นายสมชัย ว่องอรุณ รองประธานกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สตาร์ ซานิทารีแวร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STAR เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดการณ์รายได้ปี 52 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้โต 10-15% จากปีก่อนที่ทำได้ 230.26 ล้านบาท รวมทั้งมั่นใจว่ากำไรจะสูงกว่าปี 51 ที่ทำไว้ 5.47 ล้านบาท หลังช่วง 9 เดือนแรกบริษัทมีกำไรแล้ว 7.40 ล้านบาท และมีรายได้รวม 147 ล้านบาท และจากตัวเลขกำไรที่ทำได้เกินกว่ากำไรทั้งปีของปี 51 บริษัทจึงคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้สูงกว่าปี 51 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่บริษัทหันมาเน้นการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม และเน้นเจาะตลาดระดับกลาง-บนเป็นหลัก ส่งผลให้ตัวเลขกำไรขั้นต้นปีนี้จะสูงกว่าปี 51 โดยพบว่าปีนี้เพิ่มสูงเกิน 45% ขณะปี 51 มีกำไรขั้นต้น 40% ดังนั้นแม้ผลงานครึ่งปีแรกจะลดลงแต่มั่นใจผลงานครึ่งปีหลังเติบโตอย่างเห็นได้ชัด
โดยมั่นใจว่าผลงานไตรมาส 4 จะดีต่อเนื่องจากไตรมาส 3 เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ และหากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปตามที่คาดไว้ จะส่งผลดีต่อการดำเนินงานของบริษัทอย่างมาก เพราะตลาดหลักของการจำหน่ายสินค้าของ STAR คือญี่ปุ่นและยุโรป ซึ่งสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 70% และอีก 30% เป็นรายได้จากในประเทศ
" ปีนี้เชื่อว่ากำไรของเราจะค่อนข้างสูงมากเมื่อเทียบกับปี 51 เพราะช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ พยายามปรับปรุงศักยภาพในการผลิตเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิต จึงทำให้ปริมาณสินค้าที่ผลิตได้มีปริมาณเพิ่มขึ้นและยังมีคุณภาพดียิ่งขึ้นด้วย " นายสมชัยกล่าว
สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และรับเหมาก่อสร้างถือว่าเริ่มดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลผ่านโครงการไทยเข้มแข็งที่มีเม็ดเงินจำนวนสูงและรัฐบาลอัดงบออกสู่ระบบ จึงเชื่อว่าธุรกิจที่กล่าวมา รวมทั้งธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง รวมทั้ง STAR ก็จะได้รับผลดีจากปัจจัยดังกล่าว
ดังนั้น ปี 53 STAR มีแผนขยายการผลิตเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 75% ของกำลังการผลิตรวม เป็น 85% ของกำลังผลิตรวม เพื่อรองรับความต้องการของภาคธุรกิจต่างๆ ที่มีเพิ่มขึ้นจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งบริษัทเล็งเพิ่มกำลังการผลิตอีก 3 พันตันต่อปีจากเดิมที่มีกำลังผลิตอยู่ 1 หมื่นตันต่อปี หากเศรษฐกิจฟื้นตัวจะทำให้กำลังการผลิตที่มีอยู่เดิมรองรับได้ตลอดปีหน้า ซึ่งบริษัทมีแผนเพิ่มสินค้าใหม่ ๆ อีก 7-8 รุ่น แต่กำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นอาจเพิ่มในปี 54 เป็นการเพิ่มในส่วนของเครื่องจักร และใช้เงินจากกระแสเงินสดและกู้บางส่วน งบลงทุนไม่เกิน 70 ล้านบาท ปัจจุบัน STAR มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ( D/E RATIO ) อยู่ที่ 0.3 เท่า จึงทำให้การก่อหนี้ทำได้ไม่ยาก
" ขณะนี้เรายื่นขอสนับสนุนการลงทุนจากบีโอไอ เพื่อที่จะขยายกำลังการผลิต เป็นการขอไว้ล่วงหน้าก่อน เพราะหากความต้องการสูงและเศรษฐกิจฟื้นจะได้ผลิตทันความต้องการได้ แต่ผมคาดว่าส่วนที่เพิ่มจะเริ่มได้ปี 54 เป็นการขยายการลงทุนในส่วนของโรงงานเดิมเพิ่มแต่ในส่วนขอองเครื่องจักร แต่เงินกู้เราทำได้ไม่ยากเพราะเรามีหนี้น้อยมาก และหากปี 53 เศรษฐกิจฟื้นตัวตามคาด ก็จะส่งผลดีต่อการดำเนินงานของเรา ไม่ว่าจะเป็นศรษฐกิจในประเทศหรือเศรษฐกิจโลกก็ตาม "
