ซี.ไอ.กรุ๊ป เผยปีนี้ล้างขาดทุนสะสมได้หมด เหตุรับรู้รายได้จากการผลิตสินค้าให้แคเรียสูง และเศรษฐกิจฟื้นดันผลงานไม่พลาดเป้า อีกทั้งลูกค้าเข้าพักที่ เดอะ ละไม สูงแม้โลว์ซีซั่น ปลื้มธุรกิจโรงแรมไปได้สวย เชื่อปีหน้าทำเงินเข้าบริษัทแม่ปีละ10% คาดรับเต็ม ๆไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท อีกทั้งเอื้อต่อการขายคอยล์ เพราะได้แรงหนุนจากการมีคอนเน็กชั่นกับแคเรียที่มีลูกค้าทั่วโลก ยิ้มได้ลูกค้าทางอ้อม ฟุ้งปีหน้าผลงานโตเกินคาดย้ำราคาหุ้นขยับไม่มีนัยะ ส่วนปีนี้ผลงานเข้าเป้า 1,300-1,400 ล้านบาท
นายอารีย์ พุ่มเสนาะ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.ไอ.กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ( CIG ) เปิดเผยถึงการเข้าซื้อธุรกิจโรงแรม บริษัท เดอ ละไม จำกัด จำนวน 999,680 หุ้น ในสัดส่วน 99.97 %ของทุนที่ออกและชำระแล้วของ บริษัทดังกล่าว ในราคาหุ้นละ 145 บาท จากผู้ถือหุ้นเดิม รวมเป็นเงินลงทุนทั้งสิ้น 144,953,600 บาท ซึ่งการเข้าลงทุนครั้งนี้มองว่าโรงแรมดังกล่าวมีที่ตั้งเหมาะแก่การพัฒนาเพื่อลงทุน และเหมาะกับการลงทุนโดยคาดว่ารายได้จากธุรกิจนี้จะเข้ามาสู่บริษัทแม่ในปี 53 แบบเต็มปีประมาณ 50 ล้านบาท และคาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจนี้ปีละ 10%
" การเข้าลงทุนใน เดอ ละไม ถือว่าไปได้ดีเพราะ ขณะนี้แม้จะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น แต่โรงแรมของเราก็ไปได้ด้วยดี และมีคนเข้าพักกว่าครึ่งถือมีทิศทางที่ดี อีกส่วนหนึ่งคือการที่เรามีโรงแรมเป็นของตัวเองจะง่ายต่อการขายผลิตภัณฑ์หลักของเราอย่างคอยล์ และจะเอื้อต่อการขายคอยล์ให้กับโรงแรมอื่น ๆ ด้วย เพราะเราขายคอยล์ที่ใช้ในเครื่องปรับอากาศ หากเรารู้จักโรงแรมต่าง ๆ มากขึ้น จะทำให้มีคอนเน็กชั่นและเอื้อต่อการขายผลิตภัณฑ์ของเราด้วย ซึ่งการที่เรามีคอนเน็กชั่นกับแคเรีย ก็เป็นแรงหนุนอีกทางหนึ่งด้วยในการเสริมด้านการขายทางอ้อม " นายอารีย์กล่าว
นายอารีย์กล่าวว่า การลงทุนในธุรกิจโรงแรมเป็นการลงทุนเบื้องต้น แต่ยืนยันว่าไม่ได้ต้องการมุ่งสู่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป้าหมายหลักคือเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับทีมของบริษัท แคเรีย จำกัด ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจแต่เดิมอยู่แล้วและเมื่อมีการเดินทางมาประชุมหารือหรือดูงาน CIG จะเอื้อประโยชน์ในการให้เข้าพักที่โรงแรมของบริษัท เป็นการง่ายต่อการติดต่องานและสะดวกในการรับรองแขกที่จะมาดีลงานกับบริษัทด้วย ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างรายได้ทางอ้อมให้กับบริษัท
อย่างไรก็ดี ปีนี้ CIG มั่นใจว่าจะล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ ณ สิ้นมิถุนายนมีอยู่ประมาณ 45 ล้านบาทให้หมดในปีนี้ได้ เพราะเชื่อว่าผลงานครึ่งปีหลังจะมีตัวเลขที่สดใสกว่าครึ่งปีแรกที่บริษัทได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 51 จึงส่งผลต่อเนื่องมาถึงต้นปี 52 แต่หลังพ้นไตรมาสแรกผลงานก็เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและมั่นใจว่าผลงานไม่พลาดเป้า
" ตัวเลขรายได้ที่เราตั้งไว้ปีนี้ 1,300-1,400 ล้านบาท คงไม่ต่างจากนี้ เพราะเศรษฐกิจยังไม่นิ่ง แต่ปี 53 เราจะโตเยอะมาก ส่วนหนึ่งเพราะงานที่เราเป็นตัวแทนในการผลิตสินค้าใหักับแคเรียด้วย จะสร้างรายได้ให้เรามากขึ้นจากปีนี้พอสมควร แต่จะมากแค่ไหนคงบอกได้ยาก เรายังไม่ได้ทำแผน " นายอารีย์กล่าว
สำหรับราคาหุ้นที่ขยับขึ้นเรื่อย ๆ นั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดีแต่ผู้บริหารไม่ทราบเรื่อง โดยพบว่าราคาหุ้นสามารถมาเทรดเหนือราคา 6 บาทได้อีกครั้ง หลังจากเทรดที่ราคาหุ้นอยู่ระดับ 5-6 บาท ผลัดขึ้น ๆ ลง ๆ แล้วแต่วัน
