นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พูดถึงเรื่องการศึกษา กี่ครั้งๆ ก็จะย้ำว่า ให้ความสำคัญกับการศึกษามาก การศึกษาเป็นเรื่องใหญ่ ที่ต้องใข้เวลาทำกันนานๆ ที่ผ่านมาการศึกษาของไทย ไม่ชัดเจน หลงทาง ต้องทำสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ฯลฯ
แต่ทำไม ถึงให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ เป็นรัฐมนตรีเพียงปีเดียว แล้วโยกไปนั่งเก้าอี้กระทรวงสาธารณสุขแทนนายวิทยา แก้วภราดัย ที่ลาออกไป เอานายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล มาว่าการกระทรวงศึกษา
ตามหลักการบริหารงานบุคคลที่ดี การผลักดันงานใหญ่ๆ ที่มีความสำคัญให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ต้องมีความต่อเนื่อง ทั้งด้านนโยบาย แผนงาน และคนที่รับผิดชอบ ต้องให้อยู่กันยาวๆ จะได้สร้างผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ใช่เปลี่ยนกันบ่อยๆ ผลัดกันมาเรียนรู้งาน
แสดงว่า ที่บอกว่าให้ความสำคัญกับการศึกษาของชาตินั้น จริงๆแล้ว ก็เป็นเพียงคำพูดเท่านั้นเอง
การสลับเก้าอี้ ให้นายจุรินทร์ ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นการแก้ปัญหาของพรรคประชาธิปัตย์เอง ที่ไม่สามารถหาคนที่เหมาะสมไปคุมกระทรวงนี้ได้ เหมาะสมในที่นี้ ไม่ใช่ความรู้ ความสามรถ ความตั้งใจทำงาน แต่หมายถึง คุยกับหมอรู้เรื่อง รู้ทันหมอ เอาหมออยู่
บุคลากรในกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหมอ มีความรู้ดี มีความเป็นตัวของตัวเอง กล้าแสดงความคิดเห็นที่ตรงข้ามกับฝ่ายการเมือง ในเรื่องที่เห็นว่า จะเสียประโยชน์ต่อส่วนรวม มากกว่าข้าราชการกระทรวงอื่นๆ แต่ก็มีหมออีกบางส่วนที่มีพฤติกรรม แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบใส่ตัว โดยร่วมมือ ชี้ช่อง ชงเรื่อง ให้ฝ่ายการเมือง สังคมไทยให้เกียรติ ยกย่อง เชื่อถือหมอมากกว่าคนในอาชีพอื่นๆ แต่ความจริงแล้ว หมอก็ไม่ใช่ย่อย เพราะหมอก็เป็นปุถุชนคนหนึ่ง อยากมี อยากได้ อยากเป็น เหมือนคนทั่วไป
อ่านผลการสอบสวน ของ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โครงการไทยเข้มแข็ง ของกระทรวงสาธารณสุข ที่นายแพทย์บรรลุ ศิริพานิช เป็นประธานแล้ว ก็จะเห็นว่า นอกจากบรรดาที่ปรึกษา รมต. –รมช. และตัว รมช. นายมานิต นพอมรบดี ซึ่งพฤติกรรม ตามรายงานการสอบสวนยังไม่ชัดเจนว่า โกงตรงไหนแล้ว ก็มีแต่หมอระดับใหญ่ๆทั้งนั้น ที่เป็นตัวการในการทำเรื่องจัดซื้อ จัดจ้าง และไถเงินโรงพยาบาลมาซื้อรถตู้ให้รัฐมนตรี
นายวิทยา แก้วภราดัย เป็นรัฐมนตรีสมัยแรก ก็นั่งกระทรวงใหญ่ คุมกระทรวงสาธารณสุขเลย เป็นรางวัลตอบแทน ความภักดี ที่อยู่กับพรรคทั้งยามรุ่งและตอนโรย แต่นายวิทยาทำงานไม่เป็น ช้า ไม่ทันหมอ ไม่สามารถบริหารจ ดการงบประมาณ ให้เป็นประโยชน์กับพรรคได้ หมอเอาไปกินหมด
ครั้งที่ มีโครงการรณรงค์ ป้องกันไข้หวัด 2009 นายวิทยาเตรียมจัดทำรายละเอียดโครงการงบประมาณ เตรียมเสนอ เข้า ครม. ปรากฏว่าเมื่อไปตรวจสอบดูกันในรายละเอียด พบว่างบประมาณ ถูกข้าราชการประจำจัดสรรลงไปในพื้นที่จนหมดแล้ว ไม่เหลืออะไรให้พรรคประชาธิปัตย์เลย
เมื่อนายวิทยา จำต้องลาออก เพื่อแสดงสปิริต กรณีโครงการไทยเข้มแข็ง จึงเป็นโอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะเปลียนตัวผู้มาดูแลกระทรวงนี้
นายชินวรณ์ ซึ่งมีข่าวเป็นแคนดิเดตมาตั้งแต่แรก คู่กัยนายนิพิษฐ์ อินทรสมบัติ ก็เป็นรัฐมนตรีมือใหม่หัดขับ ถึงแม้จะเป็น สส. มาหลาย สมัย แต่หน้าที่ ส.ส.คือ พูด ไม่ใช่บริหาร จัดการ คนและงบประมาณ ขืนส่งไปอยู่กระทรวงสาธารณสุข มีหวังเสร็จหมอ เหมือนนายวิทยาแน่
สำหรับนายจุรินทร์ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษา นอกจากเรื่อง เรียนฟรี 15 ปี ซึ่งเป็นนโยบายของนายอภิสิทธิ์โดยตรงแล้ว ก็พยายามโปรโมทโครวงการติวเตอร์ แชนแนล ซึ่งนับว่าได้ผลในด้านสร้างภาพ ความนิยมพอสมควร นอกนั้น ไม่มีผลงานอะไรที่จะทำให้การศึกษาของชาติมีคุณภาพดีขึ้น แต่นายจุรินทร์ มีประสบการณ์ในการเป็นรัฐมนตรีมากกว่ารัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์หลายๆคน และมีลูกล่อลูกชนในการบริหารจัดการคน และงบพอตัว
การย้ายนายจุรินทร์ จากกระทรวงศึกษามาเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุขจึงน่าจะเป็นผลดีกับพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า
ส่วนกระทรวงศึกษาธิการนั้น ไม่น่าเป็นห่วงสำหรับรัฐมนตรีมือใหม่อย่างนายชินวรณ์ เพราะปกครองครู ง่ายกว่า ปกครองหมอ โดยเฉพาะครูยุคนี้ ไม่แข็ง ไม่กล้าคิดต่าง เห็นต่างจากฝ่ายการเมือง พร้อมที่จะตอบสนองความต้องการให้ เพื่อความมั่นคงในชีวิตและหน้าที่การงาน
เหตุผลของการสลับกระทรวงให้นายจุรินทร์ ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารรสุข และให้นายชินวรณ์ มาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ก็มีอยู่เท่านี้ ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับ การศึกษาของชาติ และการสาธารณสุขของประชาชนเลย