นายสมชัยกล่าวถึงราคาหุ้นของบริษัทที่ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าตามบุ๊คแวลูว่า เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเพราะผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ราคาหุ้นตามบุ๊คแวลูอยู่ที่เกือบ 3 บาท ถือว่าเป็นหุ้นที่น่าลงทุนแต่ราคาหุ้นกลับต่ำกว่าความเป็นจริง และไม่เข้าใจกลไกตลาดว่าราคาหุ้นที่ซื้อขายกับราคาตามบุ๊คแวลูจะไม่สอดคล้องกัน ซึ่งราคาหุ้น ณ ปัจจุบันเทรดเฉลี่ยที่ราคาหุ้นละ 1.31 บาท ปรับขึ้นลงบ้างเล็กน้อยในแต่ละวัน
โดยมั่นใจว่าผลงานไตรมาส 4 จะดีต่อเนื่องจากไตรมาส 3 เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ และหากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปตามที่คาดไว้ จะส่งผลดีต่อการดำเนินงานของบริษัทอย่างมาก เพราะตลาดหลักของการจำหน่ายสินค้าของ STAR คือญี่ปุ่นและยุโรป ซึ่งสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 70% และอีก 30% เป็นรายได้จากในประเทศ
" ปีนี้เชื่อว่ากำไรของเราจะค่อนข้างสูงมากเมื่อเทียบกับปี 51 เพราะช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ พยายามปรับปรุงศักยภาพในการผลิตเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิต จึงทำให้ปริมาณสินค้าที่ผลิตได้มีปริมาณเพิ่มขึ้นและยังมีคุณภาพดียิ่งขึ้นด้วย " นายสมชัยกล่าว
สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และรับเหมาก่อสร้างถือว่าเริ่มดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลผ่านโครงการไทยเข้มแข็งที่มีเม็ดเงินจำนวนสูงและรัฐบาลอัดงบออกสู่ระบบ จึงเชื่อว่าธุรกิจที่กล่าวมา รวมทั้งธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง รวมทั้ง STAR ก็จะได้รับผลดีจากปัจจัยดังกล่าว
ดังนั้น ปี 53 STAR มีแผนขยายการผลิตเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 75% ของกำลังการผลิตรวม เป็น 85% ของกำลังผลิตรวม เพื่อรองรับความต้องการของภาคธุรกิจต่างๆ ที่มีเพิ่มขึ้นจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งบริษัทเล็งเพิ่มกำลังการผลิตอีก 3 พันตันต่อปีจากเดิมที่มีกำลังผลิตอยู่ 1 หมื่นตันต่อปี หากเศรษฐกิจฟื้นตัวจะทำให้กำลังการผลิตที่มีอยู่เดิมรองรับได้ตลอดปีหน้า ซึ่งบริษัทมีแผนเพิ่มสินค้าใหม่ ๆ อีก 7-8 รุ่น แต่กำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นอาจเพิ่มในปี 54 เป็นการเพิ่มในส่วนของเครื่องจักร และใช้เงินจากกระแสเงินสดและกู้บางส่วน งบลงทุนไม่เกิน 70 ล้านบาท ปัจจุบัน STAR มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ( D/E RATIO ) อยู่ที่ 0.3 เท่า จึงทำให้การก่อหนี้ทำได้ไม่ยาก
" ขณะนี้เรายื่นขอสนับสนุนการลงทุนจากบีโอไอ เพื่อที่จะขยายกำลังการผลิต เป็นการขอไว้ล่วงหน้าก่อน เพราะหากความต้องการสูงและเศรษฐกิจฟื้นจะได้ผลิตทันความต้องการได้ แต่ผมคาดว่าส่วนที่เพิ่มจะเริ่มได้ปี 54 เป็นการขยายการลงทุนในส่วนของโรงงานเดิมเพิ่มแต่ในส่วนขอองเครื่องจักร แต่เงินกู้เราทำได้ไม่ยากเพราะเรามีหนี้น้อยมาก และหากปี 53 เศรษฐกิจฟื้นตัวตามคาด ก็จะส่งผลดีต่อการดำเนินงานของเรา ไม่ว่าจะเป็นศรษฐกิจในประเทศหรือเศรษฐกิจโลกก็ตาม "
นายสมชัยกล่าวถึงราคาหุ้นของบริษัทที่ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าตามบุ๊คแวลูว่า เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเพราะผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ราคาหุ้นตามบุ๊คแวลูอยู่ที่เกือบ 3 บาท ถือว่าเป็นหุ้นที่น่าลงทุนแต่ราคาหุ้นกลับต่ำกว่าความเป็นจริง และไม่เข้าใจกลไกตลาดว่าราคาหุ้นที่ซื้อขายกับราคาตามบุ๊คแวลูจะไม่สอดคล้องกัน ซึ่งราคาหุ้น ณ ปัจจุบันเทรดเฉลี่ยที่ราคาหุ้นละ 1.31 บาท ปรับขึ้นลงบ้างเล็กน้อยในแต่ละวัน