" การที่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นคงไม่ได้มาจากข่าวอินไซด์แต่อย่างใด เพราะเราก็ยังทำงานปกติไม่ได้มีนัยอะไร มีการสอบถามมาเยอะมาก แต่ผมไม่รู้จะบอกยังไง และเราไม่มีแผนจะขยับขยายเรื่องพันธมิตร ระยะสั้นยังทำงานปกติแต่ระะยาวก็เป็นเรื่องของอนาคตที่ขณะนี้ยังไม่มีอะไรที่แตกต่าง แต่ถ้าอนาคตมีเราก็มีวิธีอีกมากมายในการให้พันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมทำงานกับเรา " นายอารีย์กล่าว
อย่างไรก็ดี ล่าสุด เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา CIG ได้ปรับบลดมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) จากหุ้นละ 1 บาทเหลือ 0.50 บาท ส่งผลให้จำนวนหุ้นของบริษัทเพิ่มจาก 350 ล้านบาท เป็น 700 ล้านหุ้น ทำให้บริษัทต้องปรับสิทธิผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนต์ ) ที่จะซื้อหุ้นสามัญ( CIG-W1) ซึ่งราคาการใช้สิทธิของวอร์แรนต์ที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทหลังการเปลี่ยนแปลงคือ 1.431 บาทต่อหน่วย ขณะที่อัตราการใช้สิทธิจะเปลี่ยนแปลงตามสูตรการคำนวณซึ่งจะได้วอร์แรนต์ 1 หน่วย มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 2.09558 หุ้น
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปีนี้ พบว่าCIG มีกำไรสุทธิ 25.70 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 80.29 ล้านบาท หรือลดลง 54.59 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 67.99% เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้รวมในไตรมาสที่ 3 ของปี 2552 เป็นจำนวนเงิน 281.91 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนเป็นจำนวนเงิน 120.78 ล้านบาท หรือ 29.99 % โดยการลดลงเป็นผลสืบเนื่องมาจากผลของวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นส่งผลให้ยอดสั่งซื้อจากลูกค้าลดลงและมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
นายอารีย์ พุ่มเสนาะ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.ไอ.กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ( CIG ) เปิดเผยถึงการเข้าซื้อธุรกิจโรงแรม บริษัท เดอ ละไม จำกัด จำนวน 999,680 หุ้น ในสัดส่วน 99.97 %ของทุนที่ออกและชำระแล้วของ บริษัทดังกล่าว ในราคาหุ้นละ 145 บาท จากผู้ถือหุ้นเดิม รวมเป็นเงินลงทุนทั้งสิ้น 144,953,600 บาท ซึ่งการเข้าลงทุนครั้งนี้มองว่าโรงแรมดังกล่าวมีที่ตั้งเหมาะแก่การพัฒนาเพื่อลงทุน และเหมาะกับการลงทุนโดยคาดว่ารายได้จากธุรกิจนี้จะเข้ามาสู่บริษัทแม่ในปี 53 แบบเต็มปีประมาณ 50 ล้านบาท และคาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจนี้ปีละ 10%
" การเข้าลงทุนใน เดอ ละไม ถือว่าไปได้ดีเพราะ ขณะนี้แม้จะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น แต่โรงแรมของเราก็ไปได้ด้วยดี และมีคนเข้าพักกว่าครึ่งถือมีทิศทางที่ดี อีกส่วนหนึ่งคือการที่เรามีโรงแรมเป็นของตัวเองจะง่ายต่อการขายผลิตภัณฑ์หลักของเราอย่างคอยล์ และจะเอื้อต่อการขายคอยล์ให้กับโรงแรมอื่น ๆ ด้วย เพราะเราขายคอยล์ที่ใช้ในเครื่องปรับอากาศ หากเรารู้จักโรงแรมต่าง ๆ มากขึ้น จะทำให้มีคอนเน็กชั่นและเอื้อต่อการขายผลิตภัณฑ์ของเราด้วย ซึ่งการที่เรามีคอนเน็กชั่นกับแคเรีย ก็เป็นแรงหนุนอีกทางหนึ่งด้วยในการเสริมด้านการขายทางอ้อม " นายอารีย์กล่าว
