ม.ล.จันทรจุฑา จันทรทัต กรรมการผู้จัดการ บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA กล่าวว่า คาดว่าแนวโน้มกำไรและรายได้ในปี 2553 จะปรับตัวดีขึ้นจากปีนี้ เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการที่บริษัทฯ เข้าไปซื้อกิจการใหม่ในปีนี้ที่จะเป็นตัวเสริมผลการดำเนินงาน ประกอบด้วยธุรกิจเหมืองถ่านหินที่ฟิลิปปินส์ ธุรกิจที่เวียดนาม ซึ่งเป็นธุรกิจสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่มีคลัง
สินค้าเพื่อต่อยอดจากธุรกิจด้านโลจิสติกส์ รวมถึงธุรกิจปุ๋ยที่ยังมีแนวโน้มการทำกำไรได้ต่อเนื่องจากปีนี้ โดยจะเริ่มเห็นแนวโน้มการปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งรายได้และกำไร ตั้งแต่ไตรมาสแรกปี 53 เป็นต้นไป ซึ่งหลังประกาศงบสิ้นเดือนมี.ค. จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน
นอกจากนี้ ยังมีการรับรู้รายได้และกำไรจากการข้าไปถือหุ้นของ บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) หรือ UMS ที่แนวโน้มผลประกอบการเติบโตขึ้น โดยปีนี้ UMS มีต้นทุนในเรื่องค่าใช้จ่ายสูง จากการทำสัญญาล็อคค่าระวางเรือไว้ โดยสัญญาดังกล่าวจะครบกำหนดช่วงปลายปีนี้จนถึงม.ค. 2553 ส่วนบริษัท เมอร์เมด จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจด้านพลังงานมีโอกาสที่จะขยายการลงทุนเพิ่มมากขึ้น จากแนวโน้มราคาน้ำมันในปีหน้าที่ประเมินว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 75 - 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สำหรับแนวโน้มของภาพรวมธุรกิจเดินเรือปี 2553 จะยังคงทรงตัวจากปีนี้ ซึ่งคาดว่าค่าระวางเรือปีหน้าจะใกล้เคียงกับปีนี้อยู่ที่ระดับ 1.1 หมื่นดอลลาร์ต่อวันต่อลำ เนื่องจากอุปทานของเรือยังมีอยู่จำนวนมากเมื่อเทียบกับอุปสงค์ความต้องการเรือที่อยู่ในระดับต่ำอย่างไรก็ดี บริษัทมีนโยบายที่จะกระจายธุรกิจโดยเริ่มต้นจากปีนี้ และจะเริ่มการเห็นผลชัดเจนในปีหน้า ขณะที่บริษัทตั้งเป้าว่าสัดส่วนรายได้จาก 3 ธุรกิจหลักในปี 2556 สัดส่วนรายได้จะกระจายในสัดส่วนที่เท่ากัน
ม.ล.จันทรจุฑา กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาถึงการซื้อกิจการ 4 - 5 ดีล ซึ่งอยู่ในภูมิภาคเอเชีย โดยเน้นการซื้อกิจการที่ต่อยอดให้กับ 3 ธุรกิจหลักของบริษัทฯ ประกอบด้วยธุรกิจขนส่งเดินเรือ พลังงาน สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและโลจิสติกส์ โดยช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทฯ จะยังไม่มีการซื้อกิจการเพิ่มเติมหลังจากที่มีการปิดดีลไปแล้ว 3 ดีล ส่วนดีลที่เจรจาอยู่ยังประเมินระยะเวลาได้ยากว่าจะสรุปความชัดเจนได้
สำหรับเม็ดเงินที่จะใช้ลงทุนนั้น หากบริษัทฯ มีความจำเป็นที่จะใช้เงินลงทุนเกินกว่าจำนวนเงินสดในมือและวงเงินกู้ที่มีอยู่ บริษัทฯ ยังมีความสามารถในการก่อหนี้เพิ่มได้อีกจากปัจจุบันที่มีหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ในระดับต่ำ 0.2 ต่อ 1 เท่า ขณะที่นโยบายของคณะกรรมการบริษัทฯ ได้กำหนดเพดาน D/E ไว้ที่ ไม่เกิน 1.5 ต่อ 1
ทั้งนี้ ความคืบหน้าในการทำคำเสนอซื้อ (Tender Offer) จากผู้ถือหุ้นเดิมของ UMS ในขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปตัวเลขที่ชัดเจนได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการ และหลังจากการเสร็จขั้นตอนดังกล่าวยังไม่สามารถประเมินจำนวนเม็ดเงินได้ว่าจะทำ Tender Offer เท่าไร อีกทั้งหลังจากที่บริษัทเข้าถือหุ้นของ UMS แล้วยังไม่มีแผนที่จะถอน UMS ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ
อนึ่ง การกระจายรายได้จาก 3 ธุรกิจของ TTA เป็นลักษณะการทำธุรกิจที่เป็น Holding Company ซึ่งเป็นนโยบายที่บริษัทวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ โดยกระจายในการประกอบ 3 ธุรกิจหลักดังกล่าว จากเดิมที่เป็น Holding Company ในธุรกิจเดินเรือเพียงอย่างเดียว ขณะ ปัจจุบันบริษัทฯ มีเงินสดอยู่ในมือประมาณ 6,000 - 7,000 ล้านบาท รวมทั้งล่าสุดยังได้รับอนุมัติวงเงินกู้ 200 ดอลลาร์จากธนาคาร 4 แห่ง เพื่อซื้อกิจการต่อยอดเกื้อหนุนธุรกิจ
