็จะรับผิดชอบต่ออารมณ์ความรู้สึกที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชน และผมได้เรียนนายกรัฐมนตรีแล้วว่า วันพรุ่งนี้ ( 30 ธ.ค.) ผมจะยื่นใบลาออก จากการเป็นรัฐมนตรี เพื่อยืนยันว่านักการเมืองบางครั้งก็สามารถทำสิ่งที่ประชาชนต้องการได้ โดยไม่ฝืนความรู้สึกของพี่น้องประชาชน" นายวิทยา กล่าว

**พร้อมให้มีการสอบทุจริตต่อ

ผู้สื่อข่าวถามว่านอกจากลาออกแล้ว ต้องรับผิดชอบด้านอื่นด้วยหรือไม่ นายวิทยา กล่าวว่า ตนยื่นใบลาออกวันที่ 30 ธ.ค. ก็จะเรียนให้นายกรัฐมนตรี ตั้งกรรมการสอบทั้งหมด เพราะข้อกล่าวหาคือมีการเตรียมการทุจริต

ทั้งนี้ นายวิทยา ยืนยันว่า การลาออกครั้งนี้ เป็นเรื่องส่วนตัวที่ตนตัดสินใจเอง ไม่มีแรงกดดันจากคนในพรรคแต่อย่างใด

" ผมถูกข้อกล่าวหาบกพร่อง ก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ ส่วนเรื่องของเอกสารการสอบ ค่อยว่ากันอีกที" นายวิทยากล่าว

เมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยกับนายมานิต นพอมรวดี รมช.สาธารณสุข หรือไม่ในเรื่องการลาออก นายวิทยา กล่าวว่า ตนไม่ได้ซักถามท่าน เป็นเรื่องของตัวท่านเองที่จะตัดสินใจ ส่วนจะส่งผลต่อภาพลักษณ์รัฐบาลหรือไม่นั้น ต้องไปถามท่านเอง

เมื่อถามว่า การลาออกครั้งนี้เท่ากับเป็นการยอมรับตามข้อกล่าวหาหรือไม่ ว่าเป็นการบกพร่อง นายวิทยากล่าวว่า เขาบอกว่าตนบกพร่อง เมื่อถามต่อว่า ข้อเท็จจริงตรงนี้จะพิสูจน์อย่างไร นายวิทยา กล่าวว่า ก็จะพยายามพิสูจน์ให้เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ขอเวลา แต่คิดว่าวันนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า แค่ว่าบกพร่อง ก็พร้อมจะรับผิดชอบ แต่กระบวนการหลังจากที่เกิดขึ้นในกระทรวงฯ ก็จะให้ความร่วมมือกับภาคประชาชนทั้งหมด ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

"ผมยังเป็น ส.ส. ซึ่งต้องทำหน้าที่ คิดว่ากระทรวงฯต้องตั้งกรรมการสอบ โดยขณะนี้มีคณะกรรมการขึ้นมาทบทวนราคาทั้งหมด คณะกรรมการชุดทบทวนราคา ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารกระทรวงระดับรองปลัด จนถึงตัวแทนแพทย์ชนบท ทั้งหมดจะให้คำตอบได้ว่า ใครเป็นคนกำหนดราคาอย่างนั้นขึ้นมา"

เมื่อถามว่า มองว่ามีการวางยาในกระทรวงสาธารณสุขหรือไม่ นายวิทยา กล่าวว่า ตนไม่อยากจะตั้งใจให้กระทรวงนี้ได้วางยาใคร ตนยืนยันกระทรวงนี้ให้ยากับคนได้ แต่ไม่ควรจะวางยาใคร เมื่อถามต่อว่า การตรวจสอบของ นพ.บรรลุ ยืนยันได้หรือไม่ว่า มีความโปร่งใส นายวิทยา กล่าวว่า ตนกำลังอ่านรายละเอียดทั้งหมด แต่ว่าพาดหัวว่าตนบกพร่อง ตามข่าวทั้งหมดแล้ว ตนจะรับผิดชอบต่อประชาชาชน

**"มาร์ค" สั่งทบทวนใหม่หมด

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ตนได้แจ้งผลการสอบ กรณีโครงการไทยเข้มแข็งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ต่อที่ประชุมครม. โดยเรียนให้ทราบว่า คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดนี้ ตนเป็นผู้ตั้ง ตามคำแนะนำของนายวิทยา หลังจากที่มีข่าวความไม่โปร่งใสในปัญหาการเสนอโครงการ โดยนายวิทยา เสนอให้ตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลาง และมีความเชื่อถือ และมีความเป็นอิสระ ในการดำเนินการ เมื่อคณะกรรมการได้ดำเนินการมา 2 เดือน สรุปเรื่องมาถึงตน ก็มีข้อสรุปถึงความไม่เหมาะสมของโครงการต่างๆ รวมทั้งความบกพร่อง ส่อไปในทางทุจริตในกรณีต่างๆ พร้อมกันนี้ก็มีข้อสรุปหลักๆ 3 ข้อ คือ