นายอารีย์กล่าวว่า การลงทุนในธุรกิจโรงแรมเป็นการลงทุนเบื้องต้น แต่ยืนยันว่าไม่ได้ต้องการมุ่งสู่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป้าหมายหลักคือเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับทีมของบริษัท แคเรีย จำกัด ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจแต่เดิมอยู่แล้วและเมื่อมีการเดินทางมาประชุมหารือหรือดูงาน CIG จะเอื้อประโยชน์ในการให้เข้าพักที่โรงแรมของบริษัท เป็นการง่ายต่อการติดต่องานและสะดวกในการรับรองแขกที่จะมาดีลงานกับบริษัทด้วย ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างรายได้ทางอ้อมให้กับบริษัท
อย่างไรก็ดี ปีนี้ CIG มั่นใจว่าจะล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ ณ สิ้นมิถุนายนมีอยู่ประมาณ 45 ล้านบาทให้หมดในปีนี้ได้ เพราะเชื่อว่าผลงานครึ่งปีหลังจะมีตัวเลขที่สดใสกว่าครึ่งปีแรกที่บริษัทได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 51 จึงส่งผลต่อเนื่องมาถึงต้นปี 52 แต่หลังพ้นไตรมาสแรกผลงานก็เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและมั่นใจว่าผลงานไม่พลาดเป้า
" ตัวเลขรายได้ที่เราตั้งไว้ปีนี้ 1,300-1,400 ล้านบาท คงไม่ต่างจากนี้ เพราะเศรษฐกิจยังไม่นิ่ง แต่ปี 53 เราจะโตเยอะมาก ส่วนหนึ่งเพราะงานที่เราเป็นตัวแทนในการผลิตสินค้าใหักับแคเรียด้วย จะสร้างรายได้ให้เรามากขึ้นจากปีนี้พอสมควร แต่จะมากแค่ไหนคงบอกได้ยาก เรายังไม่ได้ทำแผน " นายอารีย์กล่าว
สำหรับราคาหุ้นที่ขยับขึ้นเรื่อย ๆ นั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดีแต่ผู้บริหารไม่ทราบเรื่อง โดยพบว่าราคาหุ้นสามารถมาเทรดเหนือราคา 6 บาทได้อีกครั้ง หลังจากเทรดที่ราคาหุ้นอยู่ระดับ 5-6 บาท ผลัดขึ้น ๆ ลง ๆ แล้วแต่วัน
" การที่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นคงไม่ได้มาจากข่าวอินไซด์แต่อย่างใด เพราะเราก็ยังทำงานปกติไม่ได้มีนัยอะไร มีการสอบถามมาเยอะมาก แต่ผมไม่รู้จะบอกยังไง และเราไม่มีแผนจะขยับขยายเรื่องพันธมิตร ระยะสั้นยังทำงานปกติแต่ระะยาวก็เป็นเรื่องของอนาคตที่ขณะนี้ยังไม่มีอะไรที่แตกต่าง แต่ถ้าอนาคตมีเราก็มีวิธีอีกมากมายในการให้พันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมทำงานกับเรา " นายอารีย์กล่าว
อย่างไรก็ดี ล่าสุด เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา CIG ได้ปรับบลดมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) จากหุ้นละ 1 บาทเหลือ 0.50 บาท ส่งผลให้จำนวนหุ้นของบริษัทเพิ่มจาก 350 ล้านบาท เป็น 700 ล้านหุ้น ทำให้บริษัทต้องปรับสิทธิผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนต์ ) ที่จะซื้อหุ้นสามัญ( CIG-W1) ซึ่งราคาการใช้สิทธิของวอร์แรนต์ที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทหลังการเปลี่ยนแปลงคือ 1.431 บาทต่อหน่วย ขณะที่อัตราการใช้สิทธิจะเปลี่ยนแปลงตามสูตรการคำนวณซึ่งจะได้วอร์แรนต์ 1 หน่วย มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 2.09558 หุ้น
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปีนี้ พบว่าCIG มีกำไรสุทธิ 25.70 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 80.29 ล้านบาท หรือลดลง 54.59 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 67.99% เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้รวมในไตรมาสที่ 3 ของปี 2552 เป็นจำนวนเงิน 281.91 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนเป็นจำนวนเงิน 120.78 ล้านบาท หรือ 29.99 % โดยการลดลงเป็นผลสืบเนื่องมาจากผลของวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นส่งผลให้ยอดสั่งซื้อจากลูกค้าลดลงและมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้น