สินค้าเพื่อต่อยอดจากธุรกิจด้านโลจิสติกส์ รวมถึงธุรกิจปุ๋ยที่ยังมีแนวโน้มการทำกำไรได้ต่อเนื่องจากปีนี้ โดยจะเริ่มเห็นแนวโน้มการปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งรายได้และกำไร ตั้งแต่ไตรมาสแรกปี 53 เป็นต้นไป ซึ่งหลังประกาศงบสิ้นเดือนมี.ค. จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน
นอกจากนี้ ยังมีการรับรู้รายได้และกำไรจากการข้าไปถือหุ้นของ บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) หรือ UMS ที่แนวโน้มผลประกอบการเติบโตขึ้น โดยปีนี้ UMS มีต้นทุนในเรื่องค่าใช้จ่ายสูง จากการทำสัญญาล็อคค่าระวางเรือไว้ โดยสัญญาดังกล่าวจะครบกำหนดช่วงปลายปีนี้จนถึงม.ค. 2553 ส่วนบริษัท เมอร์เมด จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจด้านพลังงานมีโอกาสที่จะขยายการลงทุนเพิ่มมากขึ้น จากแนวโน้มราคาน้ำมันในปีหน้าที่ประเมินว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 75 - 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สำหรับแนวโน้มของภาพรวมธุรกิจเดินเรือปี 2553 จะยังคงทรงตัวจากปีนี้ ซึ่งคาดว่าค่าระวางเรือปีหน้าจะใกล้เคียงกับปีนี้อยู่ที่ระดับ 1.1 หมื่นดอลลาร์ต่อวันต่อลำ เนื่องจากอุปทานของเรือยังมีอยู่จำนวนมากเมื่อเทียบกับอุปสงค์ความต้องการเรือที่อยู่ในระดับต่ำอย่างไรก็ดี บริษัทมีนโยบายที่จะกระจายธุรกิจโดยเริ่มต้นจากปีนี้ และจะเริ่มการเห็นผลชัดเจนในปีหน้า ขณะที่บริษัทตั้งเป้าว่าสัดส่วนรายได้จาก 3 ธุรกิจหลักในปี 2556 สัดส่วนรายได้จะกระจายในสัดส่วนที่เท่ากัน
ม.ล.จันทรจุฑา กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาถึงการซื้อกิจการ 4 - 5 ดีล ซึ่งอยู่ในภูมิภาคเอเชีย โดยเน้นการซื้อกิจการที่ต่อยอดให้กับ 3 ธุรกิจหลักของบริษัทฯ ประกอบด้วยธุรกิจขนส่งเดินเรือ พลังงาน สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและโลจิสติกส์ โดยช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทฯ จะยังไม่มีการซื้อกิจการเพิ่มเติมหลังจากที่มีการปิดดีลไปแล้ว 3 ดีล ส่วนดีลที่เจรจาอยู่ยังประเมินระยะเวลาได้ยากว่าจะสรุปความชัดเจนได้
สำหรับเม็ดเงินที่จะใช้ลงทุนนั้น หากบริษัทฯ มีความจำเป็นที่จะใช้เงินลงทุนเกินกว่าจำนวนเงินสดในมือและวงเงินกู้ที่มีอยู่ บริษัทฯ ยังมีความสามารถในการก่อหนี้เพิ่มได้อีกจากปัจจุบันที่มีหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ในระดับต่ำ 0.2 ต่อ 1 เท่า ขณะที่นโยบายของคณะกรรมการบริษัทฯ ได้กำหนดเพดาน D/E ไว้ที่ ไม่เกิน 1.5 ต่อ 1
ทั้งนี้ ความคืบหน้าในการทำคำเสนอซื้อ (Tender Offer) จากผู้ถือหุ้นเดิมของ UMS ในขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปตัวเลขที่ชัดเจนได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการ และหลังจากการเสร็จขั้นตอนดังกล่าวยังไม่สามารถประเมินจำนวนเม็ดเงินได้ว่าจะทำ Tender Offer เท่าไร อีกทั้งหลังจากที่บริษัทเข้าถือหุ้นของ UMS แล้วยังไม่มีแผนที่จะถอน UMS ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ
อนึ่ง การกระจายรายได้จาก 3 ธุรกิจของ TTA เป็นลักษณะการทำธุรกิจที่เป็น Holding Company ซึ่งเป็นนโยบายที่บริษัทวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ โดยกระจายในการประกอบ 3 ธุรกิจหลักดังกล่าว จากเดิมที่เป็น Holding Company ในธุรกิจเดินเรือเพียงอย่างเดียว ขณะ ปัจจุบันบริษัทฯ มีเงินสดอยู่ในมือประมาณ 6,000 - 7,000 ล้านบาท รวมทั้งล่าสุดยังได้รับอนุมัติวงเงินกู้ 200 ดอลลาร์จากธนาคาร 4 แห่ง เพื่อซื้อกิจการต่อยอดเกื้อหนุนธุรกิจ