1. เสนอให้มีการทบทวนโครงการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่คณะกรรมการฯเห็นว่าไม่น่าเป็นไปตามเจตนารมณ์ของโครงการไทยเข้มแข็ง และโครงการที่มีปัญหาในเรื่องความโปร่งใส อย่างเช่น การกำหนดวงเงิน หรือราคากลางเกินความเป็นจริง เป็นต้น

2. เสนอให้มีการดำเนินการกับข้าราชการประจำ ซึ่งแบ่งเป็นข้าราชการที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว ก็เสนอให้ส่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่วนที่เหลือ ก็เสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบ

3 . กรณีของนักการเมือง ก็ได้เสนอว่าเป็นอำนาจของตนที่จะดำเนินการโดยสนับสนุนให้ดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติที่ตนได้เคยมอบให้กับคณะรัฐมนตรีตั้งแต่ช่วงต้นรัฐบาล

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่าได้แจ้งที่ประชุมว่าได้มีการพบปะกับคณะกรรมการฯ เกือบทั้งคณะ และได้มีการสอบถามรายละเอียดในบางเรื่อง แต่ยังไม่มีโอกาสได้อ่านรายงานทั้งหมด เพราะมีเนื้อหาค่อนข้างยาวมาก แต่ที่ให้ถือเป็นแนวปฏิบัติ และเป็นมติครม. ข้อที่ 1 คือ จะส่งผลการตรวจสอบเรื่องของโครงการทั้งหมด ให้คณะกรรมการกลั่นกรองโครงการไทยเข้มแข็ง ประเด็นใดที่เป็นการบ่งบอกถึงการจะทำเป็นโครงการจัดซื้อ จัดจ้าง เช่น อุปกรณ์ที่ไม่ได้มีความต้องการที่แท้จริงของโรงพยาบาล ก็จะได้มีการยกเลิก ประเด็นซึ่งเป็นเรื่องของราคาที่สูงกว่าความเป็นจริง ก็ให้ไปทบทวนวงเงินลงมา

ส่วนประเด็นอื่นๆ ก็ต้องเป็นดุลพินิจของคณะกรรมการกลั่นกรอง เข้าใจว่า รายงานของคณะกรรมการฯ ในบางเรื่องก็จะพันไปถึงดุลพินิจในเชิงนโยบาย เช่น พูดว่า จัดซื้อจัดจ้างโรงพยาบาลจังหวัด มากกว่าอำเภอ ซึ่งคิดว่าเป็นเรื่องของนโยบาย ถ้ามีความเหมาะสมของโครงการก็จะไม่ไปยกเลิกโครงการเหล่านั้น ส่วนเมื่อมีการปรับลดทั้งในรายการที่ยกออกไปเลยก็ดี หรือการลดวงเงินในกรณีที่ราคากลางสูงเกินความเป็นจริงก็ดี ครม. เห็นชอบไม่ให้มีการจัดสรรเงินเหล่านี้กลับไปซื้ออะไรเพิ่มเติม หรือเพิ่มเติมอะไรใหม่ทั้งสิ้น อันนี้คือประเด็นแรกที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ

**ให้"เสธ.หนั่น"รักษาการแทน

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 2 เรื่องของข้าราชการ ก็เห็นชอบตามที่คณะกรรมการฯ เสนอ คือจะส่งกรณีของผู้ทีเกษียณอายุราชการแล้วให้ ป.ป.ช. พิจารณา ส่วนกรณีของข้าราชการ ก็จะดำเนินการ ตั้งคณะกรรมการสอบวินัย

"เพียงแต่ว่า ยังขอความเห็นที่ชัดเจนจากคณะกรรมการฯ เนื่องจากยังมีบางท่านถูกระบุไว้ชัดว่า ไม่ได้มีการทุจริต แต่มีความบกพร่อง ว่ากรณีเช่นนี้จะดำเนินการอย่างไร บังเอิญสอบถามกรรมการฯแล้ว กรรมการเองยังเห็นไม่ตรงกัน ส่วนข้อที่ 3 ท่านรัฐมนตรีวิทยาคงได้แถลงข่าวไปแล้ว ในการแสดงเจตนาที่จะออกจากตำแหน่ง เข้าใจว่า จะมีผลในวันที่ 30 ธ.ค.นี้ ได้ทราบผลจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีว่า นายมานิต นพอมรบดี รมช. สาธารณสุข จะแถลงข่าววันที่ 30 ธ.ค. นี้ ทั้งนี้เมื่อตำแหน่ง รมว.สาธารณสุขว่างลง โดยหลักการก็จะให้ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลกระทรวงเป็นผู้รักษาการ และในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ผมบอกได้ว่า จะไปประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค เมื่อเปิดทำการขึ้นมาในช่วงปีใหม่ เพราะเวลาทำการเหลือเพียงวันสองวัน อาจจะไม่สะดวกที่จะนัดคณะกรรมการบริหารพรรค และจะดำเนินการต่อไป เป็นสิ่งที่ผมได้เสนอต่อที่ประชุม และคงจะใช้เวลาไปอ่านรายงานโดยละเอียด หากมีประเด็นเพิ่ม เติมจะช่วยแก้ไขปัญหา ดูแลในเรื่องความโปร่งใสของกระทรวงสาธารณสุขอีกครั้งหนึ่ง" นายกรัฐมนตรี กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีของนายวิทยา จะถือโอกาสปรับครม. พร้อมกับตำแหน่งนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ จากรองนายกรัฐมนตรี ไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เลยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ก็คงได้เวลาไปพร้อมๆ กัน โดยในชั้นนี้จะปรับเท่าที่มีความจำเป็น

ส่วนจะรวมกรณีของน.พ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง ด้วยเลยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะจำกัดเฉพาะที่มีการกำหนดเอาไว้ และจะคุยกับกรรมการบริหารพรรคประมาณวันที่ 5-6 ม.ค.อีกครั้ง

เมื่อถามว่า กลางเดือนมกราคม จะได้รัฐมนตรีใหม่ มาทดแทนหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า กระบวนการของชื่อที่พรรคจะเสนอ และนำขึ้นทูลเกล้าฯ จะพร้อมในสัปดาห์หน้า

**กำชับ ครม.ดูไว้เป็นบทเรียน

เมื่อถามว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์อย่างนี้แล้ว ครม.ได้บทเรียนอย่างไรกับเรื่องนี้ และมีผลกระทบอะไรกับรัฐบาลบ้าง นายกฯกล่าวว่า ตนได้พูดคุยเรื่องนี้เป็นพิเศษในครม.ด้วย แต่เนื่องจากตนยังไม่ได้อ่านรายละเอียดของโครงการนี้ทั้งหมด ซึ่งก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับคณะกรรมการฯ และผู้ที่ถูกพาดพิง แต่สิ่งที่นายวิทยา แถลง ก็ได้ยืนยันในประเด็นที่ว่า งบประมาณเหล่านี้ ทั้งหมดยังไม่ได้มีการดำเนินการ และเรื่องนี้นายวิทยาได้เสนอให้มีการสอบ

"แต่การที่ตัดสินใจลาออกในวันนี้เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อความรู้สึกของประชาชน และผมได้ย้ำกับคณะรัฐมนตรีว่า ในหน่วยงานจะมีงาน มีโครงการมากมาย ไม่ใช่เฉพาะไทยเข้มแข็ง แม้ว่าจะรู้ หรือไม่รู้ แต่ถ้ามีเรื่องใดที่มีปัญหาต้องใส่ใจ และเร่งเข้าไปแก้ไขปัญหา เพราะในที่สุดแล้วสังคมจะถือว่า รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบ ซึ่งตรงนี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่ผมได้บอกกับครม.ไว้" นายกฯ กล่าว

**ยันจัดการเรื่องทุจริตเต็มที่

เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรที่รัฐบาลนี้พยายามปราบปรามเรื่องการทุจริต แต่ปัญหากลับมาเกิดกับคนที่นายกฯ ดูแลเอง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สิ่งที่นายวิทยา ให้เหตุผลก็คือไม่อาจตัดความรับผิดชอบต่อความบกพร่อง ส่อเจตนาไม่สุจริตกับเรื่องที่เกิดขึ้นในกระทรวง ซึ่งไม่ได้เจาะจงที่ นายวิทยา ดังนั้นต้องให้ความเป็นธรรมกับนายวิทยาด้วย

อย่างไรก็ตาม คิดว่า การที่นายวิทยาได้แสดงออกในวันนี้ ก็เป็นไปตามมาตรฐานหรือกฎเหล็ก ที่ตนได้ให้ไว้ชัดเจน และแนวทางที่ทำกันมาทั้งหมด จนถึงวันนี้ก็เป็นสิ่งที่เรายืนยันมาตลอดว่า เราต้องทำ ถ้าจะแก้ปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า คนที่ให้ข้อมูลก็เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นถึงอดีตเลขาธิการ รมต. เองที่ให้ข้อมูล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนยังไม่ได้ดูรายงานทั้งหมด เมื่อถามต่อว่า แต่คนที่ถูกระบุชื่อได้ลาออกไปก่อนหน้านี้แล้ว ถือเป็นการหนีความรับผิดชอบหรือไม่ นายกฯ กล่าวปฏิเสธว่า เปล่า พร้อมกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า

" ขอโทษนะครับ ผมว่าคุณต้องเข้าใจใหม่แล้วนะครับ เขาลาออกไปเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ เพื่อให้มีการสอบให้ได้เต็มที่ ถ้าลาออกไปแล้วบอกว่าเป็นการหนีความรับผิดชอบ แต่เวลาไม่ออก คุณบอกว่าไม่แสดงความรับผิดชอบ ตกลงจะให้เขาทำยังไงครับ" นายกรัฐมนตรีกล่าว และว่า ความผิดทางกฎหมาย ไม่ว่าจะออก หรือไม่ออก ก็หนีไปพ้น ส่วนความรับผิดชอบทางการเมือง ถ้าเขาลาออกแล้วก็นึกไม่ออกว่าจะแสดงความรับผิดชอบมากกว่านี้อย่างไร

เมื่อถามต่อว่านายกฯ เคยประกาศกฎเหล็ก 9 ข้อ จะไม่ทำอยู่เหนือกฎหมาย แล้วเหตุเกิดกับคนพรรคประชาธิปัตย์ถึง 2 ครั้ง นายกฯ จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไรบ้าง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ความรับผิดชอบที่เราได้ทำก็คือว่า ทุกเรื่องเมื่อเกิดเรื่องขึ้น มีการดำเนินการสอบ และแม้ว่าทั้ง 2 กรณี ยังไม่มีรายงานที่ระบุว่า เจ้าตัวผิด แต่เขาได้แสดงความรับผิดชอบ

"นี่คือมาตรฐานที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่มาตรฐานที่เราได้พบเห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นี่คือสิ่งที่เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล เป็นความรับผิดชอบในกระบวนการของพรรค และก็ไม่ได้ละเลย" นายกรัฐมนตรี กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะใช้โอกาสนี้ดูในส่วนของงบประมาณไทยเข้มแข็งทุกกระทรวงหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ได้ย้ำกับรัฐมนตรีทุกคนแล้ว และได้ย้ำสิ่งที่ทุกกระทรวงได้ใส่ใจ และเร่งดำเนินการ พร้อมทั้งขอให้ประชาชนได้มองว่า เวลามีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้น รัฐบาลนี้ไม่ได้ละเลย และบุคคลที่เกี่ยวข้องก็พร้อมที่จะตัดสินใจเพื่อสนองตอบต่อความรู้สึกของสังคม

นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า หากฝ่ายค้านจะนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตนก็พร้อมที่จะตอบ ซึ่งถ้าตนไม่ตัดสินใจดำเนินการ อยู่เฉยๆ และปล่อยให้เรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล 5-6 ปี ก็ทำได้ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้การเมืองดีขึ้น แต่ที่ทำตอนนี้ แม้ว่าผลที่ออกไป แน่นอนแม้จะมีความไม่ดีอยู่ แต่ขณะเดียวกันก็น่าจะเป็นแนวทางที่ทำให้เรามองเห็นว่า กรณีต่อไปนี้เรื่องความรับผิดชอบทางการเมือง หรือการดำเนินการ เวลามีข้อครหาหรือข้อมูลในการติดตามตรวจสอบ จะเอาจริงเอาจังอย่างไร

**จี้ สธ.แจงใช้งบ 33 ล้าน

แหล่งข่าวจากที่ประชุม ครม. แจ้งว่า นายอภิสิทธิ์ ใช้เวลากว่า 20 นาที พูดถึงกรณีที่นพ.บรรลุ นำผลสอบการทุจริตโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข มารายงาน นายกฯได้สอบถามทั้ง นายวิทยา แก้วภารดัย รมว.สาธารณสุข และนายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข ว่าแม้งบประมาณไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธาณสุข 8.6 หมื่นล้าน จะตั้งไว้แต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย ซึ่งในรายงานพบว่า มีงบประมาณ 33 ล้านบาท มีการใช้จ่ายไปแล้ว โดยงบ 33 ล้านบาท เกี่ยวข้องกับเงินในโครงการไทยเข้มแข็งหรือไม่ โดยนำมาเทียบเคียงกับงบประมาณแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง จำนวน 1.43 ล้านล้านบาท

"นายกฯเล่าว่าคณะผู้สอบสวน 10 คน เข้าพบหลังจากที่ได้ตั้งไปดูเรื่องนี้มากว่า 2 เดือน พบปัญหามากมาย ทั้งราคาที่สูงเกินจริง กำหนดสเปกไม่เป็นไปตามต้องการ โดยมีข้อเสนอว่า ให้ทบทวนโครงการไทยเข้มแข็ง ของสาธาณสุขทั้งหมด และพิจารณากับบุคคล 2-3 กลุ่ม ทั้งข้าราชการเมือง ข้าราชการประจำ และผู้ที่เกษียณอายุราชการ โดยยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการ ทั้งนี้ในส่วนของข้าราชการประจำให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย แต่ตรงนี้กลับไปมีปัญหาลักลั่น ตรงที่ปลัดกระทรวงสาธาณสุขคนปัจจุบัน มีชื่อเกี่ยวข้องด้วย "

แหล่งข่าวกล่าวว่า นายกฯ ได้สอบถามว่า หากจะทบทวนงบของกระทรวงสาธารณสุขทั้งหมด ควรจะเสนอเรื่องไปยังใคร ระหว่าง “คณะกรรมการกลั่นโครงการไทยเข้มแข็ง” ที่มีนายสถิต ลิ่มพงศ์พันธ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน หรือ “สำนักงบประมาณ” ซึ่งนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เสนอว่า ควรจะยื่นคณะกรรมการกลั่นกรองนโยบายไทยเข้มแข็ง อย่างไรก็ตาม ครม.เห็นว่า กรณีของงบประมาณไทยเข้มแข็งที่มีปัญหา จะต้องคืนให้หมด รวมทั้งงบประมาณที่สูงเกินจริงก็ต้องคืนเช่นกัน

โดยหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกลั่นกรองจะต้องไปพิจารณาในเรื่องของความยุติธรรมของโครงการ เน้นความพร้อมของโครงการ และดูผลประโยชน์ของประชาชนที่จะได้รับ

เมื่อมาถึงช่วงนี้นายกฯได้บอกว่าว่านายวิทยา ขอพิจารณา ตัวเองด้วยการลาออกจากตำแหน่ง หลังจากที่มีการพูดคุยก่อนการประชุม ครม. พร้อมแจ้งว่า ต่อจากนี้โครงการไทยเข้มแข็ง จะถูกยกขึ้นเป็นเป้าโจมตีรัฐบาล และต่อไปนี้ จะทำงานได้ยาก และมีแรงกดดันมากขึ้นต่อทุกๆ กระทรวงฯ

ทั้งนี้นายกฯ ยังปฏิเสธที่จะดำเนินการตามที่นายกรณ์ เสนอให้ทบทวนทุกโครงการของนโยบายไทยเข้มแข็ง ของทุกกระทรวง

**ขรก.มอบดอกไม้ให้กำลังใจ

เวลา 12.15 น. คณะผู้บริหารระดับสูงสธ.นำโดยนพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดสธ. นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา นพ.เรวัติ วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.สถาพร วงศ์เจริญ รองปลัด สธ.นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย นพ.นรา นาควัฒนานุกูล อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เข้ามอบดอกไม้เป็นกำลังใจแก่ นายวิทยา แก้วภราดัย รมว. สธ. ที่กระทรวงฯ

นายวิทยา กล่าวว่า ตนถูกมองว่า บกพร่องต่อหน้าที่ ซึ่งตนไม่ยอมรับ แต่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน โดยการลาออกจากตำแหน่ง และแม้ว่าจะเสียสละเพียงคนเดียว ก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ได้ยึดติด และชื่อเสียงของตนไม่ควรต้องเสียหายไปมากกว่านี้ เพราะยิ่งนานจากที่พูดกันว่าบกพร่องต่อหน้าที่ ก็จะกลายเป็นทุจริต ซึ่งเวลาจะช่วยพิสูจน์ทุกอย่าง

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้สานต่อ โดยตั้งคณะกรรมการทำงานต่อไป หากพบว่ามีการทุจริต ก็ต้องดำเนินการให้ถึงที่สุด หรือการบกพร่องของตนเองส่งผลเสียหาย ก็ให้ดำเนินการถึงที่สุดเช่นกัน เพราะไม่ต้องการลาออกเพื่อปิดคดี

นายวิทยา กล่าวต่อว่า คงต้องรอดูกันต่อไปว่า ความรับผิดชอบจะครอบคลุมถึงตนเพียงคนเดียว หรือคนอื่นด้วย เพราะมาตรฐานแต่ละคนไม่เท่ากัน ในส่วนของนายมานิต นพอมรบดี รมช.สธ. ก็พูดคุยกัน หากไม่รีบก็ขอให้อยู่ช่วยกันไปจนถึงหลังปีใหม่

“ยืนยันว่า โครงการไทยเข้มแข็งของสธ.ยังไม่มีการเสียเงินแม้แต่บาทเดียว เงิน 8.6 หมื่นล้านของรัฐบาลยังอยู่ครบ และใครพูดให้ร้ายอย่างไร ก็สามารถตอบได้ทุกข้อกล่าวหา และสามารถชี้แจงทางการเมืองได้ไม่มีปัญหา เพียงแต่เป็นห่วงความรู้สึกของประชาชนที่อาจไม่ไว้วางใจ สงสัยว่าจะมีพฤติกรรมอย่างนี้หรือไม่ การลาออกของผม เป็นสิ่งที่ทำให้ความรู้สึกทุกคนดีขึ้น ต่อจากนี้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ สธ.ทุกคนจะต้องเข้มแข็งในการปกป้อง สธ. การเสียสละของผม เป็นการตัดสินใจแล้วที่จะเดินหน้า ไม่สร้างภาระให้กับผู้อื่น" นายวิทยา กล่าว ส่วนผู้ที่จะขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีคนใหม่ อยู่ที่นายกฯ เป็นผู้ตัดสินใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่มีการพูดคุยเปิดใจ บรรดาพยาบาลวิชาชีพ และข้าราชการมอบดอกไม้ให้กำลังใจ นายวิทยา จากนั้นร่วมรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันกับข้าราชการระดับสูง และอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรี และเลขานุการรัฐมนตรี ซึ่งเดินทางมากันพร้อมหน้า ไม่ว่าจะเป็น นายพิเชฐ พัฒนโชติ นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู นพ.ธวัช สุนทราจารย์ นายบุญมา เตชะวนิช นพ.อุระพงษ์ เวศกิจกุล จากนั้นเวลา 15.30 น. นายวิทยา ได้มีการอำลาข้าราชการ และเจ้าหน้าที่สธ. อย่างเป็นทางการ โดยจะยื่นหนังสือลาออกในวันนี้ (30 ธ.ค.)

**เตรียมนำทีม สธ.พบนายกฯ

นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ.เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของสธ. เพื่อเตรียมพร้อมรับมือการแก้ปัญหาการทุจริตโครงการไทยเข้มแข็งของสธ. โดยใช้เวลาประชุมนานกว่า 2.30 ชั่วโมง โดยนพ.ไพจิตร์ กล่าวภายหลังการประชุมว่า การดำเนินการโครงการไทยเข้มแข็ง มีหลักเกณฑ์การพิจารณาเป็นขั้นเป็นตอน และยังไม่มีการก่อหนี้ผูกพันแม้แต่บาทเดียว ซึ่งรายการสิ่งก่อสร้าง และครุภัณฑ์ 7,000 กว่ารายการ ที่มีปัญหามีเพียง 10 รายการ และก่อนหน้านี้ มีคำสั่งชะลอการจัดซื้อจัดจ้างโครงการไทยเข้มแข็งตั้งแต่ปลายเดือน ก.ย.

อย่างไรก็ตาม ขอน้อมรับรายละเอียด และข้อเสนอจากผลการสอบสวนของคณะกรรมการฯชุดนพ.บรรลุ เพื่อนำมาสู่การปรับปรุงแก้ไขต่อไป

ส่วนกรณีที่มีข้อกล่าวหารายบุคคล จะให้ความเป็นธรรม โดยให้ชี้แจงเหตุผลในแต่ละบุคคล ทั้งนี้ จะหารือกับนายวิทยา เพื่อจะเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อชี้แจงเรื่องดังกล่าว โดยนำสมุดปกขาว ซึ่งเป็นเอกสารชี้แจงข้อมูลในการดำเนินโครงการทั้งหมด ที่ได้จัดทำขึ้นก่อนที่ผลสรุปการสอบสวนจะเสร็จสิ้น ซึ่งยังไม่มีการกำหนดวันเวลา เพราะต้องขึ้นอยู่กับภาระงานของนายกฯว่าจะว่างเมื่อใด

"เหตุที่ต้องขอเข้าหารือกับนายกฯ เนื่องจากต้องการชี้แจงสิ่งที่เกิดขึ้นในส่วนของ สธ.ว่าเป็นอย่างไร มีกระบวนการในการทำงานอย่างไร โดยจะมีการทบทวนโครงการไทยเข้มแข็งในส่วนของสธ.ใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง แม้ว่าก่อนหน้านี้จะได้มีการสรุปทบทวนไปแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเข้าพบนายกฯ เพื่อขอระยะเวลาในการจัดทำแผนและทบทวนโครงการดังกล่าวใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในส่วนของข้าราชการที่เกษียณไปแล้วนั้น ก็จะเชิญให้ไปเข้าพบนายกฯพร้อมกัน" นพ.ไพจิตร์ กล่าวและว่า รู้สึกไม่สบายใจที่ รมว.สธ.ได้ตัดสินใจลาออก ทั้งๆ ที่สุจริต และก็ภาคภูมิใจที่ท่านมีมาตรฐานการทำงานด้านการเมือง ให้เกียรติกับข้าราชการประจำ มีความเมตตา และให้ความเป็นธรรมกับทุกคน เมื่อทราบว่าตัดสินใจลาออกจึงอยากมาให้กำลังใจ

**ยกเครื่องทบทวนไทยเข้มแข็งทั้งกระบิ

นพ.ไพจิตร์ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้การทบทวนโครงการไทยเข้มแข็งใหม่ทั้งหมด จะต้องดำเนินการใน 2 ส่วน คือ 1. การมีแบบแผนในการพัฒนาระบบบริการที่ชัดเจน 2 . การทำแผนจะต้องมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เพื่อที่จะสามารถตอบเหตุผล และความต้องการได้อย่างชัดเจน โปร่งใส โดยส่วนรวมนั้นจะต้องมีตัวแทนมาจากทั้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง หรือแม้แต่ชมรมแพทย์ชนบท

“โครงการไทยเข้มแข็งของ สธ.เกิดจากความปรารถนาดีที่ต้องการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ขาดแคลนมาเกือบ 10 ปี ซึ่งการออกแบบโครงการคำนึงถึงความขาดแคลนในทุกระดับ และเชื่อมโยงตั้งแต่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์ และศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ รวมไปถึงการพัฒนาบุคลากรและสิ่งสนับสนุนต่างๆ ล้วนมาจากความต้องการในพื้นที่เสนอผ่านจังหวัด ผ่านเขตตรวจราชการของสธ. มายังเจ้าของโครงการ และส่งผ่านไปยังคณะกรรมการกลั่นกรองของกระทรวงการคลัง จึงผ่านมติครม. เห็นชอบวงเงิน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการก่อหนี้ผูกพันแม้แต่รายการเดียว" นพ.ไพจิตร์ กล่าว

ส่วนกรณีที่คณะกรรมการฯ พิจารณาว่า ตนเองไม่ทุจริตแต่บกพร่องในฐานะรองปลัดที่ดูแลสำนักบริหารสาธารณสุขภูมิภาค (สบภ.)นั้น ที่ผ่านมาไม่ได้ก้าวก่ายการทำงาน เพราะในช่วงสมัยเป็นรองปลัด อดีตปลัดไม่ได้มอบหมายให้ทำ ทั้งๆที่สบภ.เป็นส่วนที่ตนดูแล ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษพอ จึงไม่พูดอะไรให้เกิดความเสียหาย แต่วันนี้ที่ต้องออกมาพูดเนื่องจากปกป้องศักดิ์ศรีของตนเอง และไม่เคยคิดให้ร้ายใคร เพราะพูดแต่ความจริง

**“เรวัติ” ชี้ผลสอบไม่เป็นธรรม

ด้านนพ.เรวัติ วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ หนึ่งในข้าราชการที่ถูกระบุว่า มีพฤติกรรมส่อความไม่สุจริต เปิดโอกาสให้แสงหาผลประโยชน์จากการตั้งราคางบประมาณครุภัณฑ์ และสิ่งก่อสร้างในโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ราคาแพงกว่าปกติ กล่าวว่า ไม่คาดคิดว่าจะมีเรื่องของกรมการแพทย์เข้ามาเกี่ยวข้องการทุจริตด้วย ซึ่งการจัดทำงบประมาณทุกอย่างเป็นไปตามระบบ มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเป็นผู้เสนอของบประมาณเอง ไม่มีรายการครุภัณฑ์ใดที่กรมการแพทย์ร้องขอโดยที่พื้นที่ไม่ต้องการ

ส่วนปัญหาเรื่องราคาครุภัณฑ์ของสถาบันมะเร็ง มีราคาแพงกว่าของโรงพยาบาลสังกัดอื่นนั้น ตนไม่สามมารถอธิบายได้เพราะถือเป็นเรื่องทางเทคนิกต้องถามผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง

"ขออโหสิกรรม ผู้ซึ่งพูดให้ร้ายผู้บริสุทธิ์ทุกๆคน ยืนยันว่ายังไม่ทำอะไรไม่สุจริต ผลสอบที่อกมาถือว่าไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งที่จะถูกกล่าวหาว่าส่อทุจริต ซื้อเครื่องมือแพทย์ราคาแพง ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีการใช้เงินสักบาทเดียว ผมได้เข้าให้ข้อมูลต่อคณะกรรมการฯ ชุดนพ.บรรลุ นานถึง 3 ชั่วโมง รองอธิบดีกรมการแพทย์อีก 3 ชั่วโมง และผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งให้ข้อมูลอีก 5 ชั่วโมง และร่วมรับประทานอาหารด้วย คณะกรรมการฯ ยังบอกอีกว่า ไม่มีปัญหาอะไร ทุกคนให้ข้อมูลที่ดีมาก จึงคิดว่าคณะกรรมการฯ น่าจะเข้าใจ แต่สุดท้ายก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี" นพ.เรวัติกล่าว

**ผอ.มะเร็งแจงยิบซื้อรถโฟล์ค

นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า สาเหตุที่ครุภัณฑ์การแพทย์ที่สถาบันมะเร็งฯ เสนอขอจัดซื้อมีราคาแพง เนื่องจากเครื่องมือแต่ละชิ้นเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งในการจัดทำงบประมาณ กรอกแต่ชื่ออุปกรณ์สั้นๆเท่านั้น ไม่ได้พ่วงอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม จึงทำให้ดูเหมือนว่าสถาบันมะเร็งฯ จัดซื้อเครื่องมือทั่วไปที่โรงพยาบาลต่างๆ เคยจัดซื้อไว้ราคาถูก ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วไม่ใช่ เช่น เครื่องใส่แร่อัตโนมัติปริมาณรังสีสูง ที่จริงแล้ว มีชุดอุปกรณ์พ่วงด้วย ซึ่งปัญหาจุดนี้ได้เรียนให้คณะกรรมการฯ ทราบแล้ว

นพ.จักรกฤษณ์ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขต 6 หนึ่งในข้าราชการที่ถูกระบุว่า บกพร่องต่อหน้าที่ เรื่องจัดซื้อ ยูวีแฟน และเรี่ยไรเงินจากโรงพยาบาลจัดซื้อรถตู้โฟล์คสวาเกนให้นายวิทยา กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ท่านหนึ่งได้เคยถามตนว่า ตนสั่งให้ซื้อเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยแสงอัลตร้าไวโอเลต แบบระบบปิด (ยูวีแฟน) จริงหรือไม่ ซึ่งตนชี้แจงแล้วว่า ช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ตนมีนโยบายให้เขตสาธารณสุข 6 ที่ตนดูแลอยู่ว่าต้องไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ไม่ได้สั่งว่าจะต้องซื้อเครื่องมือใดเป็นพิเศษ และงบประมาณที่โรงพยาบาลจัดซื้อยูวี แฟน ก็ไม่ได้ใช้งบของโครงการไทยเข้มแข็งด้วย ก็ยังสงสัยอยู่ว่ามีชื่อตนเกี่ยวข้องได้อย่างไร

“ส่วนเรื่องซื้อรถตู้นั้น ยอมรับว่าผมได้ขอรับบริจาคเงินบำรุงจากโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในเขตสาธารณสุข 6 จริง โดยได้เงินจากโรงพยาบาล 5 แห่ง เป็นจำนวน 3 ล้านบาท ก็นำไปซื้อรถตู้โฟล์คสวาเกนสีดำ แต่ไม่ได้บีบบังคับใครให้ต้องบริจาคเงิน รถที่ซื้อมาก็ไว้นำไปใช้กับทุกโรงพยาบาล ไม่ได้ไว้ประจำที่ใดที่หนึ่ง ไม่ได้ซื้อให้นายวิทยาใช้เพียงคนเดียว ส่วนสาเหตุที่ต้องซื้อรถตู้ เพราะผมเห็นว่าพื้นที่หลายจังหวัดที่ดูแล ต้องรับเสด็จบ่อยครั้ง และมีผู้ใหญ่ลงพื้นที่เป็นประจำ จึงต้องการรถที่มีคุณภาพดี ใช้ความเร็วได้ รถที่มีอยู่เก่ามากตามขบวนไม่เคยทัน " นพ.จักรกฤษณ์ กล่าว

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผอ.สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ (สนย.) หนึ่งในผู้ถูกระบุความผิดบกพร่องต่อหน้าที่เรื่องการจัดทำงบประมาณ กล่าวว่า บทบาทของ สนย. รับผิดชอบเฉพาะการเสนอของบประมาณจากรัฐบาลเท่านั้น ซึ่งมีการจัดทำงบประมาณตั้งแต่สมัยรัฐบาลชุดนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี สนย. ออกแบบหลักการในภาพรวม แต่ไม่ได้ทำเชิงรายละเอียดเพราะมีหน่วยงานต่างๆ เป็นเจ้าภาพรับผิดชอบงบประมาณแต่ละด้านอยู่แล้ว

"สนย.ไม่อาจรู้รายละเอียดได้ว่าอะไรแพงกว่ากัน อะไรถูกกว่ากัน ผมกลับนึกว่าได้เป็นฮีโร่เสียอีก ที่สามารถของบให้กับ สธ. ได้มากถึง 8.6 หมื่นล้านบาท สิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าบั่นทอนกำลังใจคนทำงานพอสมควร และหวังว่าสังคมจะให้กำลังใจพวกเรา" นพ.ศุภกิจ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น